หุ้นเครื่องแต่งตัว โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

กระทู้สนทนา
เมื่อคนมีรายได้มากขึ้นจนสามารถใช้จ่ายในสิ่ง  “จำเป็น”  ของชีวิต เช่น อาหาร  เครื่องนุ่งห่ม  ที่อยู่อาศัย  และการรักษาโรค ที่เป็นพื้นฐานแล้ว  สิ่งต่อมาที่คนจะใช้จ่ายก็คือ  การทำให้ตนเอง  “ดูดี” โดยเฉพาะในสายตาของเพศตรงข้าม  นี่ก็เป็นเรื่อง  “ธรรมชาติ”  ที่ว่ามนุษย์นั้นมี  “ภารกิจสำคัญ” ที่จะต้อง  เอาตัวรอดและเผยแพร่เผ่าพันธุ์   การทำให้ตัวเองดูดีขึ้นเพื่อดึงดูดเพศตรงข้ามนี้จึงเป็นธุรกิจใหญ่และจะเติบโตได้ดีในภาวะที่คนในสังคมมีรายได้สูงขึ้นจนผ่านจุดที่มีเงินเพียงพอสำหรับการใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็นอย่างอื่นแล้วและกำลังก้าวเข้าสู่สังคมที่คนมีรายได้สูงขึ้น  อาจจะเรียกว่าเป็นสังคมของ  “คนชั้นกลาง” ก็ได้   และนี่ก็คือสิ่งที่ผมคิดว่ากำลังเกิดขึ้นกับประเทศไทย  นั่นก็คือ  คนไทยกำลังมีเงินมากขึ้นถึงจุดที่จะ “แต่งตัว” กันมากขึ้น  และนี่อาจจะทำให้บริษัทหรือหุ้นที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการแต่งตัวมีโอกาสที่จะเติบโต  เป็นโอกาสในการลงทุนของ VI ที่เน้นการลงทุนระยะยาวได้

           ความหมายของคำว่า  “เครื่องแต่งตัว”  ของผมนั้น  รวมถึงการทำอะไรก็ได้ที่ทำหรือใช้  “ติดกับตัว” เราที่จะทำให้เรา  “ดูดีขึ้น”   ดังนั้น  ธุรกิจที่เกี่ยวข้องจึงรวมไปถึงเรื่องที่ลึกลงไปถึงผิวหนังเช่น  การศัลยกรรมพลาสติกและการดูแลผิวที่ทำโดยคลินิคเสริมความงามทั้งหลายที่ในปัจจุบันก็ยังไม่มีบริษัทที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แม้ว่าจะมีการพูดถึงอยู่เรื่อย ๆ  และอาจจะเข้าตลาดในไม่ช้า   ธุรกิจนี้ผมคิดว่าน่าสนใจเห็นได้จากการขยายตัวของธุรกิจอย่างรวดเร็วและมีการเปิดกิจการไปทั่วทุกหัวระแหงในที่ชุมนุมชนในเมืองใหญ่ ๆ  รวมถึงในห้างค้าปลีกสมัยใหม่ก็มีคลินิกเสริมความงามเป็นมาตรฐานกันไปแล้ว

           ธุรกิจต่อมาก็คือ  ธุรกิจเครื่องสำอางซึ่งก็เป็นธุรกิจใหญ่มานานแต่ในช่วงระยะหลังนี้ดูเหมือนว่าจะโตขึ้นไปอีกโดยเฉพาะในเครื่องสำอางที่มีคุณภาพสูงขึ้นแต่ราคากลับไม่สูงมากนัก  นอกจากนั้น  การใช้เครื่องสำอางของคนไทยในระยะหลังนั้น  เพิ่มจำนวนและปริมาณการใช้มากขึ้นเรื่อย ๆ   คนไทยยุคใหม่นี้ไม่ได้ใช้แค่แป้งผัดหน้า  แต่เราใช้ตั้งแต่ครีมที่ทำให้ผิวขาว  ครีมทาตัวที่ทำให้ผิวนุ่ม  เรามีผลิตภัณฑ์สารพัดที่ทำให้ผมและตาดูสวยงามขึ้น  เรามีผลิตภัณฑ์สารพัดที่ทำให้ดูอ่อนเยาว์  นอกจากนั้น  ผู้ชายเองก็เริ่มหันมาใช้เครื่องสำอางกันมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด  ดังนั้น  ธุรกิจเครื่องสำอางจึงน่าจะโตได้ดีโดยเฉพาะเครื่องสำอางที่มีคุณภาพแต่มีราคาที่รับได้ของคนชั้นกลาง  ซึ่งในตลาดหลักทรัพย์เราก็บริษัทจดทะเบียนที่เพิ่งเข้าตลาดอยู่ 2-3 บริษัทที่ทำธุรกิจนี้เป็นเรื่องเป็นราว

           ธุรกิจเสื้อผ้าที่เป็นแฟชั่นนั้นต้องถือว่าอยู่ในตลาดหุ้นมานานมาก   อย่างไรก็ตาม  ผมคิดว่าหุ้นส่วนใหญ่นั้นเป็นเพียงหุ้น  “สิ่งทอ”  ที่ผลิตวัตถุดิบป้อนให้กับคนที่ผลิตและขายเสื้อผ้าที่เป็นสินค้าแฟชั่น  ซึ่งในกรณีแบบนี้  หุ้นก็จะไม่ใช่หุ้นเครื่องแต่งตัวในนิยามของผมจริง ๆ    ในความหมายที่ผมต้องการจะสื่อก็คือ  เสื้อผ้าที่จะเป็นเครื่องแต่งตัวที่คนไทยรุ่นใหม่ที่มีเงินมากขึ้นต้องการนั้น   จะต้องเป็นเสื้อผ้าที่มีแบรนด์ที่ดูดี  มีราคาที่ไม่แพง  และนี่ก็คือสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่จะโตเร็วในสภาวะของประเทศไทยในช่วงนี้  โดยที่หุ้นที่เข้าข่ายก็คล้าย ๆ  กับในกรณีของเครื่องสำอางที่มักเป็นบริษัทที่เข้าจดทะเบียนในตลาดในระยะหลัง ๆนอกจากเสื้อผ้าแล้ว  พวกรองเท้าและกระเป๋าถือที่เป็นเครื่องหนังก็เป็นเครื่องแต่งตัวอีกอย่างหนึ่งที่โตตามกันไป  อย่างไรก็ตาม  กิจการเหล่านี้ดูเหมือนว่าในเมืองไทยอาจจะเล็กเกินไปหรือไม่มีบริษัทที่มีศักยภาพเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้

           กลุ่มสุดท้ายของเครื่องแต่งตัวก็คือ  เครื่องประดับโดยเฉพาะที่เป็นทองหรือเพชรพลอย   ดูเหมือนว่าทองที่เคยเป็นเครื่องประดับหรือเครื่องแต่งตัวหลักสมัยที่ผมยังเป็นเด็กนั้นจะถดถอยไปจนเกือบล้าสมัยแล้ว  ส่วนเพชรนั้นผมคิดว่ายังอยู่ในกระแส  เหตุผลก็คงเป็นเพราะคนไทยที่เป็นคนชั้นกลางมีรายได้มากขึ้นในขณะที่ราคาของเครื่องประดับเพชรในปัจจุบันจะไม่ได้ปรับขึ้นไปมาก  การซื้อเครื่องประดับเพชรจึงน่าจะเป็นธุรกิจที่ยังเติบโตไปได้  และนี่ก็เช่นเดียวกัน  บริษัทที่อยู่ในตลาดที่ทำเกี่ยวกับเครื่องประดับเพชรก็ยังค่อนข้างใหม่  และสุดท้ายที่เป็นกลุ่มเล็กและผมไม่รู้จะไปรวมไว้กับใครก็คือ   ธุรกิจแว่นตาแฟชั่นซึ่งในเมืองไทยก็ดูเหมือนว่าจะเติบโตขึ้น  คนหันมาใส่แว่นมากขึ้น  และซักวันหนึ่งเราก็อาจจะมีบริษัทขายแว่นเข้ามาจดทะเบียนก็เป็นได้

           ในแง่ของการลงทุน  ผมคิดว่าธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องแต่งตัวนั้นมีความน่าสนใจ  เหตุผลไม่ใช่แค่ว่ามันเป็นธุรกิจที่กำลังเติบโตเร็วเนื่องจากคนไทยรวยขึ้นและต้องการแต่งตัวมากขึ้นเท่านั้น  แต่เป็นเพราะธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่ผลิตสินค้าที่เป็นที่  “ต้องการ”  ไม่ใช่สินค้า  “จำเป็น”  ดังนั้น  คนจะยอมจ่ายเงินมากกว่าต้นทุนการผลิตมากด้วยเหตุผลที่ว่าเขา  “พอใจ”  หรือ   “อยากได้”   ด้วยเหตุนี้  สินค้าเครื่องแต่งตัวจึงมักจะมีมาร์จินหรือเปอร์เซ็นต์กำไรขั้นต้นต่อยอดขายสูงเมื่อเทียบกับสินค้าอื่น ๆ  อีกหลายอย่าง  พูดหยาบ ๆ  ก็เช่น  เสื้อผ้าขายตัวแถมตัวก็ยังกำไร  หรือเพชรเม็ดหนึ่งราคาต้นทุนค่าเพชร 3,000 บาทแต่ขาย 10,000 บาท  อย่างไรก็ตาม  ถ้าขายน้อยชิ้น  กำไรที่ได้อาจจะไม่พอกับค่าเช่าหรือค่าโสหุ้ยอื่น   ดังนั้นประเด็นยอดขายที่ทำได้  ซึ่งมักจะอิงกับเรื่องของแบรนด์หรืออื่น ๆ  จึงเป็นเรื่องชี้เป็นชี้ตายว่าบริษัทไหนจะกำไรหรือขาดทุน  หรือบริษัทไหนจะกำไรดีมากและบริษัทไหนจะไปไม่รอด

           ความสามารถในการทำการตลาด  ซึ่งรวมถึงการออกแบบผลิตภัณฑ์  การจัดการช่องทางการจัดจำหน่าย  การทำโฆษณาประชาสัมพันธ์สินค้าหรือบริการของบริษัทเป็นองค์ประกอบสำคัญในการแข่งขัน  บริษัทที่โดดเด่นในช่วงเร็ว ๆ  นี้ที่ผมสังเกตเห็นก็คือบริษัทที่ขายสินค้าที่มีคุณภาพดีและตั้งราคาไม่ใคร่แพง
ที่คนชั้นกลางส่วนใหญ่รับได้  การออกแบบหีบห่อนั้นต้องดูทันสมัยแนวเกาหลีหรือญี่ปุ่นในกรณีของเครื่องสำอาง  ส่วนทางด้านของเสื้อผ้าและเครื่องประดับอาจจะเป็นแนวของยุโรปที่มีชื่อเสียงด้านการออกแบบ  ช่องทางการจัดจำหน่ายนั้นดูเหมือนว่าคนจะสนใจซื้อจากร้านที่ขายสินค้าเฉพาะอย่างเช่น  เป็นร้านขายเสื้อผ้าหรือขายเครื่องสำอางที่คนมีโอกาสเลือกสินค้าได้หลากหลาย   อย่างไรก็ตาม  ในกรณีสินค้าราคาถูกลงมาหรือเป็นสินค้าพื้น ๆ  นั้น   ความสะดวกก็เป็นเรื่องสำคัญในการจัดจำหน่าย

          ขนาดของกิจการเทียบกับคู่แข่งเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่จะบอกว่าบริษัทจะประสบความสำเร็จหรือไม่  การมียอดขายที่สูงกว่านั้น  ทำให้บริษัทจะมี Economies of Scale คือมีความได้เปรียบในเรื่องของต้นทุนซึ่งรวมถึงต้นทุนการผลิตหรือต้นทุนของสินค้า  และต้นทุนทางด้านการตลาด   การมีสาขาร้านที่ขายสินค้าเฉพาะที่มีจำนวนมากนั้นโดยตัวของมันเองก็เหมือนกับเป็นการโฆษณาเนื่องจากผู้บริโภคจะเห็นบ่อยและช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ  นอกจากนั้น  บริษัทจะสามารถมีสินค้าหลากหลายกว่าคู่แข่งได้  สิ่งต่าง ๆ  เหล่านี้จะดึงดูดให้คนอยากเข้าร้านและเลือกซื้อสินค้าของบริษัทมากกว่าคู่แข่งที่มียอดขายน้อยและ/หรือไม่มี “หน้าร้าน” เพียงพอ    ดังนั้น  การได้เปรียบทางด้านของต้นทุนไม่เพียงแต่จะทำให้บริษัทกำไรดีแต่ยังทำให้ยอดขายของบริษัทโตเร็วขึ้นและก่อให้เกิดกำไรเพิ่มขึ้นอีก  เป็นวงจรแห่งความมั่งคั่ง

           ข้อเสียของธุรกิจเครื่องแต่งตัวก็มีอยู่เหมือนกันนั่นคือ  ธุรกิจนี้ใช้ทุนไม่มากและการเข้าสู่ธุรกิจทำได้ง่าย  นอกจากนั้น  ปัจจัยในการแข่งขันเองก็เปลี่ยนแปลงไปได้ง่ายคล้าย ๆ  กับแฟชั่นเหมือนกัน  ความนิยมเกาหลีหรือญี่ปุ่นอาจจะเปลี่ยนไป  ช่องทางการจัดจำหน่ายก็อาจจะเปลี่ยนไปได้ง่ายเนื่องจากสินค้ามักจะเป็นชิ้นเล็ก  ช่องทางใหม่ ๆ  และการตลาดแบบใหม่อาจจะทำให้บริษัทที่ดีเยี่ยมเดิมตกยุคหรือล้าสมัย  นอกจากนั้น  สินค้าจากต่างประเทศที่เรียกว่า  Inter Brand ที่โดดเด่นระดับโลกก็มีโอกาสที่จะเข้ามาแข่งขันกับผู้ที่ประสบความสำเร็จเดิมได้  ดังนั้น  การติดตามข้อมูลและพัฒนาการของหุ้นเครื่องแต่งตัวเป็นเรื่องสำคัญ  ในอีกด้านหนึ่ง  ถ้าหากบริษัทประสบความสำเร็จในการเพิ่มยอดขายได้สูง  การทำกำไรก็จะดีมาก  ซึ่งจะทำให้หุ้นของบริษัทเติบโตได้อย่างน่าประทับใจ

           ทั้งหมดนั้นเป็นเพียงการวิเคราะห์ในด้านของตัวธุรกิจซึ่งจะเห็นว่ามีทั้งโอกาสและความเสี่ยงอยู่ไม่น้อย   การที่จะเลือกลงทุนในหุ้นนั้นเราก็ยังจำเป็นที่จะต้องดูถึงความถูกความแพงหรือความคุ้มค่าของราคาหุ้น  สิ่งหนึ่งที่จะต้องคำนึงถึงก็คือค่า PE ของหุ้นเครื่องแต่งตัวนั้น  ถ้าสูงเกินไปก็ต้องระวังเนื่องจากธุรกิจนี้ของไทยดูเหมือนว่าจะยังไม่มีความได้เปรียบที่ยั่งยืนเมื่อเทียบกับบริษัทระดับซุปเปอร์สต็อกของต่างประเทศบางแห่ง

แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  หุ้น การลงทุน Value Investment
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่