ฉากนี้เป็นฉากที่การอภิปรายของลูกขุนหมายเลข 10 ซึ่งพยายามชี้ไปที่สถานะภาพทางสังคมของจำเลย (จำเลยมาจากย่านชุมชนแออัด)
พยายามบอกกับทุกๆคนว่า คนที่เติบโตมากับสภาพแวดล้อมแบบนั้น(สลัม) มันเป็นคนเลวเหมือนกันทุกคน พร้อมจะเป็นฆาตรกรได้เสมอ
จนคณะลูกขุนที่เหลือเริ่มลุกจากโต๊ะทีละคน เพราะรับไม่ได้กับอาการบ้าบิ่น ใส่ร้ายป้ายสี กวัดแกว่ง พาดพิงผู้อื่นอย่างไร้ซึ่งเหตุผล และเป็นทัศนคติเชิงลบต่อจำเลยล้วนๆ ไม่มีข้อโต้แย้งใดที่เป็นเหตุเป็นผลที่จะเอามาอภิปรายได้เลย
จนลูกขุนหมายเลข 10 ผู้นี้ต้องออกนอกวงไปเอง เพราะไม่มีใครฟังเขาพูดพาดพิงคนอื่นด้วยทัศนคติอันเลวร้าย
ผมว่านี้มันเป็นยาขมอย่างหนึ่งของประชาธิปไตย คุณจะไม่เห็นด้วยกับความคิดของอีกฝ่าย แต่คุณควรจะมีความอดทนฟัง และเอาหลักคิดที่คุณเชื่อมาโต้แย้งอย่างมีเหตุและผล ไม่ใช่เอาทัศนคติอันเลวร้ายที่ไม่เกี่ยวของกับเรื่องอภิปราย มาป้ายสีทำลายคนอื่น เพราะรสนิยมแบบนี้มันควรจะหมดไปแล้วเมื่อหลายสิบปีก่อน
ฉากหนึ่งใน 12 Angry Men มันสะท้อนทัศนคติอันเลวร้าย และวิธีการจัดการแบบประชาธิปไตย
ฉากนี้เป็นฉากที่การอภิปรายของลูกขุนหมายเลข 10 ซึ่งพยายามชี้ไปที่สถานะภาพทางสังคมของจำเลย (จำเลยมาจากย่านชุมชนแออัด)
พยายามบอกกับทุกๆคนว่า คนที่เติบโตมากับสภาพแวดล้อมแบบนั้น(สลัม) มันเป็นคนเลวเหมือนกันทุกคน พร้อมจะเป็นฆาตรกรได้เสมอ
จนคณะลูกขุนที่เหลือเริ่มลุกจากโต๊ะทีละคน เพราะรับไม่ได้กับอาการบ้าบิ่น ใส่ร้ายป้ายสี กวัดแกว่ง พาดพิงผู้อื่นอย่างไร้ซึ่งเหตุผล และเป็นทัศนคติเชิงลบต่อจำเลยล้วนๆ ไม่มีข้อโต้แย้งใดที่เป็นเหตุเป็นผลที่จะเอามาอภิปรายได้เลย
จนลูกขุนหมายเลข 10 ผู้นี้ต้องออกนอกวงไปเอง เพราะไม่มีใครฟังเขาพูดพาดพิงคนอื่นด้วยทัศนคติอันเลวร้าย
ผมว่านี้มันเป็นยาขมอย่างหนึ่งของประชาธิปไตย คุณจะไม่เห็นด้วยกับความคิดของอีกฝ่าย แต่คุณควรจะมีความอดทนฟัง และเอาหลักคิดที่คุณเชื่อมาโต้แย้งอย่างมีเหตุและผล ไม่ใช่เอาทัศนคติอันเลวร้ายที่ไม่เกี่ยวของกับเรื่องอภิปราย มาป้ายสีทำลายคนอื่น เพราะรสนิยมแบบนี้มันควรจะหมดไปแล้วเมื่อหลายสิบปีก่อน