นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.ด้านบริหารงานเลือกตั้ง แถลงภาพรวมการใช้สิทธิเลือกตั้ง ส.ว. ทั่วประเทศว่า จากการรายงานผลการเลือกตั้งส.ว.อย่างไม่เป็นทางการ
จนถึงขณะนี้โดยในจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด 44,011,125 คน มาใช้สิทธิ 18,708,713 คน คิดเป็นร้อยละ 42.51 บัตรดี 15,519,942 บัตร คิดเป็นร้อยละ 82.96 บัตรเสีย 964,242 บัตร คิดเป็นร้อยละ 5.15 บัตรไม่ประสงค์ลงคะแนน 2,223,853 บัตร คิดเป็นร้อยละ 11.89 โดยกกต.พอใจกระบวนการจัดการเลือกตั้งที่เป็นไปด้วยความเรียบร้อย แต่ไม่พอใจกับจำนวนผู้ออกมาใช้สิทธิที่ค่อนข้างน้อย คาดว่าน่าจะมาจากสาเหตุหลายประการ ทั้งบรรยากาศทางการเมืองที่ทำให้ประชาชนไม่ตื่นตัว ผู้สมัคร ส.ว.ไม่ใช่คนของพรรคการเมือง ประชาชนจึงไม่มีความคุ้นเคย หรือไม่เห็นเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ
อย่างไรตามหลังการเลือกตั้ง กกต. ทยอยพิจารณาประกาศรับรองผล หากผู้ได้รับคะแนนสูงสุดรายใดไม่มีเรื่องร้องเรียนก็จะประกาศรับรองผลภายใน 7 วัน แต่หากผู้ได้รับคะแนนสูงสุดรายใดมีเรื่องร้องเรียน กกต. ก็จะพิจารณาสอบสวนให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน แต่หากดำเนินการไม่แล้วเสร็จ ก็จะประกาศรับรองผลการเลือกตั้งไปก่อนแล้ว จึงมาพิจารณาเรื่องร้องคัดค้านที่ค้างอยู่ให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี
สำหรับเรื่องร้องเรียน ส.ว. ในขณะนี้ที่มี 6 เรื่องนั้น โดยเป็น กทม. 2 เรื่อง และนครปฐม หนองบัวลำภู เลย เชียงใหม่ อย่างละ 1 เรื่องนั้น พบว่าเรื่องร้องเรียนทั้งหมดไม่ได้เป็นการร้องเรื่องการซื้อสิทธิขายเสียง โดยใน กทม. 2 เรื่อง 1 เรื่องเป็นการร้องผู้สมัครหลายรายที่เป็นตัวเต็งว่าติดป้ายหาเสียงไม่ถูกต้อง ขณะที่อีก 1 เรื่องเป็นกรณีร้อง คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ได้รับเลือกตั้งมาด้วยคะแนนสูงสุด กรณีนายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา ขึ้นเวที กปปส. สวนลุมพีนี เมื่อวันที่ 7 มี.ค. ปราศรัยจูงใจให้ให้ประชาชนเลือกคุณหญิงจารุวรรณเป็น ส.ว. เพื่อจะได้ร่วมกับ ส.ว.สรรหาโค่นระบอบทักษิณ
ทั้งนี้ นายสิงห์ทอง บัวชุม สมาชิกพรรคเพื่อไทย ได้ยื่นคำร้องถึงประธาน กกต. และกรรมการกกต. ผ่าน น.ส.สุรณี ผลทวี ผู้อำนวยการสำนักเลขานุการสำงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง เพื่อขอให้สืบสวนสอบสวนดำเนินคดีดังกล่าว โดยระบุว่าเนื้อหาการปราศรัยได้มีการชี้นำให้ประชาชนเลือก คุณหญิงจารุวรรณ ในการเลือกตั้ง ส.ว. ว่า เป็นผู้ที่ต่อต้านระบอบทักษิณมาโดยตลอด และเป็นอดีตผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และอดีต คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ที่ดำเนินคดีกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีในคดีที่ดินรัชดา รวมทั้งคดียึดทรัพย์ 46,000 ล้านบาท และมีจุดยืนร่วมกับมวลมหาประชาชน
นายสิงห์ทอง ระบุว่าการกระทำของนายไพบูลย์ ในฐานะที่เป็น ส.ว. ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ แล้วไปกล่าวชักชวนประชาชนให้เลือกผู้สมัคร ส.ว. เฉพาะบุคคลที่มีจุดยืนเดียวกันกับกลุ่ม กปปส. ทั้งที่มีผู้สมัครรับเลือกตั้งในแต่ละจังหวัดจำนวนหลายคน และควรเป็นสิทธิของประชาชนในการที่จะเลือกบุคคลด้วยความเป็นอิสระทางการเมือง การอ้างว่าถ้าเลือกผู้สมัครที่มีจุดยืนเดียวกันกับกลุ่ม กปปส. จะได้มาร่วมกับ ส.ว. ที่มาจากการสรรหาเพื่อต่อต้านระบอบทักษิณนั้น มีลักษณะเป็นการหลอกลวงหรือจูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัคร
อีกทั้งหน้าที่ของ ส.ว. ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสื่อสัตย์ ปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์ อย่างไรก็ตามการปราศรัยดังกล่าวมีการเผยแพร่สถานีโทรทัศน์ดาวเทียมบลูสกาย และเว็บไซต์ยูทูป เป็นที่รับรู้โดยทั่วไป แต่ คุณหญิงจารุวรรณ ก็มิได้ออกมาแสดงความเห็นห้ามปราม ยับยั้ง และ ปฏิเสธการสนับสนุนของนายไพบูลย์ จึงถือว่า คุณหญิงจารุวรรณ ได้รับประโยชน์จากการกระทำนั้น ย่อมทำให้การเลือกตั้งส.ว. กทม.มิได้เป็นไปโดยสุจริตตามมาตรา 103 วรรคแรก และวรรคสาม ประกอบมาตรา 122 ของ กฎหมายเลือกตั้ง ส.ส. และการได้มาซึ่ง ส.ว. ขณะที่นายไพบูลย์ ถือว่าใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบเป็นคุณเป็นโทษแก่ผู้สมัคร ตามมาตร 57 ประกอบมาตรา 137 และมาตรา 122 ของกฎหมายดังกล่าว
นอกจากนี้ ในอดีต นสพ.ประชาทรรศน์รายวัน ซึ่งเป็นของนายเนวิน ชิดชอบ โดยมีนาย พิธาน คลี่ขจาย หรือ “ตุ๊” อดีตบรรณาธิการกรุงเทพธุรกิจ และเสรีรายวัน (เจ๊งไปแล้ว) ทำหน้าที่กำกับข่าวนี้ได้รับเรื่องร้องเรียนความไม่ชอบมาพากลที่เกิดขึ้นในสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) จากกรณีคู่สัญญาของ สตง. คือบริษัท ออดิต แมเนจเม้นท์ คอนซัลแตนท์ จำกัด ซึ่งเข้ามารับงานจัดอบรมให้กับบุคลากรของ สตง. มูลค่าหลายล้านบาท ได้เช่าอาคารพาณิชย์ ของนายทรงเกียรติ เมณฑกา สามีตามกฎหมายของคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่า สตง. และกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ดังที่ปรากฎเนื้อหา รวมไปถึงเอกสารและภาพถ่ายที่ยืนยันเรื่องดังกล่าวไปแล้วนั้น
ประเด็นดังกล่าวได้สร้างความเคลือบแคลงสงสัย และสร้างความกังวลใจให้กับหลายฝ่ายเป็นอย่างยิ่ง เพราะหากเรื่องดังกล่าวเป็นความจริงก็หมายถึงเป็นเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อน อีกทั้งตำแหน่งหน้าที่การงานของคุณหญิงจารุวรรณ ไม่ว่าจะเป็นใน สตง. หรือที่ คตส. เป็นตำแหน่งที่ต้องตรวจสอบคนที่ประพฤติไปในทางทุจริต และต้องดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรม ซึ่งก็จะทำให้คุณหญิงจารุวรรณ ขาดความชอบธรรมในการดำรงตำแหน่งสำคัญทั้ง 2 ตำแหน่งดังกล่าวทันที
ทั้งนี้ หลายกระแสยังความพยายามที่จะจี้ให้คุณหญิงจารุวรรณ ออกมาสร้างความกระจ่างให้เกิดขึ้นแก่สังคมหรือแสดงความรับผิดชอบต่อเรื่องดังกล่าวด้วย “ประชาทรรศน์รายวัน” ได้ติดต่อไปยังหน้าห้องทำงานคุณหญิงจารุวรรณ เพื่อขอสัมภาษณ์ในประเด็นดังกล่าว เพื่อตอบข้อสงสัยของสังคม แต่ก็ได้รับการปฏิเสธจากเจ้าหน้าที่หน้าห้องโดยระบุว่าคุณหญิงติดประชุมตลอด ขณะที่นายสัก กอแสงเรือง โฆษก คตส.ในตอนนั้น ก็ปฏิเสธที่จะออกความเห็นในเรื่องดังกล่าวเช่นกัน โดยทันทีที่ทราบว่าผู้สื่อข่าวจะถามเรื่องอะไร ก็รีบชิงปฏิเสธว่าจะต้องรีบไปประชุม
ทางด้านนายวิชา มหาคุณ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ซึ่งมีหน้าที่ในการตรวจสอบการกระทำอันเป็นการทุริตคอรัปชั่นของข้าราชการ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีเรื่องดังกล่าวร้องเรียนมา จึงยังไม่สามารถทำการตรวจสอบอะไร ซึ่งตามกระบวนการแล้ว ปปช.ต้องรอให้มีผู้ร้องเรียนเสียก่อน จึงจะดำเนินการได้ตามระเบียบ ซึ่งหากมีการร้องเรียน ก็ต้องทำการตรวจาสอบในเชิงลึก เพื่อดูว่าเรื่องราวดังกล่าวมีมูลความจริงมากน้อยเพียงใด
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าจะมีการติดต่อให้คุณหญิงจารุวรรณทำการชี้แจงในเรื่องดังกล่าวหรือไม่ นายวิชา กล่าวต่อไปว่า เราจะทำข้ามขั้นตอนไม่ได้ เราคงยังไม่ติดต่อเพื่อให้เจ้าตัวออกมาชี้แจง คงต้องขอดูการร้องเรียนในประเด็นดังกล่าวเป็นอันดับแรกเสียก่อน จึงจะทำการตรวจสอบเพื่อหามูลความจริงง จากนั้นหากมีมูลเหตุมากเพียงพอ ก็จะต้องให้คุณหญิงจารุวรรณ ชี้แจงตามกระบวนการต่อไป
ส่วนทางด้านนายจรัญ ดิษฐาอภิชัย อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ให้ข้อคิดเห็นในประเด็นดังกล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องแรกที่มีการร้องเรียน เกี่ยวกับพฤติกรรมความไม่โปร่งใสของคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ก่อนหน้านี้มีหลายกรณีแต่ก็เงียบไป อย่างเช่นเมื่อคราวเดินทางไปดูงานที่ประเทศรัสเซีย ก็ปรากฎว่ามีชื่อลูกของคุณหญิงจารุวรรณ ร่วมคณะเดินทางไปด้วยทั้งที่ไม่ได้เป็นข้าราชการ และยังมีอีกคนที่ระบุว่าเป็นเลขานุการส่วนตัว ซึ่งจริงอยู่ว่าคนที่มีตำแหน่งดังกล่าวจะอ้างว่าแต่งตั้งใครไปทำงานภารกิจอะไรก็ได้ แต่คนดี มีคุณธรรม จริยธรรม เขาก็ไม่ทำแบบนี้กัน
ส่วนกรณีล่าสุดนี้ตนเองตั้งข้อสงสัยว่า เป็นเรื่องที่ไม่ชอบมาพากล และเจ้าตัวควรที่จะออกมาชี้แจง เนื่องจากการกระทำเช่นนี้เข่าข่ายขัดกฎหมายรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 252 ที่เกี่ยวกับคุณสมบัติการเป็นคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ซึ่งขัดต่อหลักความซื่อสัตย์ คุณธรรม จริยธรรม และศีลธรรมของผู้ดำรงตำแหน่ง อย่างไรก็ตามอยากเรียกร้องให้มีการร้องเรียนในกรณีนี้ และอยากให้องค์กรที่มีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาและดำเนินการ
“ผมไม่อยากจะเอ่ยว่าหน่วยงานใด เนื่องจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก็มาจากการแต่งตั้งหลังปฏิวัติทั้งสิ้น ดังนั้นจึงควรให้การพิจารณาตรวจสอบตัดสินเป็นหน้าที่ของรัฐบาลชุดใหม่ที่มาจากการเลือกตั้ง เพราะเกรงว่าคดีความจะเงียบหายไปเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งหากมีการพิจารณาว่ามีความผิดจริง ก็ผิดกฎหมายอาญาเช่นกัน ดังนั้นภาพลักษณ์ขององค์กรที่เจ้าตัวกุมบังเ
ยนอยู่ต้องสั่นคลอนแน่นอน”
เครดิต สำนักข่าวแซดนิวส์
http://www.znewsthailand.com/home/index.php/politics/item/424-senate
อาลัย "หญิงเป็ด” กกต.ส่อแขวน
จนถึงขณะนี้โดยในจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด 44,011,125 คน มาใช้สิทธิ 18,708,713 คน คิดเป็นร้อยละ 42.51 บัตรดี 15,519,942 บัตร คิดเป็นร้อยละ 82.96 บัตรเสีย 964,242 บัตร คิดเป็นร้อยละ 5.15 บัตรไม่ประสงค์ลงคะแนน 2,223,853 บัตร คิดเป็นร้อยละ 11.89 โดยกกต.พอใจกระบวนการจัดการเลือกตั้งที่เป็นไปด้วยความเรียบร้อย แต่ไม่พอใจกับจำนวนผู้ออกมาใช้สิทธิที่ค่อนข้างน้อย คาดว่าน่าจะมาจากสาเหตุหลายประการ ทั้งบรรยากาศทางการเมืองที่ทำให้ประชาชนไม่ตื่นตัว ผู้สมัคร ส.ว.ไม่ใช่คนของพรรคการเมือง ประชาชนจึงไม่มีความคุ้นเคย หรือไม่เห็นเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ
อย่างไรตามหลังการเลือกตั้ง กกต. ทยอยพิจารณาประกาศรับรองผล หากผู้ได้รับคะแนนสูงสุดรายใดไม่มีเรื่องร้องเรียนก็จะประกาศรับรองผลภายใน 7 วัน แต่หากผู้ได้รับคะแนนสูงสุดรายใดมีเรื่องร้องเรียน กกต. ก็จะพิจารณาสอบสวนให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน แต่หากดำเนินการไม่แล้วเสร็จ ก็จะประกาศรับรองผลการเลือกตั้งไปก่อนแล้ว จึงมาพิจารณาเรื่องร้องคัดค้านที่ค้างอยู่ให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี
สำหรับเรื่องร้องเรียน ส.ว. ในขณะนี้ที่มี 6 เรื่องนั้น โดยเป็น กทม. 2 เรื่อง และนครปฐม หนองบัวลำภู เลย เชียงใหม่ อย่างละ 1 เรื่องนั้น พบว่าเรื่องร้องเรียนทั้งหมดไม่ได้เป็นการร้องเรื่องการซื้อสิทธิขายเสียง โดยใน กทม. 2 เรื่อง 1 เรื่องเป็นการร้องผู้สมัครหลายรายที่เป็นตัวเต็งว่าติดป้ายหาเสียงไม่ถูกต้อง ขณะที่อีก 1 เรื่องเป็นกรณีร้อง คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ได้รับเลือกตั้งมาด้วยคะแนนสูงสุด กรณีนายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา ขึ้นเวที กปปส. สวนลุมพีนี เมื่อวันที่ 7 มี.ค. ปราศรัยจูงใจให้ให้ประชาชนเลือกคุณหญิงจารุวรรณเป็น ส.ว. เพื่อจะได้ร่วมกับ ส.ว.สรรหาโค่นระบอบทักษิณ
ทั้งนี้ นายสิงห์ทอง บัวชุม สมาชิกพรรคเพื่อไทย ได้ยื่นคำร้องถึงประธาน กกต. และกรรมการกกต. ผ่าน น.ส.สุรณี ผลทวี ผู้อำนวยการสำนักเลขานุการสำงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง เพื่อขอให้สืบสวนสอบสวนดำเนินคดีดังกล่าว โดยระบุว่าเนื้อหาการปราศรัยได้มีการชี้นำให้ประชาชนเลือก คุณหญิงจารุวรรณ ในการเลือกตั้ง ส.ว. ว่า เป็นผู้ที่ต่อต้านระบอบทักษิณมาโดยตลอด และเป็นอดีตผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และอดีต คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ที่ดำเนินคดีกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีในคดีที่ดินรัชดา รวมทั้งคดียึดทรัพย์ 46,000 ล้านบาท และมีจุดยืนร่วมกับมวลมหาประชาชน
นายสิงห์ทอง ระบุว่าการกระทำของนายไพบูลย์ ในฐานะที่เป็น ส.ว. ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ แล้วไปกล่าวชักชวนประชาชนให้เลือกผู้สมัคร ส.ว. เฉพาะบุคคลที่มีจุดยืนเดียวกันกับกลุ่ม กปปส. ทั้งที่มีผู้สมัครรับเลือกตั้งในแต่ละจังหวัดจำนวนหลายคน และควรเป็นสิทธิของประชาชนในการที่จะเลือกบุคคลด้วยความเป็นอิสระทางการเมือง การอ้างว่าถ้าเลือกผู้สมัครที่มีจุดยืนเดียวกันกับกลุ่ม กปปส. จะได้มาร่วมกับ ส.ว. ที่มาจากการสรรหาเพื่อต่อต้านระบอบทักษิณนั้น มีลักษณะเป็นการหลอกลวงหรือจูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัคร
อีกทั้งหน้าที่ของ ส.ว. ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสื่อสัตย์ ปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์ อย่างไรก็ตามการปราศรัยดังกล่าวมีการเผยแพร่สถานีโทรทัศน์ดาวเทียมบลูสกาย และเว็บไซต์ยูทูป เป็นที่รับรู้โดยทั่วไป แต่ คุณหญิงจารุวรรณ ก็มิได้ออกมาแสดงความเห็นห้ามปราม ยับยั้ง และ ปฏิเสธการสนับสนุนของนายไพบูลย์ จึงถือว่า คุณหญิงจารุวรรณ ได้รับประโยชน์จากการกระทำนั้น ย่อมทำให้การเลือกตั้งส.ว. กทม.มิได้เป็นไปโดยสุจริตตามมาตรา 103 วรรคแรก และวรรคสาม ประกอบมาตรา 122 ของ กฎหมายเลือกตั้ง ส.ส. และการได้มาซึ่ง ส.ว. ขณะที่นายไพบูลย์ ถือว่าใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบเป็นคุณเป็นโทษแก่ผู้สมัคร ตามมาตร 57 ประกอบมาตรา 137 และมาตรา 122 ของกฎหมายดังกล่าว
นอกจากนี้ ในอดีต นสพ.ประชาทรรศน์รายวัน ซึ่งเป็นของนายเนวิน ชิดชอบ โดยมีนาย พิธาน คลี่ขจาย หรือ “ตุ๊” อดีตบรรณาธิการกรุงเทพธุรกิจ และเสรีรายวัน (เจ๊งไปแล้ว) ทำหน้าที่กำกับข่าวนี้ได้รับเรื่องร้องเรียนความไม่ชอบมาพากลที่เกิดขึ้นในสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) จากกรณีคู่สัญญาของ สตง. คือบริษัท ออดิต แมเนจเม้นท์ คอนซัลแตนท์ จำกัด ซึ่งเข้ามารับงานจัดอบรมให้กับบุคลากรของ สตง. มูลค่าหลายล้านบาท ได้เช่าอาคารพาณิชย์ ของนายทรงเกียรติ เมณฑกา สามีตามกฎหมายของคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่า สตง. และกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ดังที่ปรากฎเนื้อหา รวมไปถึงเอกสารและภาพถ่ายที่ยืนยันเรื่องดังกล่าวไปแล้วนั้น
ประเด็นดังกล่าวได้สร้างความเคลือบแคลงสงสัย และสร้างความกังวลใจให้กับหลายฝ่ายเป็นอย่างยิ่ง เพราะหากเรื่องดังกล่าวเป็นความจริงก็หมายถึงเป็นเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อน อีกทั้งตำแหน่งหน้าที่การงานของคุณหญิงจารุวรรณ ไม่ว่าจะเป็นใน สตง. หรือที่ คตส. เป็นตำแหน่งที่ต้องตรวจสอบคนที่ประพฤติไปในทางทุจริต และต้องดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรม ซึ่งก็จะทำให้คุณหญิงจารุวรรณ ขาดความชอบธรรมในการดำรงตำแหน่งสำคัญทั้ง 2 ตำแหน่งดังกล่าวทันที
ทั้งนี้ หลายกระแสยังความพยายามที่จะจี้ให้คุณหญิงจารุวรรณ ออกมาสร้างความกระจ่างให้เกิดขึ้นแก่สังคมหรือแสดงความรับผิดชอบต่อเรื่องดังกล่าวด้วย “ประชาทรรศน์รายวัน” ได้ติดต่อไปยังหน้าห้องทำงานคุณหญิงจารุวรรณ เพื่อขอสัมภาษณ์ในประเด็นดังกล่าว เพื่อตอบข้อสงสัยของสังคม แต่ก็ได้รับการปฏิเสธจากเจ้าหน้าที่หน้าห้องโดยระบุว่าคุณหญิงติดประชุมตลอด ขณะที่นายสัก กอแสงเรือง โฆษก คตส.ในตอนนั้น ก็ปฏิเสธที่จะออกความเห็นในเรื่องดังกล่าวเช่นกัน โดยทันทีที่ทราบว่าผู้สื่อข่าวจะถามเรื่องอะไร ก็รีบชิงปฏิเสธว่าจะต้องรีบไปประชุม
ทางด้านนายวิชา มหาคุณ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ซึ่งมีหน้าที่ในการตรวจสอบการกระทำอันเป็นการทุริตคอรัปชั่นของข้าราชการ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีเรื่องดังกล่าวร้องเรียนมา จึงยังไม่สามารถทำการตรวจสอบอะไร ซึ่งตามกระบวนการแล้ว ปปช.ต้องรอให้มีผู้ร้องเรียนเสียก่อน จึงจะดำเนินการได้ตามระเบียบ ซึ่งหากมีการร้องเรียน ก็ต้องทำการตรวจาสอบในเชิงลึก เพื่อดูว่าเรื่องราวดังกล่าวมีมูลความจริงมากน้อยเพียงใด
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าจะมีการติดต่อให้คุณหญิงจารุวรรณทำการชี้แจงในเรื่องดังกล่าวหรือไม่ นายวิชา กล่าวต่อไปว่า เราจะทำข้ามขั้นตอนไม่ได้ เราคงยังไม่ติดต่อเพื่อให้เจ้าตัวออกมาชี้แจง คงต้องขอดูการร้องเรียนในประเด็นดังกล่าวเป็นอันดับแรกเสียก่อน จึงจะทำการตรวจสอบเพื่อหามูลความจริงง จากนั้นหากมีมูลเหตุมากเพียงพอ ก็จะต้องให้คุณหญิงจารุวรรณ ชี้แจงตามกระบวนการต่อไป
ส่วนทางด้านนายจรัญ ดิษฐาอภิชัย อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ให้ข้อคิดเห็นในประเด็นดังกล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องแรกที่มีการร้องเรียน เกี่ยวกับพฤติกรรมความไม่โปร่งใสของคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ก่อนหน้านี้มีหลายกรณีแต่ก็เงียบไป อย่างเช่นเมื่อคราวเดินทางไปดูงานที่ประเทศรัสเซีย ก็ปรากฎว่ามีชื่อลูกของคุณหญิงจารุวรรณ ร่วมคณะเดินทางไปด้วยทั้งที่ไม่ได้เป็นข้าราชการ และยังมีอีกคนที่ระบุว่าเป็นเลขานุการส่วนตัว ซึ่งจริงอยู่ว่าคนที่มีตำแหน่งดังกล่าวจะอ้างว่าแต่งตั้งใครไปทำงานภารกิจอะไรก็ได้ แต่คนดี มีคุณธรรม จริยธรรม เขาก็ไม่ทำแบบนี้กัน
ส่วนกรณีล่าสุดนี้ตนเองตั้งข้อสงสัยว่า เป็นเรื่องที่ไม่ชอบมาพากล และเจ้าตัวควรที่จะออกมาชี้แจง เนื่องจากการกระทำเช่นนี้เข่าข่ายขัดกฎหมายรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 252 ที่เกี่ยวกับคุณสมบัติการเป็นคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ซึ่งขัดต่อหลักความซื่อสัตย์ คุณธรรม จริยธรรม และศีลธรรมของผู้ดำรงตำแหน่ง อย่างไรก็ตามอยากเรียกร้องให้มีการร้องเรียนในกรณีนี้ และอยากให้องค์กรที่มีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาและดำเนินการ
“ผมไม่อยากจะเอ่ยว่าหน่วยงานใด เนื่องจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก็มาจากการแต่งตั้งหลังปฏิวัติทั้งสิ้น ดังนั้นจึงควรให้การพิจารณาตรวจสอบตัดสินเป็นหน้าที่ของรัฐบาลชุดใหม่ที่มาจากการเลือกตั้ง เพราะเกรงว่าคดีความจะเงียบหายไปเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งหากมีการพิจารณาว่ามีความผิดจริง ก็ผิดกฎหมายอาญาเช่นกัน ดังนั้นภาพลักษณ์ขององค์กรที่เจ้าตัวกุมบังเยนอยู่ต้องสั่นคลอนแน่นอน”
เครดิต สำนักข่าวแซดนิวส์
http://www.znewsthailand.com/home/index.php/politics/item/424-senate