สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 14
จากละครลูกทาสช่อง 3 ขณะนี้
ทาสมักพูดทำนองว่า ทาสมีความเป็นอยู่ดีกว่าสัตว์นิดเดียว
แต่ทาสในละครสวย หล่อ เกินจริงกันทุกคน เสื้อผ้าก็ดูดี ไม่เก่าขาดมาก
แต่สมัยนั้น คงเนื้อตัวเหม็น เพราะทำแต่งาน ได้อาบน้ำเฉพาะก่อนนอน ไม่ได้ประทินโฉม
เลื้อผ้าอาจใกล้เคียงผ้าขี้ริ้ว
โอกาสลูก-เมียจะตกเป็นทาสได้ง่าย ถ้าพ่อแม่-ผัว ใครดิดการพนัน หรือเจ็บป่วยไข้เรื้อรัง
เพราะต้องเอาลูกหรือเมียไปขาย เป็นทาส นำเงินมาใช้ โอกาสได้ไถ่ตัวกลับเป็นไทแทบไม่มี
เลิกทาสไปเสียได้... ดีแล้ว
เทิดทูนล้นเกล้า พระปิยะมหาราช
ทาสมักพูดทำนองว่า ทาสมีความเป็นอยู่ดีกว่าสัตว์นิดเดียว
แต่ทาสในละครสวย หล่อ เกินจริงกันทุกคน เสื้อผ้าก็ดูดี ไม่เก่าขาดมาก
แต่สมัยนั้น คงเนื้อตัวเหม็น เพราะทำแต่งาน ได้อาบน้ำเฉพาะก่อนนอน ไม่ได้ประทินโฉม
เลื้อผ้าอาจใกล้เคียงผ้าขี้ริ้ว
โอกาสลูก-เมียจะตกเป็นทาสได้ง่าย ถ้าพ่อแม่-ผัว ใครดิดการพนัน หรือเจ็บป่วยไข้เรื้อรัง
เพราะต้องเอาลูกหรือเมียไปขาย เป็นทาส นำเงินมาใช้ โอกาสได้ไถ่ตัวกลับเป็นไทแทบไม่มี
เลิกทาสไปเสียได้... ดีแล้ว
เทิดทูนล้นเกล้า พระปิยะมหาราช
ความคิดเห็นที่ 18
^ คห. 7 คดีนั้นนายจ้างถูกประหารนะคะ อจ. เทาชมพูเล่าเอาไว้ใน http://www.reurnthai.com/index.php?topic=5553.msg120078#msg120078
“ในรัชกาลที่ ๕ มีผู้หญิงถูกตัดสินประหารชีวิตชื่อ"อีอยู่" มีหลักฐานบันทึกตรงกันทั้งไทยและฝรั่ง ฝรั่งคนนั้นชื่อ นาย Carl Bock นักธรรมชาติวิทยาชาวนอรเวย์ เดินทางเข้ามาสำรวจดินแดนไทยและเผอิญได้ไปดูการประหารอีอยู่ด้วย ก็เลยเขียนไว้อย่างละเอียดว่า
“ ฆ่าฉันเสียเร็วๆ ฆ่าฉันเสียเร็วๆ ” เสียงตะโกนจากนักโทษประหารซึ่งเป็นหญิง เพชฌฆาตหกคนยังคงร่ายรำดาบ ถอยหน้าถอยหลังอยู่เบื้องหลังนักโทษอีกครู่ ก่อนที่เพชฌฆาตมือหนึ่งจะวิ่งเข้าฟันคออย่างแรง จนศีรษะขาด เลือดพุ่งกระฉูด ผู้คนที่มุงดูการประหารจึงค่อยเริ่ม แยกย้ายกันกลับไป เสียงพึมพำดังจับความได้ว่า ต่างก็พอใจที่ผู้ตายได้รับกรรมที่กระทำไว้แล้ว แม้แต่ในหมู่ญาติพี่น้องของหล่อนเอง!
เพชฌฆาตยังคงทำงานต่อไปด้วยการตัดข้อเท้าซึ่งมีโซ่ตรวนพันธนาการไว้ และตัดศพออกเป็นชิ้น แล่เนื้อออกจากกระดูก ทิ้งตับไตไส้พุงไว้เป็นทานแก่แร้งกา ส่วนศีรษะเอาไปเสียบไม้ไผ่ปักประจานไว้ให้มองเห็นได้แต่ไกล
หญิงที่ถูกประหารนี้ไม่ใช่หญิงชาวบ้านสามัญธรรมดา แม้ว่าเมื่อถูกประหาร ทางการเรียกว่า "อีอยู่" แต่ว่าก่อนหน้านี้แค่เดือนเศษ อีอยู่คือคุณนายอยู่ ภรรยาของพระบรรฦาสิงหนาท แต่คุณนายอยู่ไม่รักดี ลักลอบเป็นชู้กับทาสในเรือนชื่อ ไฮ้ มั่วสุมกันอยู่ถึงสองปีเศษโดยตัวสามีไม่รู้เรื่อง ซึ่งก็คงยังไม่เป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา ถ้าไม่เป็นเพราะอ้ายไฮ้เอง เกิดไปลักลอบได้เสียกับนางทาสอีกคนหนึ่งชื่อ เกลี้ยง หลังจากทั้งคู่สมสู่กันได้สามเดือน ความเรื่องของคุณนายอยู่เป็นชู้กับอ้ายไฮ้ก็เกิดแตกขึ้นมา
วันนั้นพระบรรฦาฯ กลับบ้านเร็วกว่าปกติจึงจับได้คาเตียงว่าเมียเป็นชู้กับทาส ก็เลยทำโทษอ้ายไฮ้ด้วยการโบย ๕๐ที แล้วล่ามโซ่ไว้ที่ครัวไฟ แต่พระบรรฦาฯ อาจจะกลัวเมียหรืออะไรสักอย่างจึงไม่ได้ลงโทษภรรยา เห็นได้จากคุณนายยังกินเหล้าเมามายหลังจากนั้นและอาละวาดเล่นงานทาสอื่นๆได้อย่างหนัก แสดงว่าคงไม่ได้ถูกสามีซ้อมแต่อย่างใด
บ้านคุณนายอยู่นี่เละเทะกันทั้งบ่าวทั้งนาย เพราะอ้ายไฮ้ก็เป็นชู้กับอีเกลี้ยง คุณนายอยู่ก็หึงอีเกลี้ยงจึงทารุณร่างกายอีเกลี้ยงด้วยวิธีวิตถารซาดิสต์ต่างๆ เกินกว่าจะนึกว่าผู้หญิงทำกันได้ จนในที่สุดอีเกลี้ยงสุดจะทนกับความเจ็บปวดจากการทรมาน จึงขาดใจตาย
เรื่องนี้ พระบรรฦาฯ ทราบเพียงว่าอีเกลี้ยงตายเพราะเป็นไข้ประจุบันเท่านั้น จึงให้อำแดงอยู่บัญชาการทาสอื่นห่อศพให้เรียบร้อย แล้วหามไปให้สัปเหร่อฝัง ตอนแรกทาสที่นำศพมาก็ไม่ยอมแก้ผ้าห่อศพ สัปเหร่อเลยไม่ยอมฝัง ในที่สุดพวกทาสก็ต้องยอมให้สัปเหร่อ CSI และนิติเวชเบื้องต้น ดูศพก่อน แต่พอได้ดูศพแล้ว จรรยาบรรณสัปเหร่อบอกว่าไม่ยอมให้ฝัง
ปรากฏว่ามีชาวบ้านคนหนึ่งชื่อหนูไปแจ้งความ จึงเกิดการชันสูตรศพขึ้นก็พบว่าอีเกลี้ยงถูกทารุณร่างกายบอบช้ำทั้งตัว กระดูกหัก เป็นแผลสาหัส
“ ศพอีเกลี้ยงนั้นกระหม่อมยุบกว้าง ๒ นิ้ว หน้าบวมช้ำดำเขียว หูข้างซ้ายช้ำบวมมีเลือดไหลออกมาจากหู ยังเป็นคราบติดอยู่ ต้นแขนริมศอกขวา บวมช้ำ และกระดูกหัก ต้นแขนซ้ายบวมช้ำกระดูกหัก อกบวมช้ำ โตกลมหนึ่งนิ้ว สะโพกข้างขวาบวมช้ำดำเขียวเต็มทั้งสะโพก นอกจากนั้นมีแผลที่เกิดจากการตีด้วยไม้รวมเก้าแผล ”
หลังการสอบสวน คุณนายอยู่โดนมาตรการยึดทรัพย์ทั้งหมด และมีพระบรมราชโองการให้ประหาร แต่ก่อนประหารต้องลงโทษเตือนวิญญาณให้จดจำไปถึงชาติหน้า ด้วยการเฆี่ยน ๙๐ ทีเสีย ก่อน จึงจะประหาร
วันที่ประหารอีอยู่คือ วันเสาร์ เดือน๑๑ แรม ๗ ค่ำ ตรงกับ วันเสาร์ที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๔๒๔
ถ้าย้อนกลับไปอ่านที่ฝรั่งเล่าถ่ายทอดรายละเอียดไว้ จะเห็นได้ว่าไม่มีตะแลงแกง ไม่มีการเผานักโทษตรงไหนเลย มีแต่ตัดหัวอย่างที่ทำกันมาในบรรดานักโทษ”
“ในรัชกาลที่ ๕ มีผู้หญิงถูกตัดสินประหารชีวิตชื่อ"อีอยู่" มีหลักฐานบันทึกตรงกันทั้งไทยและฝรั่ง ฝรั่งคนนั้นชื่อ นาย Carl Bock นักธรรมชาติวิทยาชาวนอรเวย์ เดินทางเข้ามาสำรวจดินแดนไทยและเผอิญได้ไปดูการประหารอีอยู่ด้วย ก็เลยเขียนไว้อย่างละเอียดว่า
“ ฆ่าฉันเสียเร็วๆ ฆ่าฉันเสียเร็วๆ ” เสียงตะโกนจากนักโทษประหารซึ่งเป็นหญิง เพชฌฆาตหกคนยังคงร่ายรำดาบ ถอยหน้าถอยหลังอยู่เบื้องหลังนักโทษอีกครู่ ก่อนที่เพชฌฆาตมือหนึ่งจะวิ่งเข้าฟันคออย่างแรง จนศีรษะขาด เลือดพุ่งกระฉูด ผู้คนที่มุงดูการประหารจึงค่อยเริ่ม แยกย้ายกันกลับไป เสียงพึมพำดังจับความได้ว่า ต่างก็พอใจที่ผู้ตายได้รับกรรมที่กระทำไว้แล้ว แม้แต่ในหมู่ญาติพี่น้องของหล่อนเอง!
เพชฌฆาตยังคงทำงานต่อไปด้วยการตัดข้อเท้าซึ่งมีโซ่ตรวนพันธนาการไว้ และตัดศพออกเป็นชิ้น แล่เนื้อออกจากกระดูก ทิ้งตับไตไส้พุงไว้เป็นทานแก่แร้งกา ส่วนศีรษะเอาไปเสียบไม้ไผ่ปักประจานไว้ให้มองเห็นได้แต่ไกล
หญิงที่ถูกประหารนี้ไม่ใช่หญิงชาวบ้านสามัญธรรมดา แม้ว่าเมื่อถูกประหาร ทางการเรียกว่า "อีอยู่" แต่ว่าก่อนหน้านี้แค่เดือนเศษ อีอยู่คือคุณนายอยู่ ภรรยาของพระบรรฦาสิงหนาท แต่คุณนายอยู่ไม่รักดี ลักลอบเป็นชู้กับทาสในเรือนชื่อ ไฮ้ มั่วสุมกันอยู่ถึงสองปีเศษโดยตัวสามีไม่รู้เรื่อง ซึ่งก็คงยังไม่เป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา ถ้าไม่เป็นเพราะอ้ายไฮ้เอง เกิดไปลักลอบได้เสียกับนางทาสอีกคนหนึ่งชื่อ เกลี้ยง หลังจากทั้งคู่สมสู่กันได้สามเดือน ความเรื่องของคุณนายอยู่เป็นชู้กับอ้ายไฮ้ก็เกิดแตกขึ้นมา
วันนั้นพระบรรฦาฯ กลับบ้านเร็วกว่าปกติจึงจับได้คาเตียงว่าเมียเป็นชู้กับทาส ก็เลยทำโทษอ้ายไฮ้ด้วยการโบย ๕๐ที แล้วล่ามโซ่ไว้ที่ครัวไฟ แต่พระบรรฦาฯ อาจจะกลัวเมียหรืออะไรสักอย่างจึงไม่ได้ลงโทษภรรยา เห็นได้จากคุณนายยังกินเหล้าเมามายหลังจากนั้นและอาละวาดเล่นงานทาสอื่นๆได้อย่างหนัก แสดงว่าคงไม่ได้ถูกสามีซ้อมแต่อย่างใด
บ้านคุณนายอยู่นี่เละเทะกันทั้งบ่าวทั้งนาย เพราะอ้ายไฮ้ก็เป็นชู้กับอีเกลี้ยง คุณนายอยู่ก็หึงอีเกลี้ยงจึงทารุณร่างกายอีเกลี้ยงด้วยวิธีวิตถารซาดิสต์ต่างๆ เกินกว่าจะนึกว่าผู้หญิงทำกันได้ จนในที่สุดอีเกลี้ยงสุดจะทนกับความเจ็บปวดจากการทรมาน จึงขาดใจตาย
เรื่องนี้ พระบรรฦาฯ ทราบเพียงว่าอีเกลี้ยงตายเพราะเป็นไข้ประจุบันเท่านั้น จึงให้อำแดงอยู่บัญชาการทาสอื่นห่อศพให้เรียบร้อย แล้วหามไปให้สัปเหร่อฝัง ตอนแรกทาสที่นำศพมาก็ไม่ยอมแก้ผ้าห่อศพ สัปเหร่อเลยไม่ยอมฝัง ในที่สุดพวกทาสก็ต้องยอมให้สัปเหร่อ CSI และนิติเวชเบื้องต้น ดูศพก่อน แต่พอได้ดูศพแล้ว จรรยาบรรณสัปเหร่อบอกว่าไม่ยอมให้ฝัง
ปรากฏว่ามีชาวบ้านคนหนึ่งชื่อหนูไปแจ้งความ จึงเกิดการชันสูตรศพขึ้นก็พบว่าอีเกลี้ยงถูกทารุณร่างกายบอบช้ำทั้งตัว กระดูกหัก เป็นแผลสาหัส
“ ศพอีเกลี้ยงนั้นกระหม่อมยุบกว้าง ๒ นิ้ว หน้าบวมช้ำดำเขียว หูข้างซ้ายช้ำบวมมีเลือดไหลออกมาจากหู ยังเป็นคราบติดอยู่ ต้นแขนริมศอกขวา บวมช้ำ และกระดูกหัก ต้นแขนซ้ายบวมช้ำกระดูกหัก อกบวมช้ำ โตกลมหนึ่งนิ้ว สะโพกข้างขวาบวมช้ำดำเขียวเต็มทั้งสะโพก นอกจากนั้นมีแผลที่เกิดจากการตีด้วยไม้รวมเก้าแผล ”
หลังการสอบสวน คุณนายอยู่โดนมาตรการยึดทรัพย์ทั้งหมด และมีพระบรมราชโองการให้ประหาร แต่ก่อนประหารต้องลงโทษเตือนวิญญาณให้จดจำไปถึงชาติหน้า ด้วยการเฆี่ยน ๙๐ ทีเสีย ก่อน จึงจะประหาร
วันที่ประหารอีอยู่คือ วันเสาร์ เดือน๑๑ แรม ๗ ค่ำ ตรงกับ วันเสาร์ที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๔๒๔
ถ้าย้อนกลับไปอ่านที่ฝรั่งเล่าถ่ายทอดรายละเอียดไว้ จะเห็นได้ว่าไม่มีตะแลงแกง ไม่มีการเผานักโทษตรงไหนเลย มีแต่ตัดหัวอย่างที่ทำกันมาในบรรดานักโทษ”
ความคิดเห็นที่ 30
สมัยก่อนป่าลึกที่คุณ Fairylight ว่าล้วนอุดมไปด้วยสัตว์
แล้วก็ไข้ป่ามันไม่ง่ายเลยนะครับในการดำรงชีวิต
ส่วนการเลิกทาสถ้าไม่ด้วยความชาญฉลาดของล้นเกล้ารัชกาลที่ห้า
คือให้ทยอยปลดจากความเป็นทาสแบบค่อยเป็นค่อยไปตามปีนักษัตร
ป่านนู้นคงได้เกิดกลียุคเหมือนอเมริกา
ที่อยู่ดีๆประกาศตู้มเลิกเลย ลงท้ายด้วยการรบพุ่งกันเป็นสงครามกลางเมือง
ปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ สังคม แรงงาน เงินทอง
เป็นของอมตะในทุกยุคสมัย
ร.5 ในกาลสมัยของท่าน
นับได้ว่าเป็นบุคคลหนึ่ง ซึ่งมีชื่อเสียงและเป็นคนสำคัญในระดับโลก
จากประเทศเล็กๆ ก็ว่าได้
หากชนชั้นปกครองของเราในยุคนั้น ไม่ปราดเปรื่องและมีใจเสียสละจริง
เราไม่สามารถดำรงความเป็นชาติมาได้จนทุกวันนี้หรอกครับ
แล้วก็ไข้ป่ามันไม่ง่ายเลยนะครับในการดำรงชีวิต
ส่วนการเลิกทาสถ้าไม่ด้วยความชาญฉลาดของล้นเกล้ารัชกาลที่ห้า
คือให้ทยอยปลดจากความเป็นทาสแบบค่อยเป็นค่อยไปตามปีนักษัตร
ป่านนู้นคงได้เกิดกลียุคเหมือนอเมริกา
ที่อยู่ดีๆประกาศตู้มเลิกเลย ลงท้ายด้วยการรบพุ่งกันเป็นสงครามกลางเมือง
ปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ สังคม แรงงาน เงินทอง
เป็นของอมตะในทุกยุคสมัย
ร.5 ในกาลสมัยของท่าน
นับได้ว่าเป็นบุคคลหนึ่ง ซึ่งมีชื่อเสียงและเป็นคนสำคัญในระดับโลก
จากประเทศเล็กๆ ก็ว่าได้
หากชนชั้นปกครองของเราในยุคนั้น ไม่ปราดเปรื่องและมีใจเสียสละจริง
เราไม่สามารถดำรงความเป็นชาติมาได้จนทุกวันนี้หรอกครับ
แสดงความคิดเห็น
ทาส สมัยก่อน โดนเฆี่ยนตี กักขัง ได้ง่ายๆ เหมือนที่เห็นในละครหรือเปล่าคะ
เพราะว่า ทาส ในสังคมไทย คงไม่เหมือน ทาส ในอเมริกา ที่โดนไล่ล่าหรือจับมาขายจากแอฟริกา แต่ ทาส ในประเทศไทย น่าจะออกแนวอยู่เป็นครอบครัว ขายแรงงานแลกกับอาหารและที่อยู่ หรือมีการกู้ยืมเงินเกิดขึ้นก่อน ซึ่งเจ้านายสมัยก่อนต้องมีทาสช่วยงาน เพราะอย่างพวกไร่นาอะไรต่างๆ มันต้องอาศัยแรงงานในการทำงานอยู่แล้ว หากเจ้านายชื่อเสียงไม่ดี ทาสอาจจะอยากไปอยู่กับคนอื่น เราว่ามันน่าจะออกแนวเป็นผู้รับใช้แบบไม่ได้รับค่าตอบแทนเป็นตัวเงินโดยตรง แต่ก็ไม่น่าจะชีวิตรันทดขนาดหนัก เหมือนในละคร ใช่ไหมคะ ?
ใครมีข้อมูลเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ประจำวันของ ทาส ในเมืองไทยสมัยก่อน หรือภาพถ่าย กฎหมายบ้านเมืองเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อทาส หรือเรื่องเล่า ฯลฯ ก็แชร์กันได้นะคะ