เครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายศาสนา นำผู้เสียหายร้องเอาผิดพระวัดหลวงพ่อเณร จ.เพชรบูรณ์ อวดอุตริทำพิธีมาสก์หน้าทองคำให้แม่ชี และหญิงสาว เสริมเสน่ห์ยาแฝด เรียกรับเงินครั้งละ 4 หมื่น เข้าข่ายฉ้อโกง ปชช. และพระผู้ทำพิธีกรรมต้องปาราชิก
วันนี้ (26 มี.ค.) ที่กองปราบปราม นายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รอง ผบก.ป. เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีต่อบุคคลที่แต่งกายคล้ายพระสงฆ์ หรือพระสงฆ์ซึ่งมีประพฤติไม่เหมาะสม รับประกอบพิธีกรรมปิดแผ่นทองคำบนใบหน้า (มาสก์หน้า) ให้กับแม่ชีและหญิงสาว เพื่อเป็นการเสริมเสน่ห์ เหตุเกิดที่วัดชัยอุดมมงคลธรรม หรือวัดหลวงพ่อเณร ต.หนองย่างทอย อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ ในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน, ความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และความผิดข้อหาอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยนำสำเนาภาพถ่าย 6 ภาพ และเอกสารที่เกี่ยวข้องมอบไว้เป็นหลักฐาน
นายสงกานต์กล่าวว่า สำหรับกรณีที่เกิดขึ้นนั้นตนได้รับข้อมูลจากเครือข่าย “ชมรมคนรักพระพุทธศาสนา” โดยมีผู้ส่งภาพที่มีชื่อว่า “พุทธิศักดิ์คลินิก” แสดงถึงพฤติกรรมต่างๆ ที่ไม่เหมาะสมของพระสงฆ์ ซึ่งทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เข้าตรวจสอบเรื่องนี้แล้วตามที่มีการนำเสนอข่าวผ่านสื่อมวลชนหลายแขนง นอกจากนี้ยังพบว่ามีการเรียกรับเงินเพื่อประกอบพิธีกรรมดังกล่าวรายละ 30,000-40,000 บาท มีการโฆษณาลงในนิตยสารด้านไสยศาสตร์อย่างโจ๋งครึ่ม ซึ่งเข้าข่ายความผิดอาญา ส่วนทางสงฆ์ถือเป็นการอวดคุณวิเศษ หรืออวดอุตริมนุสธรรม ต้องปาราชิก
นายสงกานต์กล่าวต่อว่า การโฆษณาที่เข้าข่ายลักษณะนี้ยังมีข้อมูลปรากฏทางเว็บไซต์ที่เครือข่ายฯ ตรวจสอบพบมาตั้งแต่ปี 2555 ที่ผ่านมา เช่น กรณีที่ตำรวจ บก.ป.ได้เข้าจับกุมหมอการเวก รับทำเสน่ห์ “เทพหน้าทอง เสน่ห์มอญแปลงรูป” และพบการหลอกลวงที่คล้ายคลึงกันอย่างต่อเนื่อง เมื่อตนได้ภาพและเบาะแสต่างๆ ก็มีการตรวจสอบในเบื้องต้น อย่างไรก็ดี สำหรับกรณีของวัดดังกล่าวนั้นมีความชัดเจนในระดับหนึ่ง แม้ทางวัดจะอ้างว่าพระที่รับทำพิธีกรรมเป็นชาวมาเลเซียและสึกไปแล้ว ก็ต้องมีชื่อ รวมทั้งพระและบุคคลที่ปรากฏในภาพก็ต้องตรวจสอบได้ว่าเป็นใคร เพราะมีความชัดเจนไม่ได้มีการตัดต่อภาพแต่อย่างใด กรณีนี้เจ้าอาวาสวัดจะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้
นายสงกานต์กล่าวอีกว่า นอกจากกรณีที่เกิดขึ้นกับวัดแห่งนี้แล้ว ตนยังพบอีก 2 กรณีที่ปรากฏภาพหญิงสาวชาวต่างชาติเปลือยกายถ่ายรูปคู่กับพระพุทธรูป เป็นการดูหมิ่นพระพุทธศาสนา โดยมีข้อมูลเบื้องต้นว่าเป็นแกลเลอรีย่านถนนสีลม กทม. และภาพพระสงฆ์สวมแหวนที่มือซ้ายของหญิงสาวด้วยใบหน้าระรื่น เป็นการกระทำที่ขัดต่อพระธรรมวินัย ที่มีข้อมูลว่าเป็นเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นที่วัดแห่งหนึ่งใน จ.สุรินทร์ ทั้งสองกรณีนี้ตนก็ประสงค์ที่จะให้ตำรวจ บก.ป.ได้ตรวจสอบและพิจารณาดำเนินการเช่นเดียวกัน ส่วนสาเหตุที่เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษในครั้งนี้ เป็นเพราะเชื่อมั่นการทำงานของตำรวจ บก.ป.ที่เคยทำคดีนายวิรพล สุขผล หรืออดีตหลวงปู่เณรคำ
ด้าน พ.ต.อ.ประสพโชคกล่าวว่า ได้รับเรื่องไว้สอบสวนโดยในส่วนของกรณีมาร์คหน้าทองคำ ได้มอบหมายให้พนักงานสอบสวน กก.4 บก.ป.รับไว้ดำเนินการ ส่วนอีก 2 กรณีที่มีการร้องทุกข์ไว้ด้วยนั้น ก็จะมอบหมายให้ทาง กก.1 และ กก.3 บก.ป.เจ้าของพื้นที่รับผิดชอบรับเรื่องและสอบสวนข้อเท็จจริง ทั้งนี้ คงจะมีการพิจารณาเรียกสอบพยานจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ก่อนจะพิจารณาว่ามีการกระทำที่เข้าข่ายความผิดฐานใดหรือไม่ เพื่อรวบรวมพยานหลักฐานในการดำเนินคดี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างการเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษครั้งนี้ นายสงกานต์ได้พาหญิงสาวที่มีรูปร่างและลักษณะใบหน้าที่ใกล้เคียงกับภาพผู้หญิงที่ปรากฏเข้ารับการมาสก์หน้าทองคำ โดยนำเอาน้ำมันจันที่หาซื้อได้ตามท้องตลาด ใช้ทาบริเวณใบหน้าก่อนจะนำทองคำเปลวมาแปะไว้ ซึ่งระหว่างการสาธิต นายสงกานต์ระบุด้วยว่าการทำมาสก์หน้าทองคำนั้นไม่ใช่เรื่องยาก และใครก็ทำได้ กรณีที่เกิดขึ้นจึงเข้าข่ายเป็นการหลอกลวงอย่างชัดเจน
ข่าวจาก : ASTVผู้จัดการออนไลน์
http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9570000034233
แจ้งจับพระจัดพิธีกรรม “มาสก์หน้าทองคำ” ตุ๋นเงินเหยื่อสาว
เครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายศาสนา นำผู้เสียหายร้องเอาผิดพระวัดหลวงพ่อเณร จ.เพชรบูรณ์ อวดอุตริทำพิธีมาสก์หน้าทองคำให้แม่ชี และหญิงสาว เสริมเสน่ห์ยาแฝด เรียกรับเงินครั้งละ 4 หมื่น เข้าข่ายฉ้อโกง ปชช. และพระผู้ทำพิธีกรรมต้องปาราชิก
วันนี้ (26 มี.ค.) ที่กองปราบปราม นายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รอง ผบก.ป. เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีต่อบุคคลที่แต่งกายคล้ายพระสงฆ์ หรือพระสงฆ์ซึ่งมีประพฤติไม่เหมาะสม รับประกอบพิธีกรรมปิดแผ่นทองคำบนใบหน้า (มาสก์หน้า) ให้กับแม่ชีและหญิงสาว เพื่อเป็นการเสริมเสน่ห์ เหตุเกิดที่วัดชัยอุดมมงคลธรรม หรือวัดหลวงพ่อเณร ต.หนองย่างทอย อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ ในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน, ความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และความผิดข้อหาอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยนำสำเนาภาพถ่าย 6 ภาพ และเอกสารที่เกี่ยวข้องมอบไว้เป็นหลักฐาน
นายสงกานต์กล่าวว่า สำหรับกรณีที่เกิดขึ้นนั้นตนได้รับข้อมูลจากเครือข่าย “ชมรมคนรักพระพุทธศาสนา” โดยมีผู้ส่งภาพที่มีชื่อว่า “พุทธิศักดิ์คลินิก” แสดงถึงพฤติกรรมต่างๆ ที่ไม่เหมาะสมของพระสงฆ์ ซึ่งทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เข้าตรวจสอบเรื่องนี้แล้วตามที่มีการนำเสนอข่าวผ่านสื่อมวลชนหลายแขนง นอกจากนี้ยังพบว่ามีการเรียกรับเงินเพื่อประกอบพิธีกรรมดังกล่าวรายละ 30,000-40,000 บาท มีการโฆษณาลงในนิตยสารด้านไสยศาสตร์อย่างโจ๋งครึ่ม ซึ่งเข้าข่ายความผิดอาญา ส่วนทางสงฆ์ถือเป็นการอวดคุณวิเศษ หรืออวดอุตริมนุสธรรม ต้องปาราชิก
นายสงกานต์กล่าวต่อว่า การโฆษณาที่เข้าข่ายลักษณะนี้ยังมีข้อมูลปรากฏทางเว็บไซต์ที่เครือข่ายฯ ตรวจสอบพบมาตั้งแต่ปี 2555 ที่ผ่านมา เช่น กรณีที่ตำรวจ บก.ป.ได้เข้าจับกุมหมอการเวก รับทำเสน่ห์ “เทพหน้าทอง เสน่ห์มอญแปลงรูป” และพบการหลอกลวงที่คล้ายคลึงกันอย่างต่อเนื่อง เมื่อตนได้ภาพและเบาะแสต่างๆ ก็มีการตรวจสอบในเบื้องต้น อย่างไรก็ดี สำหรับกรณีของวัดดังกล่าวนั้นมีความชัดเจนในระดับหนึ่ง แม้ทางวัดจะอ้างว่าพระที่รับทำพิธีกรรมเป็นชาวมาเลเซียและสึกไปแล้ว ก็ต้องมีชื่อ รวมทั้งพระและบุคคลที่ปรากฏในภาพก็ต้องตรวจสอบได้ว่าเป็นใคร เพราะมีความชัดเจนไม่ได้มีการตัดต่อภาพแต่อย่างใด กรณีนี้เจ้าอาวาสวัดจะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้
นายสงกานต์กล่าวอีกว่า นอกจากกรณีที่เกิดขึ้นกับวัดแห่งนี้แล้ว ตนยังพบอีก 2 กรณีที่ปรากฏภาพหญิงสาวชาวต่างชาติเปลือยกายถ่ายรูปคู่กับพระพุทธรูป เป็นการดูหมิ่นพระพุทธศาสนา โดยมีข้อมูลเบื้องต้นว่าเป็นแกลเลอรีย่านถนนสีลม กทม. และภาพพระสงฆ์สวมแหวนที่มือซ้ายของหญิงสาวด้วยใบหน้าระรื่น เป็นการกระทำที่ขัดต่อพระธรรมวินัย ที่มีข้อมูลว่าเป็นเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นที่วัดแห่งหนึ่งใน จ.สุรินทร์ ทั้งสองกรณีนี้ตนก็ประสงค์ที่จะให้ตำรวจ บก.ป.ได้ตรวจสอบและพิจารณาดำเนินการเช่นเดียวกัน ส่วนสาเหตุที่เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษในครั้งนี้ เป็นเพราะเชื่อมั่นการทำงานของตำรวจ บก.ป.ที่เคยทำคดีนายวิรพล สุขผล หรืออดีตหลวงปู่เณรคำ
ด้าน พ.ต.อ.ประสพโชคกล่าวว่า ได้รับเรื่องไว้สอบสวนโดยในส่วนของกรณีมาร์คหน้าทองคำ ได้มอบหมายให้พนักงานสอบสวน กก.4 บก.ป.รับไว้ดำเนินการ ส่วนอีก 2 กรณีที่มีการร้องทุกข์ไว้ด้วยนั้น ก็จะมอบหมายให้ทาง กก.1 และ กก.3 บก.ป.เจ้าของพื้นที่รับผิดชอบรับเรื่องและสอบสวนข้อเท็จจริง ทั้งนี้ คงจะมีการพิจารณาเรียกสอบพยานจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ก่อนจะพิจารณาว่ามีการกระทำที่เข้าข่ายความผิดฐานใดหรือไม่ เพื่อรวบรวมพยานหลักฐานในการดำเนินคดี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างการเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษครั้งนี้ นายสงกานต์ได้พาหญิงสาวที่มีรูปร่างและลักษณะใบหน้าที่ใกล้เคียงกับภาพผู้หญิงที่ปรากฏเข้ารับการมาสก์หน้าทองคำ โดยนำเอาน้ำมันจันที่หาซื้อได้ตามท้องตลาด ใช้ทาบริเวณใบหน้าก่อนจะนำทองคำเปลวมาแปะไว้ ซึ่งระหว่างการสาธิต นายสงกานต์ระบุด้วยว่าการทำมาสก์หน้าทองคำนั้นไม่ใช่เรื่องยาก และใครก็ทำได้ กรณีที่เกิดขึ้นจึงเข้าข่ายเป็นการหลอกลวงอย่างชัดเจน
ข่าวจาก : ASTVผู้จัดการออนไลน์
http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9570000034233