คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 14
ขอแชร์ระบบการจัดการเงิน ของเรา แบบระเอียดและยาวหน่อยนะคะ
ของเราตั้งงบไว้คล้ายๆกันแต่เราทำเงินออมเป็นสองระบบ คือออมลืม กับออมฉุกเฉินคะ
วิธีของเรา ตอนนั้นเรามีรายได้ที่ 30,000บาท ต่อเดือน
ได้เงินมา30,000 เราจะตัดออกก่อนคิดอะไรเลย 20% (6,000 บาท) ให้แม่ไว้ใช้ส่วนตัวเลย 10% 3000บาท แล้วก็เอาไปออม 10% 3000 เข้าฝากประจำ(เรียกว่าออมลืม) หลังจากนั้นเหลือ80% 24000 ก็เอามาปันเป็น3ส่วน
คิดเปอร์เซ็๋น จากรายได้ทีเ่หลือ 24000 นะคะ เพระาโดนรายจ่ายประจ้ำ ประจำเข้าไปคะ
อันดับแรกคือเงินออม(ฉุกเฉิน) 15% 3600 บาท
ส่วนที่สองเป็นค่าจ้างตัวเอง 40% 9600 บาท
ส่วนที่สามคือค่าใช้จ่ายประจำ 45% 10800 บาท
รายละเอียดย่อย อีกชั้น
เงินที่เราหักให้แม่ก่อน เพราะเรารู้ว่าแต่ละเดือนเราต้องใช้เงินมากมายแค่ไหนเรากลัวจะมีข้ออ้างมาอ้างไม่ให้เงินแม่เลยตัดปัญหาโดยการได้มาจ่ายเลย ส่วนเงินออมเราฝากประจำ ทำเป็นลืมเอาไว้สะสมไปเรื่อยๆๆไม่เอามาใช้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น (แต่ก็เคยมีเหตุการณ์ที่เอาออกมาใช้จนได้คะ แถมเกลี้ยงเลย เพราะความใจอ่อนของเราเอง เลยต้องนับ1ใหม่คะ )
ส่วนที่1เงินออม เราแบ่งเงินออมออกมาเป็นสองส่วนซ้ำซ้อน อีกครั้ง เพื่อ 1 เอาไว้ใช้ยามฉุกเฉิน และส่วนที่2เอาไว้ซื้อของที่ชิ้นใหญ่และเราอยากได้มากๆ เช่นบ้านหลังใหม่ หรือ ค่ารักษาพยายามฉุกเฉิน (ก็เปิดบัญชี สองธนาคาร แบ่งเลย 40/60คะ )
ส่วนที่สอง ค่าจ้างตัวเอง ก็เอาไว้ทานข้าว ซื้อเสือ้ผ้าจะใช้อะไรก็ใช้ไร้สาระได้หมด จะกินเที่ยวอะไรก็ต้องไม่เกิน ค่าจ้างตัวเองคะ เพราะงั้น เราก็ลั่นล้าได้อย่างไม่กังวลเท่าไหร่คะ (หมด แบบไม่เสียดายหรือต้องกังวลคะ เรามีแอบทำเป็นเงินออม อีกเดือนละ 1000ด้วยนะ เอาไว้ซื้อกระเป๋าแบรนเนมของแท้มือสองใส่คะ 3-4เดือนได้ใบหนึ่งคะ )
ส่วนที่สาม ค่าใช้จ่ายประจำ ของเรามีแค่ค่าผ่อนรถ 4200 บาท (ผ่อนจนจะหมดแล้วละคะ รถเล็กๆดาวน์ไปเยอะ ) กับค่าน้ำไฟบ้าน อยู่สองคนกับแม่ 1500+ นิด ค่าโทรศัพท์ 600 ไม่เกินนี้ ค่าน้ำมัน(ไม่มาก เพราะบ้านอยู่ไกล้ที่ทำงาน) ค่าซองผ้าป่า มากน้อยแล้วแต่ว่าเหลือเงินเท่าไหร่คะ เงินส่วนนี้มักหมด ไม่เหลือสักเดือนเลยคะ มีเท่าไหร่ก็ไม่พอ ขนาดปันไว้เยอะที่สุดแล้วนะคะ เขาถึงเรียกว่ารายจ่าย เพราะมีแต่จ่ายกับจ่าย )
แต่ละ ส่วน เรายังมีส่วนย่อยหยิบอีกมากมาย ที่ทุกคนจะคิดว่ามันคือเรื่องหยุ่มหยิมนะคะ แต่ที่ผ่านมาเราทำจนฉินไปซะแล้ว เราแทบจะไม่เคยคิดเวลาเราซื้อของทาน ของใช้เลยสักครั้งเดียว เพราะเราเหลือเงินไว้สำหรับเรื่อง โอเวอร์ๆไว้แล้ว เพราะงั้น เราจะใช้เงินเวอร์ต่อหน้าเพื่อนบ้าง มันก็ไม่เข้าเนื้อเรา เพราะเราก็วางระบบรักษาความปลอดภัยไว้ในตัวเเล้ว แถมแต่ละเดือนเราก็ซื้อเสื้อผ้าเพิ่มได้อีก โดยไม่ต้องมากลุ้มใจสิ้นเดือนอีก บางเดือน เงินค่าจ้างตัวเองก็เอาเก็บไว้ สำหรับซื้อกระเป๋าแบรนเนมเอาไว้เวอร์ได้อีกคะ ของเราจะซื้อของแท้ มือสองมาใช้ เพราะอดทนเก็บจนซื้อมือ1ไมไ่ด้ แถมใช้มือสอง เพื่อนๆกลับมองว่าบ้านรวย มีของใช้มานานแล้ว เป็นเรื่องชิน แถมมีหลายใบมาก เรามักซ์้อหลุยส์ เพราะตอนนั้นหาได้ง่ายสุด และดูของแท้ของเทียมออก ถ้าใครอยากรู้ว่าซื้อที่ไหนไม่ต้องซิปมาถามนะคะ ไม่บอก คริคริ
ปล.บางคนอาจจะมองว่านี้คือเรื่องที่พิมพ์แต่งขึ้นมาเองหรือเปล่า ในชีวิตจริงจะทำแบบนี้ได้จริงๆงั้นหรอ เราตอบเลยว่า เราทำมาแล้ว ตอนนี้เราอายุ27ปี เราทำ มาตั้งแต่เราเริ่มมีเงิน เดือนของตัวเอง เพราะพ่อแม่ให้อยู่ รร ประจำตั้งแต่เด็กคะ แรกๆไม่เกิน 1-2อาทิตย์เงินหมดแล้ว กับค่าขนมมากมาย เลยเรียนรู้ที่จะแยกกระเป๋าคะ หลังจากน้ันก็สนุกกับการบริหารการเงิน จนเป็นส่วนหนึ่งไปแล้ว ทุกวันนี้ ก็ทำแบบนี้ แต่รายได้มากขึ้น รายจ่ายก็มากขึ้นด้วย แต่ถ้าเรารู้จักความพอเพียง อะไรที่ฟุ่มเพือย งดได้ก็งด พอได้ก็พอบางอย่างเราก็ควรใช้สมองเพื่อไตร่ตรองและหาวิธีซื้ออย่างชาญฉลาดคะ
ส่วนเรื่องการลงทุนก็หนี้ไม่พ้นหุ้นกับทองคะ
ของเราตั้งงบไว้คล้ายๆกันแต่เราทำเงินออมเป็นสองระบบ คือออมลืม กับออมฉุกเฉินคะ
วิธีของเรา ตอนนั้นเรามีรายได้ที่ 30,000บาท ต่อเดือน
ได้เงินมา30,000 เราจะตัดออกก่อนคิดอะไรเลย 20% (6,000 บาท) ให้แม่ไว้ใช้ส่วนตัวเลย 10% 3000บาท แล้วก็เอาไปออม 10% 3000 เข้าฝากประจำ(เรียกว่าออมลืม) หลังจากนั้นเหลือ80% 24000 ก็เอามาปันเป็น3ส่วน
คิดเปอร์เซ็๋น จากรายได้ทีเ่หลือ 24000 นะคะ เพระาโดนรายจ่ายประจ้ำ ประจำเข้าไปคะ
อันดับแรกคือเงินออม(ฉุกเฉิน) 15% 3600 บาท
ส่วนที่สองเป็นค่าจ้างตัวเอง 40% 9600 บาท
ส่วนที่สามคือค่าใช้จ่ายประจำ 45% 10800 บาท
รายละเอียดย่อย อีกชั้น
เงินที่เราหักให้แม่ก่อน เพราะเรารู้ว่าแต่ละเดือนเราต้องใช้เงินมากมายแค่ไหนเรากลัวจะมีข้ออ้างมาอ้างไม่ให้เงินแม่เลยตัดปัญหาโดยการได้มาจ่ายเลย ส่วนเงินออมเราฝากประจำ ทำเป็นลืมเอาไว้สะสมไปเรื่อยๆๆไม่เอามาใช้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น (แต่ก็เคยมีเหตุการณ์ที่เอาออกมาใช้จนได้คะ แถมเกลี้ยงเลย เพราะความใจอ่อนของเราเอง เลยต้องนับ1ใหม่คะ )
ส่วนที่1เงินออม เราแบ่งเงินออมออกมาเป็นสองส่วนซ้ำซ้อน อีกครั้ง เพื่อ 1 เอาไว้ใช้ยามฉุกเฉิน และส่วนที่2เอาไว้ซื้อของที่ชิ้นใหญ่และเราอยากได้มากๆ เช่นบ้านหลังใหม่ หรือ ค่ารักษาพยายามฉุกเฉิน (ก็เปิดบัญชี สองธนาคาร แบ่งเลย 40/60คะ )
ส่วนที่สอง ค่าจ้างตัวเอง ก็เอาไว้ทานข้าว ซื้อเสือ้ผ้าจะใช้อะไรก็ใช้ไร้สาระได้หมด จะกินเที่ยวอะไรก็ต้องไม่เกิน ค่าจ้างตัวเองคะ เพราะงั้น เราก็ลั่นล้าได้อย่างไม่กังวลเท่าไหร่คะ (หมด แบบไม่เสียดายหรือต้องกังวลคะ เรามีแอบทำเป็นเงินออม อีกเดือนละ 1000ด้วยนะ เอาไว้ซื้อกระเป๋าแบรนเนมของแท้มือสองใส่คะ 3-4เดือนได้ใบหนึ่งคะ )
ส่วนที่สาม ค่าใช้จ่ายประจำ ของเรามีแค่ค่าผ่อนรถ 4200 บาท (ผ่อนจนจะหมดแล้วละคะ รถเล็กๆดาวน์ไปเยอะ ) กับค่าน้ำไฟบ้าน อยู่สองคนกับแม่ 1500+ นิด ค่าโทรศัพท์ 600 ไม่เกินนี้ ค่าน้ำมัน(ไม่มาก เพราะบ้านอยู่ไกล้ที่ทำงาน) ค่าซองผ้าป่า มากน้อยแล้วแต่ว่าเหลือเงินเท่าไหร่คะ เงินส่วนนี้มักหมด ไม่เหลือสักเดือนเลยคะ มีเท่าไหร่ก็ไม่พอ ขนาดปันไว้เยอะที่สุดแล้วนะคะ เขาถึงเรียกว่ารายจ่าย เพราะมีแต่จ่ายกับจ่าย )
แต่ละ ส่วน เรายังมีส่วนย่อยหยิบอีกมากมาย ที่ทุกคนจะคิดว่ามันคือเรื่องหยุ่มหยิมนะคะ แต่ที่ผ่านมาเราทำจนฉินไปซะแล้ว เราแทบจะไม่เคยคิดเวลาเราซื้อของทาน ของใช้เลยสักครั้งเดียว เพราะเราเหลือเงินไว้สำหรับเรื่อง โอเวอร์ๆไว้แล้ว เพราะงั้น เราจะใช้เงินเวอร์ต่อหน้าเพื่อนบ้าง มันก็ไม่เข้าเนื้อเรา เพราะเราก็วางระบบรักษาความปลอดภัยไว้ในตัวเเล้ว แถมแต่ละเดือนเราก็ซื้อเสื้อผ้าเพิ่มได้อีก โดยไม่ต้องมากลุ้มใจสิ้นเดือนอีก บางเดือน เงินค่าจ้างตัวเองก็เอาเก็บไว้ สำหรับซื้อกระเป๋าแบรนเนมเอาไว้เวอร์ได้อีกคะ ของเราจะซื้อของแท้ มือสองมาใช้ เพราะอดทนเก็บจนซื้อมือ1ไมไ่ด้ แถมใช้มือสอง เพื่อนๆกลับมองว่าบ้านรวย มีของใช้มานานแล้ว เป็นเรื่องชิน แถมมีหลายใบมาก เรามักซ์้อหลุยส์ เพราะตอนนั้นหาได้ง่ายสุด และดูของแท้ของเทียมออก ถ้าใครอยากรู้ว่าซื้อที่ไหนไม่ต้องซิปมาถามนะคะ ไม่บอก คริคริ
ปล.บางคนอาจจะมองว่านี้คือเรื่องที่พิมพ์แต่งขึ้นมาเองหรือเปล่า ในชีวิตจริงจะทำแบบนี้ได้จริงๆงั้นหรอ เราตอบเลยว่า เราทำมาแล้ว ตอนนี้เราอายุ27ปี เราทำ มาตั้งแต่เราเริ่มมีเงิน เดือนของตัวเอง เพราะพ่อแม่ให้อยู่ รร ประจำตั้งแต่เด็กคะ แรกๆไม่เกิน 1-2อาทิตย์เงินหมดแล้ว กับค่าขนมมากมาย เลยเรียนรู้ที่จะแยกกระเป๋าคะ หลังจากน้ันก็สนุกกับการบริหารการเงิน จนเป็นส่วนหนึ่งไปแล้ว ทุกวันนี้ ก็ทำแบบนี้ แต่รายได้มากขึ้น รายจ่ายก็มากขึ้นด้วย แต่ถ้าเรารู้จักความพอเพียง อะไรที่ฟุ่มเพือย งดได้ก็งด พอได้ก็พอบางอย่างเราก็ควรใช้สมองเพื่อไตร่ตรองและหาวิธีซื้ออย่างชาญฉลาดคะ
ส่วนเรื่องการลงทุนก็หนี้ไม่พ้นหุ้นกับทองคะ
แสดงความคิดเห็น
พี่ๆช่วยผมดูหน่อยครับ ว่าผมวางแผนชีวิตแบบนี้โอเคไหม ขอบคุณครับ
ผมวางแผนไว้ว่า ในปีแรก จะเก็บเงินออมสัก 40%ของเงินเดือน , ค่าหอ ค่าเดินทาง ค่าเบ็ดเตล็ดต่างๆ 25% , ค่ากิน 25% และอีก 10% ก็จะให้พ่อแม่
ส่วนในปีต่อๆไป ถ้าเงินเดือนผมเพิ่มขึ้น ผมสามารถตั้งหลักได้พอสมควรแล้ว ก็อาจจะเพิ่ม % ในส่วนของเงินออมและส่วนที่ให้พ่อแม่ให้มากขึ้นกว่านี้ โดยที่ค่าใช้จ่ายต่างๆยังคงเดิมคือ 50% (ผมจะไม่ใช้บัตรเครดิต และจะไม่กู้เพื่อไปซื้ออะไรเป็นอันขาด)
ผมควรจะเอาเงินออมไปทำอะไรดี ?? ระหว่างฝากประจำก่อน 2 ปีแรก ซื้อ LTF RMF หรือ ประกันชีวิต ดีไหมครับ เพื่อที่จะได้ไปลดหย่อนภาษีของผมได้ด้วย เพราะหลังจากนี้ ผมอาจจะเอาเงินออมไปบวช , เรียนต่อ โท , สมัครสอบต่างๆที่เกี่ยวข้องกับอาชีพผมด้วย ผมก็เลยอยากจะขอคำแนะนำจากพี่ๆในห้องทุกคนว่า ผมทำแบบนี้ดีแล้วไหมครับ หรือ พี่ๆ มีอะไรจะแนะนำเพิ่มเติม ก็ขอบคุณมากๆๆๆนะครับ ^^