ถ้าใครที่ชอบเล่นรอมโม น่าจะคุ้นหูกับ MIUI รอมที่มีชื่อเสียงจากทางจีน ซึ่ง MIUI เป็นรอมที่แตกต่างจากรอมโมชื่อดังอย่าง CyanogenMod อย่างสิ้นเชิง
CyanogenMod เน้นความไวในการอัพเดทเป็นรุ่นล่าสุด เน้นความดิบ และให้ไปปรับแต่งเอง ส่วนทาง MIUI ไม่เน้นว่าต้องเป็นแอนดรอยรุ่นล่าสุด แต่เน้นการใช้งานจริง เน้นความสวยงามและพร้อมใช้มากกว่า ซึ่ง Mi3 เป็นมือถือที่เกิดมาพร้อม MIUI แม้ว่าวางขายตั้งแต่ปีก่อน แต่สเป็กยังถือว่าชนเรือธงปีนี้ได้เลย
- CPU Snapdragon 801
- RAM 2 GB
- พื้นที่ 16 หรือ 64 GB
- หน้าจอ 5 นิ้ว ความละเอียด Full HD (441 PPI)
- กล้องหลัง 13 ล้าน กล้องหน้า 2 ล้าน
- แบต 3050 mAh
- รองรับ 3G ทุกเครือข่าย (ไม่รองรับ LTE)
- น้ำหนัก 145 กรัม
ก่อนอื่นขอไขข้อข้องใจประเด็นเรื่อง CPU ว่าทำไมบางที่บอกว่าเป็น Snapdragon 800
ผมขออธิบายแบบนี้ครับ ความจริงแล้ว ไม่ว่าจะ 800, 801, 805 ก็ถือว่าเป็น series 800
ณ วันที่เปิดตัว Mi3 เป็นมือถือรุ่นแรกที่ใช้ 8274-AB ซึ่งเร็วที่สุดในตอนนั้น และตอนนั้นยังไม่มีรุ่น 801 อย่างเป็นทางการ เค้าเลยจัดว่าอยู่ในกลุ่มของ 800
แต่เมื่อมีการเปิดตัว 801 อย่างเป็นทางการ ก็ทำให้ Mi3 ถูกจัดอยู่ในกลุ่มของ 801 ด้วย
Source:
http://en.wikipedia.org/wiki/Snapdragon_(system_on_chip)#Snapdragon_800
เป็นผลให้การ benchmark เร็วกว่ามือถือเรือธงของปีก่อนทั้งหมด
ผม benchmark จากเครื่องใช้จริง ที่มีการลงแอพ เล่นเกมจริง ไม่ใ่ช่เครื่อง factory reset โล่งๆนะครับ และเปิดโหมดพลังงานแบบปรกติ ไม่ได้เปิดแบบ high performance
รุ่นที่ผมจัดมารีวิว เป็นรุ่น 64 GB สีขาวจากร้าน
ขอลบชื่อร้านป้องกันปัญหา
ราคาท้องตลาดประมาณ 16,000 - 17,000 บาทครับ ...แค่สเป็กก็คุ้มแล้ว ราคานี้ได้ 64 GB มีที่ไหน!
แกะกล่องมาเจอหัวชาร์จแล้วรู้สึก... กากมาก อันที่จริงมันก็ไม่ได้แย่เท่าไร เพียงแต่ผมรู้สึกว่ามันช่างขัดแย้งกับตัวเครื่องมากๆ
ตัวเครื่องเรียกได้ว่าดูดีมากๆ ซึ่งตัวเครื่องทั้ง 3 สีจะมีวัสดุที่ต่างกันออกไป
- สีขาว เหมือน Lumia มาก
- สีดำ ให้ความรู้สึกทนทาน
- สีเงิน ให้ความรู้สึกเหมือนโลหะ
ที่น่าสนใจคือ ถาดใส่ซิมเป็นขนาดปรกติ แต่มีถาดสำหรับ Micro, Nano SIM ขายแยกครับ
ข้อดีของ Mi3 สีขาวคือใส่เคสสีอะไรก็สวย รูปแรกเป็นเครื่องเปล่าๆ รูปที่ 2 เป็นซิลิโคนขุ่น ส่วนรูปที่ 3 เป็นซิลิโคนสีฟ้า
ที่สำคัญ Xiaomi ทำเคสสำหรับใส่ Power bank ด้วย มีหลายสีเหมือนกับเคส Mi3 เลย... เอากะเค้าดิ!
เมื่อเริ่มใช้งาน lock screen แบบเดิมๆ คือปัดไปแต่ละด้านจะเป็นการเข้าแต่ละแอพ ได้แก่ กล้อง, ข้อความ, การโทร และปลดล็อกหน้าจอ
แต่ถ้าแตะที่วงกลมตรงกลาง 2 ครั้ง จะเป็นการเรียกตัวควบคุมเครื่องเล่นเพลง
เดิมๆ กดค้างที่ menu เป็นการเข้า search หรือ assistance ถ้ากด home ค้างเป็นการเข้า recent apps แต่เราสามารถไปตั้งค่าสลับกัน หรือจะตั้งให้กด back ค้างเพื่อปิดแอพก็ทำได้
ส่วน recent apps ถ้าปัดขึ้นคือปิดแอพ ปัดลงคือล็อกแอพป้องกันเผลอปิด และกดที่ไม้กวาดเพื่อปิดทุกแอพ
launcher เจ้านี้ค่อนข้างคล้าย iOS ก็คือไม่มี app drawer ครับ แต่ต่างจาก iOS ตรงที่ MIUI ใส่ widget ได้
แถบแจ้งเตือนตั้งค่าได้ 2 แบบ แต่ผมชอบแบบเดิมๆ มันจะแยกการทำงานเป็น 2 tab คือ Notifications สำหรับแจ้งเตือน และ Toggles สำหรับตั้งค่าต่างๆ
ใน Notifications จะมีบอกปริมาณเนทที่ใช้งาน และแพคเกจที่เหลือ รวมทั้งเลือกได้ว่าจะแสดงชื่อเครือข่ายหรือไม่ หรือจะ edit ตั้งชื่อเครือข่ายเองก็ยังได้
การส่งข้อความมีลูกเล่นเหมือน iOS เลยครับ ก็คือถ้าส่งหา MIUI ด้วยกัน ไม่เสียค่า SMS เพราะจะถูกส่งผ่าน Cloud message แทน
และการแนบไฟล์ที่น่าสนใจคือ Contact ...มันคือการส่งเบอร์เพื่อนให้ปลายทาง โดยที่เราไม่ต้องไป copy หรือจำเบอร์
ส่วนการโทร ออกแบบมาใช้งานง่ายมากคือประวัติการโทรถูกรวมเข้ากับแป้นตัวเลข สามารถบันทึกเสียงสนทนา หรือจะตั้งอัตโนมัติก็ได้เช่นกัน , มีระบบโทรซ้ำอัตโนมัติ, สั่นเมื่อปลายทางรับสาย และบล็อกเบอร์
สำหรับใครที่ใช้มือถือรุ่นอื่นก็มีตัวช่วยสำหรับย้ายเบอร์มา Mi3 มีแนะนำแม้กระทั่งโนเกียรุ่นโบราณเลยทีเดียว
มีระบบ Cloud ที่น่าสนใจ สามารถสำรองข้อมูลของเครื่องได้หลายอย่าง และสามารถรับพื้นที่เพิ่มฟรีทุกเดือน ด้วยการเข้าใช้งานเว็บ i.xiaomi.com
จุดเด่นอีกอย่างของ Mi3 ก็คือสามารถเลือกลงรอมเป็นรุ่น developer ได้ ซึ่งมีข้อดีคือได้รับอัพเดทอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง และมาพร้อมกับสิทธิ์ root
ระบบป้องกันเนทรั่ว ให้เราตั้งว่าจะให้ใช้ mobile data โหลดไฟล์ที่มีขนาดใหญ่สูงสุดเท่าไร ถ้าใหญ่กว่านั้นจะโหลดต่อเมื่อมี Wi-Fi เท่านั้น
จุดเด่นอีกอย่างคือการส่งไฟล์ระหว่าง MIUI ทำได้ง่ายและส่งได้เร็วมาก วิธีใช้ก็เหมือนกับ AirDrop ของ Apple เลยครับ แค่กดส่งไฟล์ อีกเครื่องกดรับ เดี๋ยวมันจัดการที่เหลือให้เอง
Mi3 ฟังวิทยุได้โดยไม่จำเป็นต้องเสียบหูฟัง... ดูเผินๆเหมือนจะเป็นจุดเด่น แต่เอาเข้าจริงๆ ไม่มีหูฟังก็เหมือนไม่มีเสาสัญญาณ ฉะนั้นสัญญาณก็ไม่ค่อยดีเท่าไร
พื้นที่ 64 GB เหลือใช้จริงราวๆ 59 GB
เรื่องที่หลายคนไม่รู้ก็คือ แอนดรอยใส่ Micro SD เพิ่มได้ก็จริง แต่การติดตั้งแอพและเกมส่วนใหญ่บังคับให้ติดตั้งบนตัวเครื่อง ดังนั้นการมีพื้นที่เยอะแบบนี้ ลงเกมได้สะใจสุดๆ
และตัวแอพสำหรับจัดการไฟล์ที่มีมาให้ก็ใช้สะดวก และยังมีโหมด Show hidden files มาให้ในตัวด้วย
เรื่องที่จะข้ามไม่ได้เลยก็คือเรื่องของธีม เพราะหนึ่งในจุดเด่นของ MIUI ก็คือเรื่องธีมที่มีให้เลือกใช้เยอะมาก สวยๆทั้งนั้น ซึ่งบางอันก็ต้องเสียเงินซื้อ
จริงๆแล้วยังมีความสามารถอีกมากมายที่ผมคงพูดไม่หมดภายในรีวิวนี้ อย่างเช่น ระบบสำรองข้อมูลที่ดีมากๆ, ใส่รหัสล็อกเฉพาะแอพได้, ตั้งค่าปุ่มที่หูฟังได้, ตั้งค่าไมค์ตัดเสียงได้
เรื่องกล้องก็ถือเป็นจุดเด่นอีกอย่าง เพราะ Mi3 เกิดมาในช่วงที่ทิศทางการแข่งขันยังเน้นเรื่องความเร็วและ zero lag ทำให้ Mi3 ถ่ายได้เร็วมาก... โฟกัสก็เร็วมากจนบางคนบ่น
การใช้งานกล้องมี 2 โหมดคือ simple (รูปบน) และ advance (รูปล่าง) ที่ปรับแต่งได้เยอะกว่า ซึ่งโหมดใช้งานก็ทั่วไป แต่ครอบคลุมคือ
- Panorama
- Audio (สั่งถ่ายรูปด้วยเสียง)
- Auto adjust (ปรับแต่งให้ภาพสวยขึ้น)
- HDR (ถ่ายย้อนแสง หรือที่แสงต่างกันมาก)
- Hand-held Twilight (ถ่ายที่แสงน้อย)
นอกจากจะปิดเสียงกล้องได้แล้ว ยังตั้งปุ่มปรับเสียงแทนปุ่มชัตเตอร์ได้อีก ส่วนการตั้งค่าอื่นๆก็อย่างเช่น เลือก manual focus, manual exposure
อัดคลิปสูงสุดที่ Full HD และทำโหมด
slow Time lapse ได้ทั้งกล้องหน้าและหลัง
ลูกเล่นที่สนุกก็คือ แค่หยิบกล้องมาส่องหน้า มันก็จะเดาอายุและเพศครับ
ทดสอบกล้องกันบ้าง
ภาพนี้ถ่ายราวๆ 18:00 น. ภาพที่ได้ถือว่าทำได้ดีทีเดียว แต่เฉดสีค่อนข้างต่างจาก G2 โดยเฉพาะ HDR ของ Mi3 ที่ออกมาดูสีสันสดใสมากๆ
เป็นอันว่าในที่แสงเพียงพอ Mi3 ทำได้ดีมาก จุดเด่นคือถ่ายได้เร็วและภาพดูดี
แต่เมื่อเข้าสู่ที่แสงน้อย ก็แพ้ "เทพอับแสง" อย่าง G2 แบบชัดเจน (ไม่ต้องน้อยใจ ขนาด Galaxy S5 ยังแพ้เลย)
โดยรวมแล้ว มันทำให้ผมนึกถึงกล้อง Xperia Z ที่ถ่ายได้เร็ว และภาพออกมาดูดีเพียงพอกับการใช้งาน ส่วนที่แสงน้อยก็ทำได้พอๆกับค่ายอื่นๆ แต่อย่าเอาไปเทียบกับพวก LG G2, HTC One
สรุป
Mi3 มีข้อดีมากมาย ทั้งความเร็ว พื้นที่ใช้งาน รวมทั้งกล้องที่ทำงานได้เร็วมาก มี NFC และสามารถใช้งานร่วมกับ rabbit sim ได้ แต่ข้อเสียหลักๆคือ ไม่รองรับ LTE
Mi3 ไม่เหมาะสำหรับมือใหม่ แต่ไม่ยากถ้าคิดจะลอง เพราะเดิมๆมาเป็นภาษาอังกฤษปนจีน แต่สามารถโหลดภาษาอื่นมาใช้ได้ ...ที่สำคัญไม่มี google service ไม่สามารถใช้งาน play store, gmail ฯลฯ แต่การติดตั้ง google service ก็ง่ายมากๆ เพียงแค่โหลดแอพมาลง
โดยรวมผมคิดว่า Mi3 เป็นมือถือที่คุ้มและน่าใช้มากๆเครื่องหนึ่งครับ
ถ้าสนใจ หาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
http://www.miuizone.com (Official Fan Site in Thailand)
และติดตามพูดคุยกับผมได้ที่
http://www.facebook.com/bacidea
[CR] รีวิว Mi3 by bacidea (and miuizone [Fan Site in Thailand])
ถ้าใครที่ชอบเล่นรอมโม น่าจะคุ้นหูกับ MIUI รอมที่มีชื่อเสียงจากทางจีน ซึ่ง MIUI เป็นรอมที่แตกต่างจากรอมโมชื่อดังอย่าง CyanogenMod อย่างสิ้นเชิง
CyanogenMod เน้นความไวในการอัพเดทเป็นรุ่นล่าสุด เน้นความดิบ และให้ไปปรับแต่งเอง ส่วนทาง MIUI ไม่เน้นว่าต้องเป็นแอนดรอยรุ่นล่าสุด แต่เน้นการใช้งานจริง เน้นความสวยงามและพร้อมใช้มากกว่า ซึ่ง Mi3 เป็นมือถือที่เกิดมาพร้อม MIUI แม้ว่าวางขายตั้งแต่ปีก่อน แต่สเป็กยังถือว่าชนเรือธงปีนี้ได้เลย
- CPU Snapdragon 801
- RAM 2 GB
- พื้นที่ 16 หรือ 64 GB
- หน้าจอ 5 นิ้ว ความละเอียด Full HD (441 PPI)
- กล้องหลัง 13 ล้าน กล้องหน้า 2 ล้าน
- แบต 3050 mAh
- รองรับ 3G ทุกเครือข่าย (ไม่รองรับ LTE)
- น้ำหนัก 145 กรัม
ก่อนอื่นขอไขข้อข้องใจประเด็นเรื่อง CPU ว่าทำไมบางที่บอกว่าเป็น Snapdragon 800
ผมขออธิบายแบบนี้ครับ ความจริงแล้ว ไม่ว่าจะ 800, 801, 805 ก็ถือว่าเป็น series 800
ณ วันที่เปิดตัว Mi3 เป็นมือถือรุ่นแรกที่ใช้ 8274-AB ซึ่งเร็วที่สุดในตอนนั้น และตอนนั้นยังไม่มีรุ่น 801 อย่างเป็นทางการ เค้าเลยจัดว่าอยู่ในกลุ่มของ 800
แต่เมื่อมีการเปิดตัว 801 อย่างเป็นทางการ ก็ทำให้ Mi3 ถูกจัดอยู่ในกลุ่มของ 801 ด้วย
Source: http://en.wikipedia.org/wiki/Snapdragon_(system_on_chip)#Snapdragon_800
เป็นผลให้การ benchmark เร็วกว่ามือถือเรือธงของปีก่อนทั้งหมด
ผม benchmark จากเครื่องใช้จริง ที่มีการลงแอพ เล่นเกมจริง ไม่ใ่ช่เครื่อง factory reset โล่งๆนะครับ และเปิดโหมดพลังงานแบบปรกติ ไม่ได้เปิดแบบ high performance
รุ่นที่ผมจัดมารีวิว เป็นรุ่น 64 GB สีขาวจากร้าน ขอลบชื่อร้านป้องกันปัญหา
ราคาท้องตลาดประมาณ 16,000 - 17,000 บาทครับ ...แค่สเป็กก็คุ้มแล้ว ราคานี้ได้ 64 GB มีที่ไหน!
แกะกล่องมาเจอหัวชาร์จแล้วรู้สึก... กากมาก อันที่จริงมันก็ไม่ได้แย่เท่าไร เพียงแต่ผมรู้สึกว่ามันช่างขัดแย้งกับตัวเครื่องมากๆ
ตัวเครื่องเรียกได้ว่าดูดีมากๆ ซึ่งตัวเครื่องทั้ง 3 สีจะมีวัสดุที่ต่างกันออกไป
- สีขาว เหมือน Lumia มาก
- สีดำ ให้ความรู้สึกทนทาน
- สีเงิน ให้ความรู้สึกเหมือนโลหะ
ที่น่าสนใจคือ ถาดใส่ซิมเป็นขนาดปรกติ แต่มีถาดสำหรับ Micro, Nano SIM ขายแยกครับ
ข้อดีของ Mi3 สีขาวคือใส่เคสสีอะไรก็สวย รูปแรกเป็นเครื่องเปล่าๆ รูปที่ 2 เป็นซิลิโคนขุ่น ส่วนรูปที่ 3 เป็นซิลิโคนสีฟ้า
ที่สำคัญ Xiaomi ทำเคสสำหรับใส่ Power bank ด้วย มีหลายสีเหมือนกับเคส Mi3 เลย... เอากะเค้าดิ!
เมื่อเริ่มใช้งาน lock screen แบบเดิมๆ คือปัดไปแต่ละด้านจะเป็นการเข้าแต่ละแอพ ได้แก่ กล้อง, ข้อความ, การโทร และปลดล็อกหน้าจอ
แต่ถ้าแตะที่วงกลมตรงกลาง 2 ครั้ง จะเป็นการเรียกตัวควบคุมเครื่องเล่นเพลง
เดิมๆ กดค้างที่ menu เป็นการเข้า search หรือ assistance ถ้ากด home ค้างเป็นการเข้า recent apps แต่เราสามารถไปตั้งค่าสลับกัน หรือจะตั้งให้กด back ค้างเพื่อปิดแอพก็ทำได้
ส่วน recent apps ถ้าปัดขึ้นคือปิดแอพ ปัดลงคือล็อกแอพป้องกันเผลอปิด และกดที่ไม้กวาดเพื่อปิดทุกแอพ
launcher เจ้านี้ค่อนข้างคล้าย iOS ก็คือไม่มี app drawer ครับ แต่ต่างจาก iOS ตรงที่ MIUI ใส่ widget ได้
แถบแจ้งเตือนตั้งค่าได้ 2 แบบ แต่ผมชอบแบบเดิมๆ มันจะแยกการทำงานเป็น 2 tab คือ Notifications สำหรับแจ้งเตือน และ Toggles สำหรับตั้งค่าต่างๆ
ใน Notifications จะมีบอกปริมาณเนทที่ใช้งาน และแพคเกจที่เหลือ รวมทั้งเลือกได้ว่าจะแสดงชื่อเครือข่ายหรือไม่ หรือจะ edit ตั้งชื่อเครือข่ายเองก็ยังได้
การส่งข้อความมีลูกเล่นเหมือน iOS เลยครับ ก็คือถ้าส่งหา MIUI ด้วยกัน ไม่เสียค่า SMS เพราะจะถูกส่งผ่าน Cloud message แทน
และการแนบไฟล์ที่น่าสนใจคือ Contact ...มันคือการส่งเบอร์เพื่อนให้ปลายทาง โดยที่เราไม่ต้องไป copy หรือจำเบอร์
ส่วนการโทร ออกแบบมาใช้งานง่ายมากคือประวัติการโทรถูกรวมเข้ากับแป้นตัวเลข สามารถบันทึกเสียงสนทนา หรือจะตั้งอัตโนมัติก็ได้เช่นกัน , มีระบบโทรซ้ำอัตโนมัติ, สั่นเมื่อปลายทางรับสาย และบล็อกเบอร์
สำหรับใครที่ใช้มือถือรุ่นอื่นก็มีตัวช่วยสำหรับย้ายเบอร์มา Mi3 มีแนะนำแม้กระทั่งโนเกียรุ่นโบราณเลยทีเดียว
มีระบบ Cloud ที่น่าสนใจ สามารถสำรองข้อมูลของเครื่องได้หลายอย่าง และสามารถรับพื้นที่เพิ่มฟรีทุกเดือน ด้วยการเข้าใช้งานเว็บ i.xiaomi.com
จุดเด่นอีกอย่างของ Mi3 ก็คือสามารถเลือกลงรอมเป็นรุ่น developer ได้ ซึ่งมีข้อดีคือได้รับอัพเดทอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง และมาพร้อมกับสิทธิ์ root
ระบบป้องกันเนทรั่ว ให้เราตั้งว่าจะให้ใช้ mobile data โหลดไฟล์ที่มีขนาดใหญ่สูงสุดเท่าไร ถ้าใหญ่กว่านั้นจะโหลดต่อเมื่อมี Wi-Fi เท่านั้น
จุดเด่นอีกอย่างคือการส่งไฟล์ระหว่าง MIUI ทำได้ง่ายและส่งได้เร็วมาก วิธีใช้ก็เหมือนกับ AirDrop ของ Apple เลยครับ แค่กดส่งไฟล์ อีกเครื่องกดรับ เดี๋ยวมันจัดการที่เหลือให้เอง
Mi3 ฟังวิทยุได้โดยไม่จำเป็นต้องเสียบหูฟัง... ดูเผินๆเหมือนจะเป็นจุดเด่น แต่เอาเข้าจริงๆ ไม่มีหูฟังก็เหมือนไม่มีเสาสัญญาณ ฉะนั้นสัญญาณก็ไม่ค่อยดีเท่าไร
พื้นที่ 64 GB เหลือใช้จริงราวๆ 59 GB
เรื่องที่หลายคนไม่รู้ก็คือ แอนดรอยใส่ Micro SD เพิ่มได้ก็จริง แต่การติดตั้งแอพและเกมส่วนใหญ่บังคับให้ติดตั้งบนตัวเครื่อง ดังนั้นการมีพื้นที่เยอะแบบนี้ ลงเกมได้สะใจสุดๆ
และตัวแอพสำหรับจัดการไฟล์ที่มีมาให้ก็ใช้สะดวก และยังมีโหมด Show hidden files มาให้ในตัวด้วย
เรื่องที่จะข้ามไม่ได้เลยก็คือเรื่องของธีม เพราะหนึ่งในจุดเด่นของ MIUI ก็คือเรื่องธีมที่มีให้เลือกใช้เยอะมาก สวยๆทั้งนั้น ซึ่งบางอันก็ต้องเสียเงินซื้อ
จริงๆแล้วยังมีความสามารถอีกมากมายที่ผมคงพูดไม่หมดภายในรีวิวนี้ อย่างเช่น ระบบสำรองข้อมูลที่ดีมากๆ, ใส่รหัสล็อกเฉพาะแอพได้, ตั้งค่าปุ่มที่หูฟังได้, ตั้งค่าไมค์ตัดเสียงได้
เรื่องกล้องก็ถือเป็นจุดเด่นอีกอย่าง เพราะ Mi3 เกิดมาในช่วงที่ทิศทางการแข่งขันยังเน้นเรื่องความเร็วและ zero lag ทำให้ Mi3 ถ่ายได้เร็วมาก... โฟกัสก็เร็วมากจนบางคนบ่น
การใช้งานกล้องมี 2 โหมดคือ simple (รูปบน) และ advance (รูปล่าง) ที่ปรับแต่งได้เยอะกว่า ซึ่งโหมดใช้งานก็ทั่วไป แต่ครอบคลุมคือ
- Panorama
- Audio (สั่งถ่ายรูปด้วยเสียง)
- Auto adjust (ปรับแต่งให้ภาพสวยขึ้น)
- HDR (ถ่ายย้อนแสง หรือที่แสงต่างกันมาก)
- Hand-held Twilight (ถ่ายที่แสงน้อย)
นอกจากจะปิดเสียงกล้องได้แล้ว ยังตั้งปุ่มปรับเสียงแทนปุ่มชัตเตอร์ได้อีก ส่วนการตั้งค่าอื่นๆก็อย่างเช่น เลือก manual focus, manual exposure
อัดคลิปสูงสุดที่ Full HD และทำโหมด
slowTime lapse ได้ทั้งกล้องหน้าและหลังลูกเล่นที่สนุกก็คือ แค่หยิบกล้องมาส่องหน้า มันก็จะเดาอายุและเพศครับ
ทดสอบกล้องกันบ้าง
ภาพนี้ถ่ายราวๆ 18:00 น. ภาพที่ได้ถือว่าทำได้ดีทีเดียว แต่เฉดสีค่อนข้างต่างจาก G2 โดยเฉพาะ HDR ของ Mi3 ที่ออกมาดูสีสันสดใสมากๆ
เป็นอันว่าในที่แสงเพียงพอ Mi3 ทำได้ดีมาก จุดเด่นคือถ่ายได้เร็วและภาพดูดี
แต่เมื่อเข้าสู่ที่แสงน้อย ก็แพ้ "เทพอับแสง" อย่าง G2 แบบชัดเจน (ไม่ต้องน้อยใจ ขนาด Galaxy S5 ยังแพ้เลย)
โดยรวมแล้ว มันทำให้ผมนึกถึงกล้อง Xperia Z ที่ถ่ายได้เร็ว และภาพออกมาดูดีเพียงพอกับการใช้งาน ส่วนที่แสงน้อยก็ทำได้พอๆกับค่ายอื่นๆ แต่อย่าเอาไปเทียบกับพวก LG G2, HTC One
สรุป
Mi3 มีข้อดีมากมาย ทั้งความเร็ว พื้นที่ใช้งาน รวมทั้งกล้องที่ทำงานได้เร็วมาก มี NFC และสามารถใช้งานร่วมกับ rabbit sim ได้ แต่ข้อเสียหลักๆคือ ไม่รองรับ LTE
Mi3 ไม่เหมาะสำหรับมือใหม่ แต่ไม่ยากถ้าคิดจะลอง เพราะเดิมๆมาเป็นภาษาอังกฤษปนจีน แต่สามารถโหลดภาษาอื่นมาใช้ได้ ...ที่สำคัญไม่มี google service ไม่สามารถใช้งาน play store, gmail ฯลฯ แต่การติดตั้ง google service ก็ง่ายมากๆ เพียงแค่โหลดแอพมาลง
โดยรวมผมคิดว่า Mi3 เป็นมือถือที่คุ้มและน่าใช้มากๆเครื่องหนึ่งครับ
ถ้าสนใจ หาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.miuizone.com (Official Fan Site in Thailand)
และติดตามพูดคุยกับผมได้ที่ http://www.facebook.com/bacidea