แม่เพิ่งจะเสียไปไม่ทันไร พ่อคิดจะยกเมียน้อยขึ้นมาแทนที่แม่ทันที เกินกว่าจะทนไหวกับเรื่องนี้

กระทู้สนทนา
บอกก่อนว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องยาวที่ผมสุดจะทน ได้แต่พูดกับพี่น้องแล้วก็แฟนผม เพราะไม่อยากเอาไปเล่าให้ใครฟัง เล่าไปก็อาย แต่สุดท้ายผมทนไม่ไหวจริงๆ กับเรื่องนี้ เลยอยากเอามาระบายในพันทิป

แม่ผมเพิ่งจะเสียไปเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมาด้วยโรคมะเร็ง (แม่ผมอายุ 61 ปี) การจากไปของแม่ทำให้ผมเศร้าเสียใจอยู่นานมาก เพราะแม่คือทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตผม ที่ผ่านมาจะเรื่องอะไรก็ตามแม่จะเป็นคนจัดการทุกเรื่องในบ้าน แม้แต่เรื่องพ่อ พ่อผมล้มเป็นอัมพฤกษ์ครึ่งซีกตั้งแต่ต้นปี 55 ก่อนหน้านี้กลางปี 54 พ่อผมเคยล้มไปทีนึงแต่ก็พักฟื้นกลับมาเดินได้ช่วงปลายปีนั้น (ลืมบอกไปว่าแม่ผมเป็นพยาบาล) แต่ก็ไม่อาจฝืนโชคชะตา สุดท้ายพ่อก็ต้องล้มอีกครั้ง จนถึงปัจจุบันนี้ยังต้องใช้ไม้เท้าเดิน (ตอนนี้พ่อผม 62 ปี) แม่ผมเป็นคนที่ดูแลพ่อเป็นอย่างดีมาตลอด เพราะพ่อผมไม่เอาอะไรทั้งสิ้น ให้ฝึกกายภาพออกกำลังเองก็ไม่เอา จนแม่ผมต้องดุด่าว่าให้หลายต่อหลายครั้ง แม่บ่นกับผมหลายครั้งว่าจะไม่เอาแล้ว เบื่อพ่อแล้ว ไม่เอาอะไรทั้งสิ้น พูดไม่รู้เรื่อง อยากแต่จะไปหาพระให้รดน้ำมนต์ แก้กรรม แต่ก็เป็นแม่ทุกครั้งที่เป็นเดือดเป็นร้อนเรื่องพ่อ ถึงแม้จะบ่นว่ายังไงก็ตาม แต่แม่ก็เป็นคนที่รักพ่อมาก เป็นคนจัดการพาไปหาหมอด้วยตัวเองอยู่ทุกครั้ง คือไม่มีใครที่จะดูแลพ่อได้ดีกว่าแม่อีกแล้ว แม่ทำทุกอย่างเพื่อพ่อ แต่ก็เป็นพ่อที่ไม่เอาอะไรทั้งสิ้น ยังใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ เดี๋ยวก็บ่นอยากตาย ตายๆ ไปซะดีกว่า

ก่อนที่จะไปเรื่องเมียน้อยกับพ่อผม ขอท้าวความเรื่องแม่กับเมียน้อยคนนี้ก่อน แม่ผมรู้มาตลอดว่าพ่อมีเมียน้อย ตอนผมเด็กๆ จำได้ว่าเกือบบ้านแตกครั้งนึง แม่เคยถามผมครั้งนึงอยากย้ายออกจากบ้านไปอยู่กับแม่มั้ย พ่อมีเมียน้อย เคยพาผมไปดูบ้านเมียน้อยมาด้วย คุยกับญาติหลายคนว่าแต่ในท้ายที่สุด ก็เป็นพ่อที่บอกกับแม่เองว่าจะเลิกติดต่อกับเมียน้อยเพื่อเห็นแก่ลูก ผมก็เชื่ออย่างนั้นมาตลอดว่าพ่อเลิกข้องแวะกับคนๆ นี้แล้ว แต่หารู้ไม่ว่าเขายังติดต่อกันอยู่เรื่อยมา และแม่ผมก็รู้ แต่ไม่บอกใคร เก็บเอาไว้คนเดียวจนกระทั่งตายจากไป

แม่ผมถูกตรวจพบว่าเป็นมะเร็งที่ปอดเมื่อเดือนสิงหา ปี 56  ตอนที่ตรวจเจอนั้นยังอยู่ในระยะที่รักษาได้ ร่างกายของแม่ตอบสนองต่อการรักษาดีมาก อาการค่อยๆ ดีขึ้นเป็นลำดับจนก้อนที่ปอดยุบลงมาก รักษาอีกคอร์สเดียวก็จะหายขาดแล้ว แต่จู่ๆ ก็เกิดเหตุไม่คาดคิด ในเดือนตุลา 56 แม่ผมมีการเลือดออกในสมอง ต้องเข้ารับการผ่าตัดด่วน การผ่าตัดผ่านไปได้ด้วยดี แม่สามารถพูดได้ กินได้ทันทีหลังผ่าตัด ซึ่งมีน้อยรายมาก แต่ข่าวร้ายคือ หมอตรวจพบว่ามะเร็งได้ลามไปที่สมองแล้ว ในช่วงเดือน พ.ย. แม่ยังสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ แต่แล้วอาการของแม่ก็เริ่มทรุดลงเรื่อยๆ ตั้งแต่เดือนธันวาก่อนสิ้นปี พอขึ้นปีใหม่ 2557  แม่เริ่มมีอาการปวดตัว ปวดขา เมื่อทำ MRI แล้วพบว่ามะเร็งได้กระจายไปที่กระดูกแล้ว ช่วงนั้นทางบ้านผมได้แต่ทำใจรับกับข่าวร้ายที่จะมาถึงวันไหนก็ไม่รู้ ท้ายที่สุด แม่ผมก็จากไปในช่วงปลายเดือนมกรา ตรงนี้ทุกคนพอจะเข้าใจนะครับว่าผมและญาติพี่น้องทางบ้านผมจะรู้สึกอย่างไรที่ต้องสูญเสียแม่ผู้เป็นทุกสิ่งทุกอย่างไป

ในช่วงที่แม่ผมอาการเริ่มทรุดหนัก ผมจับได้ว่าพ่อผมยังคุยโทรศัพท์กับเมียน้อยอยู่ ทั้งๆ ที่แม่กำลังอาการแย่อยู่ ไม่เคยแม้แต่จะโทรศัพท์ไปถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ (ตรงนี้ต้องเกริ่นก่อนว่าผมอาศัยอยู่บ้านคนละจังหวัดกับพี่ชายคนโต แต่ไม่ไกลกันมาก ขับรถสองชั่วโมงถึงเพราะพี่ชายคนโตแต่งงานแล้วไปสร้างบ้านใหม่ พี่ชายกับพี่สะใภ้ผมทำงานในโรงพยาบาลประจำจังหวัดนั้นทั้งคู่ ผมกับพี่ชายคนกลางเห็นว่าให้พี่ชายคนโตกับพี่สะใภ้ดูแลแม่ทางนั้นจะสะดวกกว่ารู้เรื่องในโรงพยาบาลมากกว่าพวกผมสองคน โดยผมสองคนจะเฝ้าบ้านดูแลพ่อที่เป็นอัมพฤกษ์ให้เองแล้วจะสลับกันไปเฝ้าแม่ที่อยู่ทางนั้น มันเป็นช่วงเวลาที่ลำบากมากสำหรับบ้านผม) ทุกๆ วันที่แม่เจ็บป่วยอาการทรุดลงเรื่อย มีแต่พี่ชาย พี่สะใภ้และหลานอีกสองคนนอนกุมมือแม่ไว้ ไม่เคยมีโทรศัพท์จากพ่อมาถามเลยว่าแม่เป็นไงบ้าง หรือให้กำลังใจแม่ ในทางกลับกัน กลับมีแต่โทรไปหาเมียน้อย คิดถึง เป็นไงบ้างตัวเอง ทำอย่างนี้อยู่ทุกวันเสมือนว่าลูกคงไม่รู้อะไร บางทีโทรนัดกันให้มารับไปกินข้าว ตอนแรกผมยังไม่ปักใจเชื่อว่าเป็นเมียน้อย อาจจะเป็นลูกน้องเก่าที่ทำงานพ่อ แต่สุดท้ายผมสืบจนมั่นใจว่าใช่ บางวันพ่อมีการโทรไปบอกให้เมียน้อยเอาข้าวเอาน้ำมาส่งให้ที่บ้านอยู่เสมอ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในบริบทที่แม่ผมอาการกำลังทรุดลงเรื่อยๆ ก่อนตาย แต่ก่อนที่แม่จะตายนั้นพ่อก็ได้มาหาแม่ที่โรงพยาบาลสั่งเสียเป็นครั้งสุดท้าย

เมื่อแม่ผมจากไปแล้ว ผมก็ยังพบว่าพ่อก็ยังคุยกับเมียน้อยไม่เลิก แม้แต่ช่วงงานศพแม่เอง ตอนงานศพพ่อก็ร้องไห้เสียใจ แต่ไม่ทันไร ก็ไปโทรหาเมียน้อยอีกแล้ว วันนึงสามสี่ครั้ง งานศพแม่จัดสี่วันรวมวันเผา เขาสองคนก็ยังโทรคุยกันไม่เลิก เป็นคุณคุณจะรู้สึกอย่างไร ที่แม่เพิ่งตาย แต่พ่อก็คุยกับเมียน้อยไม่เลิก เสมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น จะจัดงานศพก็จัดไป ยังไงก็คุยกันกระหนุงกระหนิงกับเมียน้อยต่อไป ผมได้แต่เก็บเรื่องนี้ไว้ไม่พูด แค่บ่นๆ กับพี่ชายสองคนและพี่สะใภ้ จนกระทั่งงานศพแม่ผ่านพ้นไป พวกเราสี่คนก็ยังจับตาดูพ่ออยู่ แต่เหมือนว่ายิ่งหนักขึ้น และพ่อคงคิดว่าลูกไม่รู้เรื่องอะไร จนมีอยู่วันนึงเป็นจุดแตกหักของเรื่องนี้ ตอนนั้นแม่ผมเพิ่งเสียไปได้สองสัปดาห์ พ่อผมโทรตามให้เมียน้อยเอาข้าวปลามาส่งที่บ้าน (อ่อ ต้องพูดด้วยว่าบ้านที่พ่อและแม่สร้างด้วยกันมา) ตอนนั้นผมไม่อยู่บ้านไปธุระข้างนอก แต่พี่ชายคนกลางผมอยู่ เมียน้อยก็แอบเอาข้าวปลามาแขวนไว้หน้าบ้านเหมือนที่ทำมา แต่คราวนี้พี่ชายคนกลางผมอยากจะรู้ให้ได้ว่าคนๆ นี้คือใคร จึงรีบวิ่งออกไปดู ทันใดนั้น เมียน้อยก็ลุกลี้ลุกลนรีบใส่หมวกกันน็อค พร้อมกับร้องห้ามเสียงดังว่า "อย่าเข้ามานะ!!!" และรีบขี่มอไซด์หนีไปเลย เป็นคุณคุณจะคิดยังไง มันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากล

ผมกลับมาถึงบ้าน เลยเปิดอกเรื่องนี้คุยกันซักทีจริงจัง ผมถามว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร พ่อผมก็ยังโกหกหน้าตายว่าเป็นเมียเพื่อนเอาข้าวมาฝาก พร้อมกับแขวะพี่ชายผมว่าแพร่งพรายข่าวเร็วจริง ผมก็บอกว่า พ่อไม่ต้องโกหก เพิ่อนพ่อคนนี้เมียเขาตายไปแล้ว พ่อผมนั่งเงียบเป็น 10 นาที ผมถามซ้ำอีกครั้ง สุดท้ายพ่อก็พูดประโยคที่ทำร้ายจิตใจผมมากที่สุดในชีวิตว่า "เขาเป็นคนที่จะมาแทนแม่เราน่ะสิ" ผมก็จุก เสียใจ พูดอะไรไม่ออก หมดคำพูด ผมเลยถามต่อไปว่าพ่อคิดจะเอาเขามาแทนแม่นานหรือยัง ผมก็ได้คำตอบที่ตีกระหน่ำซ้ำลงไปที่จิตใจผมอีกครั้ง พ่อก็ตอบแบบหน้าตาเฉยไม่รู้สึกรู้สาอะไรว่า "ก็คิดมาเป็นสิบปีแล้ว" "ก็รู้จักมักคุ้นช่วยเหลือกันมาเป็นสิบปีแล้วตั้งแต่ปีที่แกเกิด" ผมถามทั้งน้ำตาซึมว่าพ่อไม่นึกถึงคุณงามความดีที่แม่ทำให้พ่อเลยเหรอถึงทำแบบนี้ ใครที่เป็นบ้าเป็นบอดูแลพ่อทั้งที่ตัวเองก็เป็นมะเร็ง ตอนแม่เจ็บจะตายอยู่แล้วเขาก็ยังนึกถึงแต่พ่อ เรียกแต่พ่อๆๆ ไม่เคยนึกถึงตัวเองเลยทั้งที่ตัวเองใกล้จะตายอยู่แล้ว พ่อทำแบบนี้ ไม่ทำร้ายแม่ ทำร้ายจิตใจลูกไปหน่อยเหรอพ่อ พ่อผมก็พูดอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไรอีกครั้งว่า "พ่อไปทำร้ายแม่ตรงไหน" อนึ่ง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในบริบทที่แม่ผมเพิ่งตายไปยังไม่ทันจะครบ 2 สัปดาห์ดี เป็นคุณคุณจะรู้สึกอย่างไร แม่ตายคนนึงก็เสียใจมากเกินพอแล้ว ยังไม่ทันไรพ่อพูดหน้าตาเฉยจะเอาเมียน้อยเป็นเมียใหม่ เมียน้อยที่แอบกินกันมาเป็นสิบปี ที่แม่ก็รู้ และต้องเก็บงำความรู้สึกเอาไว้คนเดียว

ทั้งผมและพี่ชายสองคนรวมทั้งพี่สะใภ้ก็รุมซักไซ้ กลัวว่าจะถูกหลอกเอาทรัพย์สมบัติไปหมดตัว อย่างพ่อเป็นอัมพฤกษ์ใครเขาจะเอาไปเป็นภาระถ้าพ่อไม่มีเงิน พ่อก็ยืนยัน นั่งยัน นอนยันว่าเมียน้อยนี่โคตรคนดี เขาไม่หวังอะไรหรอก ทรัพย์สมบัติเขามีเยอะแล้ว ผมก็สวนว่า งั้นพ่อไปแต่ตัวได้มั้ยล่ะ ถ้าเค้ารักพ่อจริงขนาดนั้นเขาก็ต้องดูแลพ่อได้เหมือนที่แม่ทำ แต่สิ่งที่พ่อตอบกลับมาคือ "มันก็ควรมีเงินไปให้เขาบ้าง" ตอบอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไรอีกครั้ว ไม่ว่าใครจะพูดอะไรแต่พ่อก็ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น แทนที่ว่าลูกเตือนอะไรแล้วพ่อจะฟัง กลับกลายเป็นว่ากลายเป็นสิ่งที่น่ารำคาญสำหรับพ่อ และพ่อก็คิดว่าลูกเป็นมารขัดขวางความรักหวานชื่นของเขากับเมียน้อย ความรักที่ทำร้ายแม่มาเป็นสิบปี อนึ่ง เมียน้อยคนนี้ก็อายุ 50 กว่าแล้ว แก่ขนาดนี้ก็ยังไม่ละเรื่องนี้ แถมมีอาชีพเป็นครู แม่ผมเคยพูดให้ฟังตอนเด็กๆ ว่า "เป็นครูยังทำตัวแบบนี้ แล้วจะไปสอนเด็กที่ไหนให้มันเป็นคนดีได้"

หลังจากวันนั้น ไม่นาน ผมเลยโทรไปหาเมียน้อยของพ่อ ให้รู้แดงรู้ดำกันไป แต่เมียน้อยก็เป็นเมียน้อยอยู่วันยังค่ำ พูดกับผมว่า "เธอก็เลือกเอานะว่าระหว่างความสุขของพ่อกับความสุขของเธอเอง ก็ไม่รู้สินะเห็นพ่อเธอบอกลูกไม่สนใจไม่ดูแล กับข้าวไม่ยอมหาให้ บอกอยู่เสมอว่าใจไม่ค่อยดี ไปตามพ่อเธอมาคุยสิจะได้รู้ว่าเขาจะเลือกใคร ไม่ต้องห่วงนะเรื่องทรัพย์สมบัติคุยกันแล้วว่าจะไม่เอาลูกมาเป็นข้อผูกมัดเดี๋ยวพี่เขาจะโอนส่วนของเขาให้ลูกไปเลย" พอผมย้อนว่า ก็ถ้ารักกันจริงเอาไปแต่ตัวได้มั้ยล่ะ เมียน้อยก็ย้อนว่า "เธอก็คิดดูเอานะ กับการที่จะต้องรับคนป่วยคนนึงมาดูแล ถ้าไม่มีเงินติดตัวมาด้วยเธอจะรับมามั้ยล่ะ" พูดมาถึงขนาดนี้ คนปกติทั่วไปที่มีสติสัมปชัญญะมากพอก็น่าจะรู้ว่าเขาหวังอะไรชัดเจน แต่พ่อผมก็ยังยืนกราน คนนี้แหละดีจริง ไม่หวังอะไรทั้งสิ้น เขามีเยอะแล้ว พอผมและพี่สะใภ้ซักพ่อหนักเข้าไปเรื่อยๆ พ่อก็ชอบพูดว่า "ไว้มาทำศพพ่อทีเดียวละกัน" "เดี๋ยวพ่อจะเอาหัวโขกเสาให้ตายมันตรงนี้" เป็นคุณคุณจะคิดอย่างไร ถ้าพ่อคุณหัวเด็ดตีนขาด ชาตินี้ต้องได้ครองคู่กับเมียน้อยให้ได้ ลูกไม่เห็นด้วยก็ช่างหัวมัน ฉันจะสุขสมของฉัน ลูกก็ปล่อยมันไป มันดูแลตัวเองได้แล้ว แม่ตายไปมันก็ต้องอยู่ด้วยตัวเองให้ได้ ส่วนฉันก็จะไปมีความสุขของฉัน ความสุขที่ฉันต้องแอบกินมาเป็นสิบปี ตอนนี้เป็นโอกาสดีที่ไม่ต้องแอบอีกต่อไป

นอกจากแม่ตายแล้ว พ่อคิดจะยกเมียน้อยขึ้นแทนแม่ทันที สิ่งที่ผมเสียใจที่สุด คือ การที่พ่อไปบอกใครต่อใครรวมทั้งเมียน้อยว่าลูกไม่สนใจ ลูกไม่ดูแล (เพื่อเป็นข้ออ้าง) ทั้งๆ ที่ผมสามพี่น้องและพี่สะใภ้ดูแลพ่อไม่เคยขาดซักอย่าง ทั้งเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวพาอาบน้ำพาเข้าห้องน้ำ หาข้าวปลา จะเหน็ดเหนื่อยขนาดไหนพวกเราสี่คนก็ไปหามาให้ ไปทำให้พ่อ แต่สำหรับพ่อไม่เคยเห็นในสิ่งที่พวกเราทำให้ แม้จะมีเรื่องเมียน้อยเข้ามาพวกเราก็ยังหน้าชื่นทำให้พ่อ ทั้งๆ ที่ในใจพวกเราทั้งโกรธและเสียใจมาก พ่อกลับคิดและเชื่อฝังหัวว่าลูกไม่สนใจ ลูกไม่ดูแล แต่นั่นคงเป็นเพราะลูกไม่ตามใจพ่อ เหมือนที่เมียน้อยตามใจ พี่คะพี่ขา เวลาคุยกับใครต่อใครก็โพนทะนาว่าลูกไม่ดูแลไม่สนใจ พ่อเคยคิดมั้ยว่าลูกจะเสียใจกับคำพูดของพ่อมากขนาดไหน คำพูดของพ่อมันทำร้ายลูกขนาดไหน แม่ตายคนนึงก็เกินพอแล้ว พ่อคิดจะมีเมียใหม่ที่แอบกินกันมา แล้วยังมาทำร้ายลูกด้วยการบอกว่าลูกไม่สนใจ เรื่องนี้มีประจักษ์พยานหลายคนที่เขาเห็นมาตลอดว่าพวกเราสี่คนดูแลพ่อแม่มาตลอด แต่พ่อก็ยังคิดและเชื่อฝังหัว (เพื่อเป็นข้ออ้าง) ว่าลูกไม่สนใจ ผมเลยถามว่าพ่อพูดแบบนั้นกับคนอื่นทำไม พ่อผมก็ได้บอกว่าโอ๊ยเข้าใจผิดกันไปเอง ไม่ได้พูดแบบนั้น จนถึงขนาดนี้พ่อก็ยังโกหก และคิดว่าลูกไม่รู้อะไร

(ต่อใน คห. ครับ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่