โดย : ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
เมื่อคนมีรายได้มากขึ้น จนสามารถใช้จ่ายในสิ่ง “จำเป็น” ของชีวิต เช่น อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และการรักษาโรค ที่เป็นพื้นฐานแล้ว
สิ่งต่อมาที่คนจะใช้จ่ายก็คือ การทำให้ตนเอง“ดูดี” โดยเฉพาะในสายตาของเพศตรงข้าม นี่ก็เป็นเรื่อง “ธรรมชาติ” ที่ว่ามนุษย์นั้นมี “ภารกิจสำคัญ” ที่จะต้อง เอาตัวรอดและเผยแพร่เผ่าพันธุ์
การทำให้ตัวเองดูดีขึ้นเพื่อดึงดูดเพศตรงข้ามนี้ จึงเป็นธุรกิจใหญ่และจะเติบโตได้ดี ในภาวะที่คนในสังคมมีรายได้สูงขึ้น การก้าวเข้าสู่สังคมที่คนมีรายได้สูงขึ้น อาจจะเรียกว่าเป็นสังคมของ“คนชั้นกลาง”ก็ได้ และนี่ก็คือสิ่งที่คิดว่ากำลังเกิดขึ้นกับประเทศไทย
นั่นคือ คนไทยกำลังมีเงินมากขึ้นถึงจุดที่จะ“แต่งตัว”กันมากขึ้น และนี่อาจจะทำให้บริษัทหรือหุ้นที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการแต่งตัวมีโอกาสที่จะเติบโต เป็นโอกาสในการลงทุนของ VI ที่เน้นการลงทุนระยะยาวได้
ความหมายของคำว่า “เครื่องแต่งตัว” รวมถึงการทำอะไรก็ได้ที่ทำหรือใช้ “ติดกับตัว”เราที่จะทำให้ “ดูดีขึ้น” ดังนั้น ธุรกิจที่เกี่ยวข้องจึงรวมไปถึงเรื่องที่ลึกลงไปถึงผิวหนังเช่น การศัลยกรรมพลาสติกและการดูแลผิวที่ทำโดยคลินิกเสริมความงามทั้งหลาย ที่ในปัจจุบันก็ยังไม่มีบริษัทที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แม้มีการพูดถึงอยู่เรื่อยๆ และอาจเข้าตลาดในไม่ช้า ธุรกิจนี้น่าสนใจเห็นได้จากการขยายตัวของธุรกิจรวดเร็ว และมีการเปิดกิจการไปทั่วทุกหัวระแหงในที่ชุมนุมชนในเมืองใหญ่ๆ รวมถึงในห้างค้าปลีกสมัยใหม่มีคลินิกเสริมความงามเป็นมาตรฐานกันไปแล้ว
ธุรกิจต่อมาคือ ธุรกิจเครื่องสำอางซึ่งเป็นธุรกิจใหญ่มานาน แต่ช่วงหลังนี้ดูเหมือนจะโตขึ้นอีก โดยเฉพาะเครื่องสำอางมีคุณภาพสูงขึ้น แต่ราคากลับไม่สูงมากนัก นอกจากนั้น การใช้เครื่องสำอางของคนไทยในระยะหลัง เพิ่มจำนวนและปริมาณการใช้มากขึ้นเรื่อย ๆ
คนไทยยุคใหม่นี้ไม่ได้ใช้แค่แป้งผัดหน้า แต่ใช้ตั้งแต่ครีมทำให้ผิวขาว ครีมทาตัวทำให้ผิวนุ่ม มีผลิตภัณฑ์สารพัดทำให้ผมและตาดูสวยขึ้น มีผลิตภัณฑ์สารพัดที่ทำให้ดูอ่อนเยาว์ นอกจากนั้น ผู้ชายเริ่มหันมาใช้เครื่องสำอางมากขึ้นเห็นได้ชัด
ดังนั้น ธุรกิจเครื่องสำอางจึงน่าจะโตได้ดี โดยเฉพาะเครื่องสำอางมีคุณภาพ แต่มีราคาที่รับได้ของคนชั้นกลาง ซึ่งในตลาดหลักทรัพย์เราก็บริษัทจดทะเบียนที่เพิ่งเข้าตลาดอยู่ 2-3 บริษัทที่ทำธุรกิจนี้เป็นเรื่องเป็นราว
ธุรกิจเสื้อผ้าที่เป็นแฟชั่น ในความหมายที่ต้องการจะสื่อคือเสื้อผ้าที่จะเป็นเครื่องแต่งตัวที่คนไทยรุ่นใหม่ที่มีเงินมากขึ้นต้องการนั้น จะต้องเป็นเสื้อผ้าที่มีแบรนด์ดูดี มีราคาไม่แพง และนี่คือสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่จะโตเร็ว ในสภาวะของประเทศไทยในช่วงนี้
โดยหุ้นเข้าข่ายคล้ายกับกรณีของเครื่องสำอาง ที่มักเป็นบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาด ในระยะหลังๆ นอกจากเสื้อผ้าแล้ว พวกรองเท้าและกระเป๋าถือที่เป็นเครื่องหนังก็เป็นเครื่องแต่งตัวอีกอย่างหนึ่งที่โตตามกันไป อย่างไรก็ตาม กิจการเหล่านี้ดูเหมือนว่าในเมืองไทย อาจจะเล็กเกินไปหรือไม่มีบริษัทที่มีศักยภาพเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้
กลุ่มสุดท้ายของเครื่องแต่งตัวคือเครื่องประดับ โดยเฉพาะที่เป็นทองหรือเพชรพลอย ดูเหมือนว่าทองที่เคยเป็นเครื่องประดับหรือเครื่องแต่งตัวหลัก สมัยที่ผมยังเป็นเด็กนั้นจะถดถอยไปจนเกือบล้าสมัยแล้ว ส่วนเพชรนั้นคิดว่ายังอยู่ในกระแส เหตุผลคงเป็นเพราะคนไทยที่เป็นคนชั้นกลางมีรายได้มากขึ้น ขณะที่ราคาของเครื่องประดับเพชรปัจจุบันจะไม่ได้ปรับขึ้นมาก
การซื้อเครื่องประดับเพชรจึงน่าจะเป็นธุรกิจที่ยังเติบโตไปได้ และนี่เช่นเดียวกัน บริษัทที่อยู่ในตลาดทำเกี่ยวกับเครื่องประดับเพชรยังค่อนข้างใหม่ และสุดท้ายที่เป็นกลุ่มเล็กและไม่รู้จะไปรวมไว้กับใครคือ ธุรกิจแว่นตาแฟชั่นซึ่งในไทยดูเหมือนว่าจะเติบโตขึ้น คนหันมาใส่แว่นมากขึ้น และซักวันหนึ่งเราก็อาจจะมีบริษัทขายแว่นเข้ามาจดทะเบียนก็เป็นได้
ในแง่ของการลงทุน คิดว่าธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องแต่งตัวนั้นมีความน่าสนใจ เหตุผลไม่ใช่แค่ว่ามันเป็นธุรกิจที่กำลังเติบโตเร็ว เนื่องจากคนไทยรวยขึ้นและต้องการแต่งตัวมากขึ้นเท่านั้น แต่เป็นเพราะธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่ผลิตสินค้าที่เป็นที่ “ต้องการ” ไม่ใช่สินค้า “จำเป็น” ดังนั้น คนจะยอมจ่ายเงินมากกว่าต้นทุนการผลิตมากด้วยเหตุผลที่ว่าเขา “พอใจ” หรือ “อยากได้” เช่น เพชรเม็ดหนึ่งราคาต้นทุนค่าเพชร 3,000 บาทแต่ขาย 10,000 บาท
อย่างไรก็ตาม ถ้าขายน้อยชิ้น กำไรที่ได้อาจจะไม่พอกับค่าเช่าหรือค่าโสหุ้ยอื่น ดังนั้นประเด็นยอดขายที่ทำได้ จึงเป็นเรื่องชี้เป็นชี้ตายว่าบริษัทไหนจะกำไรหรือขาดทุน หรือบริษัทไหนจะกำไรดีมากและบริษัทไหนจะไปไม่รอด
ความสามารถทำตลาด รวมถึงออกแบบผลิตภัณฑ์ จัดช่องทางจัดจำหน่าย การทำโฆษณาประชาสัมพันธ์สินค้าหรือบริการบริษัทเป็นองค์ประกอบสำคัญในการแข่งขัน บริษัทโดดเด่นที่สังเกตเห็นคือบริษัทขายสินค้ามีคุณภาพดี ตั้งราคาไม่ใคร่แพง คนชั้นกลางส่วนใหญ่รับได้
ขนาดของกิจการเทียบคู่แข่งเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่จะบอกว่าบริษัทจะประสบความสำเร็จหรือไม่ การมียอดขายสูงกว่านั้น ทำให้บริษัทจะมี Economies of Scale คือได้เปรียบเรื่องต้นทุนรวมถึงต้นทุนผลิตหรือต้นทุนสินค้า และต้นทุนการตลาด
การมีสาขาร้านที่ขายสินค้าเฉพาะที่มีจำนวนมากนั้น โดยตัวมันเองก็เหมือนกับเป็นการโฆษณา เนื่องจากผู้บริโภคจะเห็นบ่อย และช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ นอกจากนั้น บริษัทจะสามารถมีสินค้าหลากหลายกว่าคู่แข่งได้ สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะดึงดูดให้คนอยากเข้าร้านและเลือกซื้อสินค้าของบริษัทมากกว่าคู่แข่ง ที่มียอดขายน้อยและหรือไม่มี “หน้าร้าน” เพียงพอ ดังนั้นการได้เปรียบด้านต้นทุนไม่เพียง แต่จะทำให้บริษัทกำไรดี แต่ยังทำให้ยอดขายบริษัทโตเร็วขึ้น และก่อเกิดกำไรเพิ่มขึ้นอีก เป็นวงจรแห่งความมั่งคั่ง
ข้อเสียของธุรกิจเครื่องแต่งตัวก็มีอยู่เหมือนกันนั่นคือ ธุรกิจนี้ใช้ทุนไม่มากและการเข้าสู่ธุรกิจทำได้ง่าย นอกจากนั้น ปัจจัยแข่งขันเองก็เปลี่ยนแปลงไปได้ง่ายคล้ายกับแฟชั่นเหมือนกัน ความนิยมเกาหลีหรือญี่ปุ่นอาจเปลี่ยนไป ช่องทางจำหน่ายอาจเปลี่ยนไปได้ง่าย เนื่องจากสินค้ามักเป็นชิ้นเล็ก ช่องทางใหม่ๆ และการตลาดแบบใหม่ อาจทำให้บริษัทดีเยี่ยมเดิมตกยุคหรือล้าสมัย
นอกจากนั้น สินค้าจากต่างประเทศที่เรียกว่า Inter Brand ที่โดดเด่นระดับโลกก็มีโอกาสที่จะเข้ามาแข่งขันกับผู้ที่ประสบความสำเร็จเดิมได้ ดังนั้น การติดตามข้อมูลและพัฒนาการของหุ้นเครื่องแต่งตัวเป็นเรื่องสำคัญ ในอีกด้านหนึ่ง ถ้าหากบริษัทประสบความสำเร็จในการเพิ่มยอดขายได้สูง การทำกำไรก็จะดีมาก ซึ่งจะทำให้หุ้นของบริษัทเติบโตได้อย่างน่าประทับใจ
ทั้งหมดนั้นเป็นเพียงการวิเคราะห์ในด้านของตัวธุรกิจซึ่งจะเห็นว่ามีทั้งโอกาสและความเสี่ยงอยู่ไม่น้อย การจะเลือกลงทุนหุ้นนั้น เรายังจำเป็นจะต้องดูความถูกความแพงหรือความคุ้มค่าของราคาหุ้น สิ่งหนึ่งที่จะต้องคำนึงถึงคือค่า PE ของหุ้นเครื่องแต่งตัว ถ้าสูงเกินไปต้องระวัง เพราะธุรกิจนี้ของไทยดูเหมือนจะยังไม่มีความได้เปรียบที่ยั่งยืน เมื่อเทียบกับบริษัทระดับซูเปอร์สต็อกของต่างประเทศบางแห่ง
หุ้นเครื่องแต่งตัว
เมื่อคนมีรายได้มากขึ้น จนสามารถใช้จ่ายในสิ่ง “จำเป็น” ของชีวิต เช่น อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และการรักษาโรค ที่เป็นพื้นฐานแล้ว
สิ่งต่อมาที่คนจะใช้จ่ายก็คือ การทำให้ตนเอง“ดูดี” โดยเฉพาะในสายตาของเพศตรงข้าม นี่ก็เป็นเรื่อง “ธรรมชาติ” ที่ว่ามนุษย์นั้นมี “ภารกิจสำคัญ” ที่จะต้อง เอาตัวรอดและเผยแพร่เผ่าพันธุ์
การทำให้ตัวเองดูดีขึ้นเพื่อดึงดูดเพศตรงข้ามนี้ จึงเป็นธุรกิจใหญ่และจะเติบโตได้ดี ในภาวะที่คนในสังคมมีรายได้สูงขึ้น การก้าวเข้าสู่สังคมที่คนมีรายได้สูงขึ้น อาจจะเรียกว่าเป็นสังคมของ“คนชั้นกลาง”ก็ได้ และนี่ก็คือสิ่งที่คิดว่ากำลังเกิดขึ้นกับประเทศไทย
นั่นคือ คนไทยกำลังมีเงินมากขึ้นถึงจุดที่จะ“แต่งตัว”กันมากขึ้น และนี่อาจจะทำให้บริษัทหรือหุ้นที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการแต่งตัวมีโอกาสที่จะเติบโต เป็นโอกาสในการลงทุนของ VI ที่เน้นการลงทุนระยะยาวได้
ความหมายของคำว่า “เครื่องแต่งตัว” รวมถึงการทำอะไรก็ได้ที่ทำหรือใช้ “ติดกับตัว”เราที่จะทำให้ “ดูดีขึ้น” ดังนั้น ธุรกิจที่เกี่ยวข้องจึงรวมไปถึงเรื่องที่ลึกลงไปถึงผิวหนังเช่น การศัลยกรรมพลาสติกและการดูแลผิวที่ทำโดยคลินิกเสริมความงามทั้งหลาย ที่ในปัจจุบันก็ยังไม่มีบริษัทที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แม้มีการพูดถึงอยู่เรื่อยๆ และอาจเข้าตลาดในไม่ช้า ธุรกิจนี้น่าสนใจเห็นได้จากการขยายตัวของธุรกิจรวดเร็ว และมีการเปิดกิจการไปทั่วทุกหัวระแหงในที่ชุมนุมชนในเมืองใหญ่ๆ รวมถึงในห้างค้าปลีกสมัยใหม่มีคลินิกเสริมความงามเป็นมาตรฐานกันไปแล้ว
ธุรกิจต่อมาคือ ธุรกิจเครื่องสำอางซึ่งเป็นธุรกิจใหญ่มานาน แต่ช่วงหลังนี้ดูเหมือนจะโตขึ้นอีก โดยเฉพาะเครื่องสำอางมีคุณภาพสูงขึ้น แต่ราคากลับไม่สูงมากนัก นอกจากนั้น การใช้เครื่องสำอางของคนไทยในระยะหลัง เพิ่มจำนวนและปริมาณการใช้มากขึ้นเรื่อย ๆ
คนไทยยุคใหม่นี้ไม่ได้ใช้แค่แป้งผัดหน้า แต่ใช้ตั้งแต่ครีมทำให้ผิวขาว ครีมทาตัวทำให้ผิวนุ่ม มีผลิตภัณฑ์สารพัดทำให้ผมและตาดูสวยขึ้น มีผลิตภัณฑ์สารพัดที่ทำให้ดูอ่อนเยาว์ นอกจากนั้น ผู้ชายเริ่มหันมาใช้เครื่องสำอางมากขึ้นเห็นได้ชัด
ดังนั้น ธุรกิจเครื่องสำอางจึงน่าจะโตได้ดี โดยเฉพาะเครื่องสำอางมีคุณภาพ แต่มีราคาที่รับได้ของคนชั้นกลาง ซึ่งในตลาดหลักทรัพย์เราก็บริษัทจดทะเบียนที่เพิ่งเข้าตลาดอยู่ 2-3 บริษัทที่ทำธุรกิจนี้เป็นเรื่องเป็นราว
ธุรกิจเสื้อผ้าที่เป็นแฟชั่น ในความหมายที่ต้องการจะสื่อคือเสื้อผ้าที่จะเป็นเครื่องแต่งตัวที่คนไทยรุ่นใหม่ที่มีเงินมากขึ้นต้องการนั้น จะต้องเป็นเสื้อผ้าที่มีแบรนด์ดูดี มีราคาไม่แพง และนี่คือสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่จะโตเร็ว ในสภาวะของประเทศไทยในช่วงนี้
โดยหุ้นเข้าข่ายคล้ายกับกรณีของเครื่องสำอาง ที่มักเป็นบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาด ในระยะหลังๆ นอกจากเสื้อผ้าแล้ว พวกรองเท้าและกระเป๋าถือที่เป็นเครื่องหนังก็เป็นเครื่องแต่งตัวอีกอย่างหนึ่งที่โตตามกันไป อย่างไรก็ตาม กิจการเหล่านี้ดูเหมือนว่าในเมืองไทย อาจจะเล็กเกินไปหรือไม่มีบริษัทที่มีศักยภาพเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้
กลุ่มสุดท้ายของเครื่องแต่งตัวคือเครื่องประดับ โดยเฉพาะที่เป็นทองหรือเพชรพลอย ดูเหมือนว่าทองที่เคยเป็นเครื่องประดับหรือเครื่องแต่งตัวหลัก สมัยที่ผมยังเป็นเด็กนั้นจะถดถอยไปจนเกือบล้าสมัยแล้ว ส่วนเพชรนั้นคิดว่ายังอยู่ในกระแส เหตุผลคงเป็นเพราะคนไทยที่เป็นคนชั้นกลางมีรายได้มากขึ้น ขณะที่ราคาของเครื่องประดับเพชรปัจจุบันจะไม่ได้ปรับขึ้นมาก
การซื้อเครื่องประดับเพชรจึงน่าจะเป็นธุรกิจที่ยังเติบโตไปได้ และนี่เช่นเดียวกัน บริษัทที่อยู่ในตลาดทำเกี่ยวกับเครื่องประดับเพชรยังค่อนข้างใหม่ และสุดท้ายที่เป็นกลุ่มเล็กและไม่รู้จะไปรวมไว้กับใครคือ ธุรกิจแว่นตาแฟชั่นซึ่งในไทยดูเหมือนว่าจะเติบโตขึ้น คนหันมาใส่แว่นมากขึ้น และซักวันหนึ่งเราก็อาจจะมีบริษัทขายแว่นเข้ามาจดทะเบียนก็เป็นได้
ในแง่ของการลงทุน คิดว่าธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องแต่งตัวนั้นมีความน่าสนใจ เหตุผลไม่ใช่แค่ว่ามันเป็นธุรกิจที่กำลังเติบโตเร็ว เนื่องจากคนไทยรวยขึ้นและต้องการแต่งตัวมากขึ้นเท่านั้น แต่เป็นเพราะธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่ผลิตสินค้าที่เป็นที่ “ต้องการ” ไม่ใช่สินค้า “จำเป็น” ดังนั้น คนจะยอมจ่ายเงินมากกว่าต้นทุนการผลิตมากด้วยเหตุผลที่ว่าเขา “พอใจ” หรือ “อยากได้” เช่น เพชรเม็ดหนึ่งราคาต้นทุนค่าเพชร 3,000 บาทแต่ขาย 10,000 บาท
อย่างไรก็ตาม ถ้าขายน้อยชิ้น กำไรที่ได้อาจจะไม่พอกับค่าเช่าหรือค่าโสหุ้ยอื่น ดังนั้นประเด็นยอดขายที่ทำได้ จึงเป็นเรื่องชี้เป็นชี้ตายว่าบริษัทไหนจะกำไรหรือขาดทุน หรือบริษัทไหนจะกำไรดีมากและบริษัทไหนจะไปไม่รอด
ความสามารถทำตลาด รวมถึงออกแบบผลิตภัณฑ์ จัดช่องทางจัดจำหน่าย การทำโฆษณาประชาสัมพันธ์สินค้าหรือบริการบริษัทเป็นองค์ประกอบสำคัญในการแข่งขัน บริษัทโดดเด่นที่สังเกตเห็นคือบริษัทขายสินค้ามีคุณภาพดี ตั้งราคาไม่ใคร่แพง คนชั้นกลางส่วนใหญ่รับได้
ขนาดของกิจการเทียบคู่แข่งเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่จะบอกว่าบริษัทจะประสบความสำเร็จหรือไม่ การมียอดขายสูงกว่านั้น ทำให้บริษัทจะมี Economies of Scale คือได้เปรียบเรื่องต้นทุนรวมถึงต้นทุนผลิตหรือต้นทุนสินค้า และต้นทุนการตลาด
การมีสาขาร้านที่ขายสินค้าเฉพาะที่มีจำนวนมากนั้น โดยตัวมันเองก็เหมือนกับเป็นการโฆษณา เนื่องจากผู้บริโภคจะเห็นบ่อย และช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ นอกจากนั้น บริษัทจะสามารถมีสินค้าหลากหลายกว่าคู่แข่งได้ สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะดึงดูดให้คนอยากเข้าร้านและเลือกซื้อสินค้าของบริษัทมากกว่าคู่แข่ง ที่มียอดขายน้อยและหรือไม่มี “หน้าร้าน” เพียงพอ ดังนั้นการได้เปรียบด้านต้นทุนไม่เพียง แต่จะทำให้บริษัทกำไรดี แต่ยังทำให้ยอดขายบริษัทโตเร็วขึ้น และก่อเกิดกำไรเพิ่มขึ้นอีก เป็นวงจรแห่งความมั่งคั่ง
ข้อเสียของธุรกิจเครื่องแต่งตัวก็มีอยู่เหมือนกันนั่นคือ ธุรกิจนี้ใช้ทุนไม่มากและการเข้าสู่ธุรกิจทำได้ง่าย นอกจากนั้น ปัจจัยแข่งขันเองก็เปลี่ยนแปลงไปได้ง่ายคล้ายกับแฟชั่นเหมือนกัน ความนิยมเกาหลีหรือญี่ปุ่นอาจเปลี่ยนไป ช่องทางจำหน่ายอาจเปลี่ยนไปได้ง่าย เนื่องจากสินค้ามักเป็นชิ้นเล็ก ช่องทางใหม่ๆ และการตลาดแบบใหม่ อาจทำให้บริษัทดีเยี่ยมเดิมตกยุคหรือล้าสมัย
นอกจากนั้น สินค้าจากต่างประเทศที่เรียกว่า Inter Brand ที่โดดเด่นระดับโลกก็มีโอกาสที่จะเข้ามาแข่งขันกับผู้ที่ประสบความสำเร็จเดิมได้ ดังนั้น การติดตามข้อมูลและพัฒนาการของหุ้นเครื่องแต่งตัวเป็นเรื่องสำคัญ ในอีกด้านหนึ่ง ถ้าหากบริษัทประสบความสำเร็จในการเพิ่มยอดขายได้สูง การทำกำไรก็จะดีมาก ซึ่งจะทำให้หุ้นของบริษัทเติบโตได้อย่างน่าประทับใจ
ทั้งหมดนั้นเป็นเพียงการวิเคราะห์ในด้านของตัวธุรกิจซึ่งจะเห็นว่ามีทั้งโอกาสและความเสี่ยงอยู่ไม่น้อย การจะเลือกลงทุนหุ้นนั้น เรายังจำเป็นจะต้องดูความถูกความแพงหรือความคุ้มค่าของราคาหุ้น สิ่งหนึ่งที่จะต้องคำนึงถึงคือค่า PE ของหุ้นเครื่องแต่งตัว ถ้าสูงเกินไปต้องระวัง เพราะธุรกิจนี้ของไทยดูเหมือนจะยังไม่มีความได้เปรียบที่ยั่งยืน เมื่อเทียบกับบริษัทระดับซูเปอร์สต็อกของต่างประเทศบางแห่ง