เปิดคลังสมบัติ “นายหญิง”แห่ง“แม็ค กรุ๊ป”“ปรารถนา มงคลกุล”เจ้าของพอร์ตหุ้นเฉียดหลักพันล้าน และ“สุณี เสรีภาณุ”ผู้ปลาบปลื้มหุ้นกลุ่มยานยนต์สุด
“ไม่กล้า ไม่รวย”!!
หากวันนั้นไม่ยึดวลีนี้ บัดนี้พอร์ต “หุ้น-ทองคำ-อสังหาริมทรัพย์” ของ "ติ่ง" ปรารถนา มงคลกุล ประธานกรรมการบริหาร “แม็ค กรุ๊ป” คงไม่ขึ้นมาสะกิดหลัก “พันล้านบาท”
กลยุทธ์ “มองให้เป็นเห็นนักลงทุนต่างชาติเป็นครู ใช้ตลาดทุนเป็นห้องเรียนชั้นเลิศ” นี่แหละ บ่อเกิดแห่งความสำเร็จของนาง
กว่า 20 ปีแล้ว ที่ “ปรารถนา” ดีกรีปริญญาตรี สาขาการบัญชี และปริญญาโท สาขาบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โลดแล่นอยู่ในแวดวงการเงิน ที่ผ่านมาเธอมีโอกาสเข้าไปคุมเรื่องเงินๆทองๆให้กับ 2 บริษัทยักษ์ใหญ่ของเมืองไทย อย่าง “เซ็นทรัลพัฒนา” (CPN) และ “ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT)
“ปรารถนา มงคลกุล” สวมกางเกง "แม็คยีนส์" ราวกับเป็นพรีเซนเตอร์สินค้า มาบอกเล่าเรื่องราวการลงทุนอย่างที่ไม่เคยเผยที่ใดมาก่อนให้ “กรุงเทพธุรกิจ Biz Week” ฟังว่า “ถือหุ้นในบริษัทที่ทำงานอยู่” นี่คือ คติประจำใจในการลงทุนหุ้น เราอยู่กับงานทุกวัน ย่อมรู้ดีว่าพื้นฐานของเขาแกร่งมากระดับไหน!!
ในช่วงปี 2540 เริ่มควักเงินก้อนโตซื้อหุ้น CPN ราคา 5 บาทต่อหุ้น ช่วงนั้นใครๆ ก็รู้ว่าเมืองไทยเกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง แต่ช้อนหุ้นหลังลาออกจากฝ่ายการเงินของ CPN แล้วนะ เราทำงานอยู่รู้ดีว่า พื้นฐานบริษัทดีมาก เข้าไปเก็บช่วงราคาลงเยอะๆ ช่วงนั้นเขาโดนค่าเงินบาทลอยตัวเล่นงาน
เพิ่งตัดใจขายหุ้น CPN ไปเมื่อปี 2555 ในราคากว่า 60 บาท แม่เจ้า!!
หุ้น ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) เป็นหุ้นตัวที่สอง เหตุผลเหมือนเคย เข้าไปนั่งทำงานแล้วเห็นข้อมูลทุกอย่างรับรู้มาตลอดว่าบริษัทนี้ “เลิศ” แค่ไหน ทำให้มีความกล้าที่จะซื้อหุ้นตัวนี้ ช่วงนั้นสัดส่วนการลงทุนมีหุ้น CPN และ หุ้น MINT เยอะมาก
เมื่อก่อนมีคนเตือนว่า “ห้ามถือหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง ในสัดส่วนที่มากเกินไป” จากนั้นมาก็ปรับพอร์ตลงทุนตัวเอง “อย่านำไข่มาอยู่ในตะกร้าเดียวกัน” ควรแบ่งพอร์ตและตัดขายหุ้นบางตัวออกไป เพื่อนำเงินไปลงทุนในหุ้นตัวอื่นที่ดีกว่าหรือใกล้เคียงกัน
เธอ เล่าต่อว่า หลังปรับแผนลงทุนใหม่ ทำให้พอร์ตมีหุ้นระยะยาว 90% อีก 10% ถือระยะสั้น ทุกวันนี้เน้นถือหุ้นใน 4 กลุ่มธุรกิจ คือ 1.หุ้นกลุ่มอาหาร แม้จะลาออกจาก MINT มาแล้ว แต่ยังชอบหุ้นตัวนี้มากสุด 2.กลุ่มสื่อสาร “รักมาก” ต้องยกให้หุ้น ชิน คอร์ปอเรชั่น (INTUCH) ต้นทุน 30 บาท ทุกวันนี้ราคาปาเข้าไป 95 บาทแล้ว!!!
3.กลุ่มพลังงาน หุ้นครอบครัวปตท.มีเกือบหมดทุกตัว ซื้อหุ้น PTT มา 300 บาท ถึงแม้วันนี้จะ “เจ็บตัว” จากหุ้นตัวนี้ แต่ไม่เคยคิดขาย เพราะเขาจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ สุดท้าย คือ กลุ่มค้าปลีก หุ้น แม็ค กรุ๊ป ถือว่ามีเยอะมากสุด
ถามถึงสไตล์การลงทุน? เธอบอกว่า ชอบมากอันดับแรก คือ หุ้นที่มีมาร์เก็ตแชร์สูงๆ เรียกว่าเป็นผู้ชนะในธุรกิจนั้นๆ ยิ่งมีความเสี่ยงต่ำยิ่งเลิฟ กลุ่มที่มีลักษณะเหล่านี้ส่วนใหญ่จะอยู่ใน "กลุ่มอาหาร-พลังงาน-สื่อสาร-ค้าปลีก"
ปลื้มอันดับ 2 คือ หุ้นตัวนั้นต้องมีอัตราการทำกำไรที่ดี มีการบริหารงานแบบโปร่งใส บางครั้งไม่จำเป็นต้องมีกำไรสูงสุด ขอแค่มีธรรมาภิบาลเยอะๆ และผู้บริหารมีวิสัยทัศน์กว้างไกลก็พอ
จริงๆแล้วชอบลงทุนหุ้นกลุ่ม SET 50 หรือ SET 100 ได้ยินแบบนี้ดูเหมือนเรา “ใจดำ” กับหุ้นตัวเล็กๆ (หัวเราะ) ไอ้หุ้นประเภท “หวือหวา” ไม่เล่นเลย บังเอิญเป็นคนขี้กลัวมาก “กลัวเจ๊ง” ว่าง่ายๆ (ฮ่า ฮ่า) ฉะนั้นขอเน้นหุ้นบูลชิพดีกว่า เพื่อความสบายใจ!!
มีหุ้นในพอร์ตกี่ตัว? เธอตอบว่า 10 ตัว ถือยาวสัก 7 ตัว สั้นอีก 3 ตัว ฝั่งสั้นจะเป็นหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ แม้จะถือลงทุนไม่นาน แต่ก็ซื้อเฉพาะตัวใหญ่ๆ อาทิ หุ้น แลนด์แอนด์เฮ้าส์ (LH) หุ้น ควอลิตี้เฮ้าส์ (QH) และ หุ้น กรุงเทพดุสิตเวชการ (BGH) บอกตรงไม่กล้าถือกลุ่มนี้ยาว ฝังใจมาตั้งแต่ช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง สมัยนั้นหุ้นอสังหาริมทรัพย์ดูไม่จืดจริงจริ๊ง
ฟากหุ้นที่ถือยาวๆจะเน้นดู “เงินปันผล” เป็นหลัก ถ้าจ่ายดีจ่ายนานซื้อเลย ส่วนใหญ่หุ้นกลุ่มนี้จะซื้อแล้วปล่อยทิ้ง ไม่ค่อยมีการเคลื่อนไหว ทำงานไม่ค่อยมีเวลาดู ขืนเอาเวลางานมานั่งเล่นหุ้น โดนกาหัวแน่ๆ จริงๆเพิ่งกลับมาเคลื่อนไหวพอร์ตลงทุนจริงจัง เมื่อต้นปีที่ผ่านมา หลังลาออกจากงานประจำ
เมื่อก่อนเคยเป็น “เม่าน้อย” ที่มักช้อนหุ้นช่วงขาขึ้น และขายตอนหุ้นลง โหย!! ช่วงนั้นพอร์ตเป็น “สีแดง” พักหลังๆใจเริ่มเย็น หันมาซื้อตอนหุ้นปรับฐานลง เมื่อดีดขึ้นต้องใจแข็งอย่าเข้าไปซื้อ ปรับลงก็ห้ามขาย
“ซื้อต่ำ-ขายสูง” กลยุทธ์นี้ดีสุดๆ เดี๋ยวนี้เวลาหุ้นหล่น รีบโทรไปถามโบรกเกอร์ว่า “มีหุ้นตัวไหนน่าสนใจบ้าง”
“กองทุนทองคำ” ก็ชอบลงทุน เมื่อวันสงกรานต์ที่ผ่านมา ราคาทองคำทำใจหาย ลงมาเหลือ 1,300 เหรียญต่อออนซ์ สินทรัพย์ประเภท “ที่ดิน” ก็ลงทุนเหมือนกัน แต่ไม่มากเท่าไร ตอนนี้กำลังสนใจศึกษาการลงทุนต่างประเทศ ช่วงแรกคงเข้าไปในรูปแบบของกองทุนก่อน หากมีความเข้าใจมากพอค่อยลงทุนหุ้นรายตัวๆ อยากกระจายพอร์ต เพราะตลาดหุ้นไทยขึ้นมาสูงแล้ว ขณะที่ตลาดหุ้นยุโรป และสหรัฐอเมริกา ปรับตัวลดลงค่อนข้างต่ำ
คนที่ทำงานประจำ อย่าเล่นหุ้น แต่ถ้าอยากลงทุนจริงให้ซื้อหุ้นที่รู้จัก ถ้าไม่รู้ว่าหุ้นตัวนั้นทำธุรกิจอะไร อย่าเข้าเด็ดขาด!!
ถึงคิว “สุณี เสรีภาณุ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการ “แม็ค กรุ๊ป” เล่าเส้นทางการลงทุน หลังเรียนจบคณะบัญชี จากรั้วจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ไปต่อปริญญาโท สาขาบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ชีวิตการทำงานผ่านมาหลากหลายแห่ง แต่เข้ามาทำใน “แม็ค กรุ๊ป” ช่วงปี 2540 วิกฤติเศรษฐกิจพอดี บริษัทยังมีร้านค้าทั่วประเทศอีก 100 กว่าจุด
“ราคาต่ำๆ” ชอบมากหุ้นสไตล์นี้ ส่วนใหญ่จะซื้อแล้วปล่อยทิ้งมักหันกลับมาดูอีกทีช่วงราคาหุ้นตกเยอะๆ พอร์ตลงทุนไม่ใหญ่ไม่โต แค่หลัก “ร้อยล้านบาท” เน้นลงทุนในหุ้น 20% ที่ดิน 50% ที่เหลือ 30% เก็บเป็นเงินสด หรือไม่ก็ลงทุน “ทองคำ”
ส่วนตัวชอบหุ้น “กลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์” เข้าไปลงทุนตั้งแต่ราคาต่ำมากๆ กลุ่มนี้จ่ายปันผลดี ก่อนจะซื้อเคยมองการณ์ไกลว่า วันหนึ่งเมืองไทยต้องมีรถยนต์อีโคคาร์ ฉะนั้นชิ้นส่วนยานยนต์จะขายดีมาก ที่สำคัญเมืองไทยต้องเป็นฐานการผลิตรถยนต์ ดังนั้นหุ้นกลุ่มนี้ต้องเกิด กลุ่มพลังงานก็มีติดพอร์ตบ้างเล็กน้อย
ครอบครองหุ้นกลุ่มยานยนต์แสนจะมีความสุข ปัจจุบันถือหุ้นอันดับ 10 ใน หุ้น อาปิโก ไฮเทค (AH) จำนวน 5,200,000 หุ้น คิดเป็น 2.30% (ณ วันที่19 มี.ค.56) ซื้อมาตั้งแต่ราคา 4 บาท ปัจจุบันเฉลี่ย 25.25 บาท ตั้งแต่ถือหุ้นตัวนี้ “ไม่เคยผิดหวัง” ได้ทั้งเงินปันผล และผลตอบแทนจากราคาหุ้น ที่ผ่านมาบริษัทสร้างผลงานไว้โดดเด่น เคยคิดจะขายหุ้น AH หวังโกยกำไร แต่ “ใจไม่กล้าพอ” ยิ่งเห็นผู้บริหารสู้ไม่ถอยช่วงน้ำท่วมใหญ่ ยิ่งไม่อยากขาย
จากการตรวจสอบของ “กรุงเทพธุรกิจ Biz Week” พบชื่อ “สุณี เสรีภาณุ” ถือหุ้น เอสวีโอเอ (SVOA) อันดับที่ 17 จำนวน 7 ล้านหุ้น คิดเป็น 0.99% (ตัวเลข ณ วันที่ 14 มี.ค.55)
"สะสมที่ดิน" ชอบมากไม่แพ้กัน เราไม่ต้อง “กังวล” ว่าจะเผลอทำหายที่ไหน (หัวเราะ) ส่วน “คอนโดมิเนียม” ซื้อลงทุนบ้าง ปัจจุบันมีขายออกไปนิดหน่อย ล่าสุดเพิ่งขายคอนโดมิเนียมที่เพิ่งซื้อมาสมัย “ฟองสบู่แตก” ต้นทุนต่ำมาก ตัดขายออกไปได้กำไรเป็นเท่าตัว
"โกอินเตอร์" อนาคต "ยีนส์"สายพันธุ์ไทย
“สุณี เสรีภาณุ” ในฐานะผู้บริหารรุ่น 2 เล่าว่า ช่วงเข้ามาทำงานใหม่ๆมีโอกาสไปเดินตรวจสาขาครั้งแรกในจังหวัดเชียงใหม่ รู้สึกตกใจมาก “ทำไมคนใส่เสื้อแจ๊คเก็ตยีนส์ของแม็คเยอะจัง” ในขณะที่คนกรุงเทพไม่ค่อยใส่ ยิ่งดูให้ลึกยิ่งพบว่า สินค้าของเราได้รับความนิยมมากในภาคเหนือและอีสาน ฉะนั้นช่องทางนี้ยังขยายตัวได้อีกมาก
“ปรารถนา” พูดในทำนองเดียวกันว่า เราดังมากๆ ในต่างจังหวัด “แม็ค กรุ๊ป” ถือเป็นเจ้าแรกและเจ้าเดียวที่มีโมเดลแบบ “ป่าล้อมเมือง” ปัจจุบันมีจุดขายสินค้า 511 แห่ง ช่วงแรกไม่ได้โฟกัสในกรุงเทพเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ได้หาสินค้าที่ตอบโจทย์คนกรุงเทพมากขึ้นแล้ว
ถามถึงแผนธุรกิจ 5 ปีข้างหน้า (2556-2560) “สองผู้บริหารหญิง” ประสานเสียงว่า หลังขายหุ้นไอพีโอให้แก่ประชาชนทั่วไปไม่เกิน 200 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท (ตอนนี้ยังไม่ระบุช่วงเวลาซื้อขาย) เรามีแผนจะ “โกอินเตอร์” ไปในประเทศ “อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-กัมพูชา” ทุกวันนี้มีรายได้ต่างประเทศเพียงพม่าและลาวเท่านั้น ปีก่อนมีรายได้นอกบ้านเพียง 10 ล้านบาท ถือว่าลูกค้าตอบรับดี
“ญี่ปุ่น-เกาหลี” บอกเลย มีโอกาสไปแน่
เรายังมีแผนจะเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่าย เรียกว่าสินค้าของเราต้องขายได้ทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าปลีกของตนเอง (Free standing shop) ห้างสรรพสินค้า (Modern trade) และช่องทางอื่นๆ ที่สำคัญจะจัดการแยกแบรนด์ “McLand” ซึ่งเป็นสินค้าสตรี ออกมาจากแบรนด์ “Mc” รวมถึงทำ “New Concept” โดยสาขาจะมีขนาดใหญ่ขึ้น ภายในร้านจะมีสินค้าครบทุกอย่าง ปัจจุบันกำลังวางรูปแบบ ภายในปี 2556 จะได้เห็น 1-2 แห่ง เดิมเราใช้พื้นที่ต่อสาขาเพียง 80 ตารางเมตร แต่คอนเซ็ปต์ใหม่จะทำให้มีพื้นที่เพิ่มเป็น 300 ตารางเมตร
ในส่วนของแบรนด์ใหม่ๆ ยังคงมีต่อเนื่อง กำลังจะเจาะกลุ่มตลาดยีนส์ “พรีเมี่ยม” ปัจจุบันตลาดนี้เป็นของแบรนด์นอก โดยจะเปิดแบรด์ “Blue Brothers” ภายในไตรมาส 3/56 แรกๆคงดูกระแสตอบรับว่า ผู้บริโภคคิดอย่างไรกับยีนส์ราคา 4,000 บาท แต่ถ้าเทียบกับแบรนด์นอกที่ราคา 6,000-10,000 บาท ก็ถือว่าสินค้าของถูกกว่าเยอะ หากผลออกมาเชิงบวกจะทำตลาดเพิ่มขึ้น กลางปี 2556 เราจะเปิดเว็บไซด์ WoWme.co.th ซึ่งเป็นการจำหน่ายสินค้าแบบออนไลน์ โดยลูกค้าจะซื้อสินค้าผ่านออนไลน์ทั้งแบรนด์ชั้นนำในประเทศและต่างประเทศ
เธอ เล่าต่อว่า วันนี้เด็กไทยยังไม่ค่อยนิยมกางเกงยีนส์เท่าที่ควร ฉะนั้นเราจะผุดแบรนด์ “Mc Mini” “Mc Pink” หลายคนคิดจะออกอะไรเยอะแยะ ความต้องการสินค้าใหม่ๆยังมีอีกมาก วันนี้มูลค่าตลาดเสื้อผ้าภายในประเทศสูงถึง 3 แสนล้านบาท แต่ “แม็ค กรุ๊ป” มีมาร์เก็ตแชร์เพียง 1% เท่านั้น เท่ากับว่าช่องว่างของตลาดยังมีอีก “มหาศาล”
แต่ถ้าเป็นตลาดยีนส์อย่างเดียวมีมูลค่า 10,000 ล้านบาท “แม็ค กรุ๊ป” มีมาร์เก็ตแชร์ 38% เป็นอันดับ 1 รองจากเรามีมาร์เก็ตแชร์ไม่ต่ำกว่า 30% ตลาดยีนส์เติบโตปีละ15-20% ตอนนี้กำลังขยายตลาด เปรียบเหมือนกำลังออกสู่มหาสมุทร ยังมีโอกาสจับปลากินได้อีกเพียบ
รายได้โตเฉลี่ย 20% ทุกปี รักษามาร์จิ้น 24-25% เรื่องง่ายๆ ทำได้อยู่แล้ว
“ปรารถนา” ทิ้งท้ายว่า เรามีจุดขายเกือบทุกจังหวัด ยกเว้น “พังงา-แม่ฮ่องสอน-นครนายก- อุทัยธานี” แถมสินค้าของเรายังมีคุณภาพ ไม่แพ้ยีนส์ฝั่งตะวันตก เมื่อก่อนไม่มีใครรู้จัก “แม็ค กรุ๊ป” แต่จากนี้ไปใครคิดถึงธุรกิจค้าปลีกเสื้อผ้า ต้องวิ่งมาหาเรา นี่ก็มีคนวิ่งมาละ 3-4 ราย
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
"ซื้อต่ำ ขายสูง" เคล็ดลับ "รวยหุ้น"2 สตรีเก่ง "แม็ค กรุ๊ป"
เปิดคลังสมบัติ “นายหญิง”แห่ง“แม็ค กรุ๊ป”“ปรารถนา มงคลกุล”เจ้าของพอร์ตหุ้นเฉียดหลักพันล้าน และ“สุณี เสรีภาณุ”ผู้ปลาบปลื้มหุ้นกลุ่มยานยนต์สุด
“ไม่กล้า ไม่รวย”!!
หากวันนั้นไม่ยึดวลีนี้ บัดนี้พอร์ต “หุ้น-ทองคำ-อสังหาริมทรัพย์” ของ "ติ่ง" ปรารถนา มงคลกุล ประธานกรรมการบริหาร “แม็ค กรุ๊ป” คงไม่ขึ้นมาสะกิดหลัก “พันล้านบาท”
กลยุทธ์ “มองให้เป็นเห็นนักลงทุนต่างชาติเป็นครู ใช้ตลาดทุนเป็นห้องเรียนชั้นเลิศ” นี่แหละ บ่อเกิดแห่งความสำเร็จของนาง
กว่า 20 ปีแล้ว ที่ “ปรารถนา” ดีกรีปริญญาตรี สาขาการบัญชี และปริญญาโท สาขาบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โลดแล่นอยู่ในแวดวงการเงิน ที่ผ่านมาเธอมีโอกาสเข้าไปคุมเรื่องเงินๆทองๆให้กับ 2 บริษัทยักษ์ใหญ่ของเมืองไทย อย่าง “เซ็นทรัลพัฒนา” (CPN) และ “ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT)
“ปรารถนา มงคลกุล” สวมกางเกง "แม็คยีนส์" ราวกับเป็นพรีเซนเตอร์สินค้า มาบอกเล่าเรื่องราวการลงทุนอย่างที่ไม่เคยเผยที่ใดมาก่อนให้ “กรุงเทพธุรกิจ Biz Week” ฟังว่า “ถือหุ้นในบริษัทที่ทำงานอยู่” นี่คือ คติประจำใจในการลงทุนหุ้น เราอยู่กับงานทุกวัน ย่อมรู้ดีว่าพื้นฐานของเขาแกร่งมากระดับไหน!!
ในช่วงปี 2540 เริ่มควักเงินก้อนโตซื้อหุ้น CPN ราคา 5 บาทต่อหุ้น ช่วงนั้นใครๆ ก็รู้ว่าเมืองไทยเกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง แต่ช้อนหุ้นหลังลาออกจากฝ่ายการเงินของ CPN แล้วนะ เราทำงานอยู่รู้ดีว่า พื้นฐานบริษัทดีมาก เข้าไปเก็บช่วงราคาลงเยอะๆ ช่วงนั้นเขาโดนค่าเงินบาทลอยตัวเล่นงาน
เพิ่งตัดใจขายหุ้น CPN ไปเมื่อปี 2555 ในราคากว่า 60 บาท แม่เจ้า!!
หุ้น ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) เป็นหุ้นตัวที่สอง เหตุผลเหมือนเคย เข้าไปนั่งทำงานแล้วเห็นข้อมูลทุกอย่างรับรู้มาตลอดว่าบริษัทนี้ “เลิศ” แค่ไหน ทำให้มีความกล้าที่จะซื้อหุ้นตัวนี้ ช่วงนั้นสัดส่วนการลงทุนมีหุ้น CPN และ หุ้น MINT เยอะมาก
เมื่อก่อนมีคนเตือนว่า “ห้ามถือหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง ในสัดส่วนที่มากเกินไป” จากนั้นมาก็ปรับพอร์ตลงทุนตัวเอง “อย่านำไข่มาอยู่ในตะกร้าเดียวกัน” ควรแบ่งพอร์ตและตัดขายหุ้นบางตัวออกไป เพื่อนำเงินไปลงทุนในหุ้นตัวอื่นที่ดีกว่าหรือใกล้เคียงกัน
เธอ เล่าต่อว่า หลังปรับแผนลงทุนใหม่ ทำให้พอร์ตมีหุ้นระยะยาว 90% อีก 10% ถือระยะสั้น ทุกวันนี้เน้นถือหุ้นใน 4 กลุ่มธุรกิจ คือ 1.หุ้นกลุ่มอาหาร แม้จะลาออกจาก MINT มาแล้ว แต่ยังชอบหุ้นตัวนี้มากสุด 2.กลุ่มสื่อสาร “รักมาก” ต้องยกให้หุ้น ชิน คอร์ปอเรชั่น (INTUCH) ต้นทุน 30 บาท ทุกวันนี้ราคาปาเข้าไป 95 บาทแล้ว!!!
3.กลุ่มพลังงาน หุ้นครอบครัวปตท.มีเกือบหมดทุกตัว ซื้อหุ้น PTT มา 300 บาท ถึงแม้วันนี้จะ “เจ็บตัว” จากหุ้นตัวนี้ แต่ไม่เคยคิดขาย เพราะเขาจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ สุดท้าย คือ กลุ่มค้าปลีก หุ้น แม็ค กรุ๊ป ถือว่ามีเยอะมากสุด
ถามถึงสไตล์การลงทุน? เธอบอกว่า ชอบมากอันดับแรก คือ หุ้นที่มีมาร์เก็ตแชร์สูงๆ เรียกว่าเป็นผู้ชนะในธุรกิจนั้นๆ ยิ่งมีความเสี่ยงต่ำยิ่งเลิฟ กลุ่มที่มีลักษณะเหล่านี้ส่วนใหญ่จะอยู่ใน "กลุ่มอาหาร-พลังงาน-สื่อสาร-ค้าปลีก"
ปลื้มอันดับ 2 คือ หุ้นตัวนั้นต้องมีอัตราการทำกำไรที่ดี มีการบริหารงานแบบโปร่งใส บางครั้งไม่จำเป็นต้องมีกำไรสูงสุด ขอแค่มีธรรมาภิบาลเยอะๆ และผู้บริหารมีวิสัยทัศน์กว้างไกลก็พอ
จริงๆแล้วชอบลงทุนหุ้นกลุ่ม SET 50 หรือ SET 100 ได้ยินแบบนี้ดูเหมือนเรา “ใจดำ” กับหุ้นตัวเล็กๆ (หัวเราะ) ไอ้หุ้นประเภท “หวือหวา” ไม่เล่นเลย บังเอิญเป็นคนขี้กลัวมาก “กลัวเจ๊ง” ว่าง่ายๆ (ฮ่า ฮ่า) ฉะนั้นขอเน้นหุ้นบูลชิพดีกว่า เพื่อความสบายใจ!!
มีหุ้นในพอร์ตกี่ตัว? เธอตอบว่า 10 ตัว ถือยาวสัก 7 ตัว สั้นอีก 3 ตัว ฝั่งสั้นจะเป็นหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ แม้จะถือลงทุนไม่นาน แต่ก็ซื้อเฉพาะตัวใหญ่ๆ อาทิ หุ้น แลนด์แอนด์เฮ้าส์ (LH) หุ้น ควอลิตี้เฮ้าส์ (QH) และ หุ้น กรุงเทพดุสิตเวชการ (BGH) บอกตรงไม่กล้าถือกลุ่มนี้ยาว ฝังใจมาตั้งแต่ช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง สมัยนั้นหุ้นอสังหาริมทรัพย์ดูไม่จืดจริงจริ๊ง
ฟากหุ้นที่ถือยาวๆจะเน้นดู “เงินปันผล” เป็นหลัก ถ้าจ่ายดีจ่ายนานซื้อเลย ส่วนใหญ่หุ้นกลุ่มนี้จะซื้อแล้วปล่อยทิ้ง ไม่ค่อยมีการเคลื่อนไหว ทำงานไม่ค่อยมีเวลาดู ขืนเอาเวลางานมานั่งเล่นหุ้น โดนกาหัวแน่ๆ จริงๆเพิ่งกลับมาเคลื่อนไหวพอร์ตลงทุนจริงจัง เมื่อต้นปีที่ผ่านมา หลังลาออกจากงานประจำ
เมื่อก่อนเคยเป็น “เม่าน้อย” ที่มักช้อนหุ้นช่วงขาขึ้น และขายตอนหุ้นลง โหย!! ช่วงนั้นพอร์ตเป็น “สีแดง” พักหลังๆใจเริ่มเย็น หันมาซื้อตอนหุ้นปรับฐานลง เมื่อดีดขึ้นต้องใจแข็งอย่าเข้าไปซื้อ ปรับลงก็ห้ามขาย
“ซื้อต่ำ-ขายสูง” กลยุทธ์นี้ดีสุดๆ เดี๋ยวนี้เวลาหุ้นหล่น รีบโทรไปถามโบรกเกอร์ว่า “มีหุ้นตัวไหนน่าสนใจบ้าง”
“กองทุนทองคำ” ก็ชอบลงทุน เมื่อวันสงกรานต์ที่ผ่านมา ราคาทองคำทำใจหาย ลงมาเหลือ 1,300 เหรียญต่อออนซ์ สินทรัพย์ประเภท “ที่ดิน” ก็ลงทุนเหมือนกัน แต่ไม่มากเท่าไร ตอนนี้กำลังสนใจศึกษาการลงทุนต่างประเทศ ช่วงแรกคงเข้าไปในรูปแบบของกองทุนก่อน หากมีความเข้าใจมากพอค่อยลงทุนหุ้นรายตัวๆ อยากกระจายพอร์ต เพราะตลาดหุ้นไทยขึ้นมาสูงแล้ว ขณะที่ตลาดหุ้นยุโรป และสหรัฐอเมริกา ปรับตัวลดลงค่อนข้างต่ำ
คนที่ทำงานประจำ อย่าเล่นหุ้น แต่ถ้าอยากลงทุนจริงให้ซื้อหุ้นที่รู้จัก ถ้าไม่รู้ว่าหุ้นตัวนั้นทำธุรกิจอะไร อย่าเข้าเด็ดขาด!!
ถึงคิว “สุณี เสรีภาณุ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการ “แม็ค กรุ๊ป” เล่าเส้นทางการลงทุน หลังเรียนจบคณะบัญชี จากรั้วจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ไปต่อปริญญาโท สาขาบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ชีวิตการทำงานผ่านมาหลากหลายแห่ง แต่เข้ามาทำใน “แม็ค กรุ๊ป” ช่วงปี 2540 วิกฤติเศรษฐกิจพอดี บริษัทยังมีร้านค้าทั่วประเทศอีก 100 กว่าจุด
“ราคาต่ำๆ” ชอบมากหุ้นสไตล์นี้ ส่วนใหญ่จะซื้อแล้วปล่อยทิ้งมักหันกลับมาดูอีกทีช่วงราคาหุ้นตกเยอะๆ พอร์ตลงทุนไม่ใหญ่ไม่โต แค่หลัก “ร้อยล้านบาท” เน้นลงทุนในหุ้น 20% ที่ดิน 50% ที่เหลือ 30% เก็บเป็นเงินสด หรือไม่ก็ลงทุน “ทองคำ”
ส่วนตัวชอบหุ้น “กลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์” เข้าไปลงทุนตั้งแต่ราคาต่ำมากๆ กลุ่มนี้จ่ายปันผลดี ก่อนจะซื้อเคยมองการณ์ไกลว่า วันหนึ่งเมืองไทยต้องมีรถยนต์อีโคคาร์ ฉะนั้นชิ้นส่วนยานยนต์จะขายดีมาก ที่สำคัญเมืองไทยต้องเป็นฐานการผลิตรถยนต์ ดังนั้นหุ้นกลุ่มนี้ต้องเกิด กลุ่มพลังงานก็มีติดพอร์ตบ้างเล็กน้อย
ครอบครองหุ้นกลุ่มยานยนต์แสนจะมีความสุข ปัจจุบันถือหุ้นอันดับ 10 ใน หุ้น อาปิโก ไฮเทค (AH) จำนวน 5,200,000 หุ้น คิดเป็น 2.30% (ณ วันที่19 มี.ค.56) ซื้อมาตั้งแต่ราคา 4 บาท ปัจจุบันเฉลี่ย 25.25 บาท ตั้งแต่ถือหุ้นตัวนี้ “ไม่เคยผิดหวัง” ได้ทั้งเงินปันผล และผลตอบแทนจากราคาหุ้น ที่ผ่านมาบริษัทสร้างผลงานไว้โดดเด่น เคยคิดจะขายหุ้น AH หวังโกยกำไร แต่ “ใจไม่กล้าพอ” ยิ่งเห็นผู้บริหารสู้ไม่ถอยช่วงน้ำท่วมใหญ่ ยิ่งไม่อยากขาย
จากการตรวจสอบของ “กรุงเทพธุรกิจ Biz Week” พบชื่อ “สุณี เสรีภาณุ” ถือหุ้น เอสวีโอเอ (SVOA) อันดับที่ 17 จำนวน 7 ล้านหุ้น คิดเป็น 0.99% (ตัวเลข ณ วันที่ 14 มี.ค.55)
"สะสมที่ดิน" ชอบมากไม่แพ้กัน เราไม่ต้อง “กังวล” ว่าจะเผลอทำหายที่ไหน (หัวเราะ) ส่วน “คอนโดมิเนียม” ซื้อลงทุนบ้าง ปัจจุบันมีขายออกไปนิดหน่อย ล่าสุดเพิ่งขายคอนโดมิเนียมที่เพิ่งซื้อมาสมัย “ฟองสบู่แตก” ต้นทุนต่ำมาก ตัดขายออกไปได้กำไรเป็นเท่าตัว
"โกอินเตอร์" อนาคต "ยีนส์"สายพันธุ์ไทย
“สุณี เสรีภาณุ” ในฐานะผู้บริหารรุ่น 2 เล่าว่า ช่วงเข้ามาทำงานใหม่ๆมีโอกาสไปเดินตรวจสาขาครั้งแรกในจังหวัดเชียงใหม่ รู้สึกตกใจมาก “ทำไมคนใส่เสื้อแจ๊คเก็ตยีนส์ของแม็คเยอะจัง” ในขณะที่คนกรุงเทพไม่ค่อยใส่ ยิ่งดูให้ลึกยิ่งพบว่า สินค้าของเราได้รับความนิยมมากในภาคเหนือและอีสาน ฉะนั้นช่องทางนี้ยังขยายตัวได้อีกมาก
“ปรารถนา” พูดในทำนองเดียวกันว่า เราดังมากๆ ในต่างจังหวัด “แม็ค กรุ๊ป” ถือเป็นเจ้าแรกและเจ้าเดียวที่มีโมเดลแบบ “ป่าล้อมเมือง” ปัจจุบันมีจุดขายสินค้า 511 แห่ง ช่วงแรกไม่ได้โฟกัสในกรุงเทพเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ได้หาสินค้าที่ตอบโจทย์คนกรุงเทพมากขึ้นแล้ว
ถามถึงแผนธุรกิจ 5 ปีข้างหน้า (2556-2560) “สองผู้บริหารหญิง” ประสานเสียงว่า หลังขายหุ้นไอพีโอให้แก่ประชาชนทั่วไปไม่เกิน 200 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท (ตอนนี้ยังไม่ระบุช่วงเวลาซื้อขาย) เรามีแผนจะ “โกอินเตอร์” ไปในประเทศ “อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-กัมพูชา” ทุกวันนี้มีรายได้ต่างประเทศเพียงพม่าและลาวเท่านั้น ปีก่อนมีรายได้นอกบ้านเพียง 10 ล้านบาท ถือว่าลูกค้าตอบรับดี
“ญี่ปุ่น-เกาหลี” บอกเลย มีโอกาสไปแน่
เรายังมีแผนจะเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่าย เรียกว่าสินค้าของเราต้องขายได้ทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าปลีกของตนเอง (Free standing shop) ห้างสรรพสินค้า (Modern trade) และช่องทางอื่นๆ ที่สำคัญจะจัดการแยกแบรนด์ “McLand” ซึ่งเป็นสินค้าสตรี ออกมาจากแบรนด์ “Mc” รวมถึงทำ “New Concept” โดยสาขาจะมีขนาดใหญ่ขึ้น ภายในร้านจะมีสินค้าครบทุกอย่าง ปัจจุบันกำลังวางรูปแบบ ภายในปี 2556 จะได้เห็น 1-2 แห่ง เดิมเราใช้พื้นที่ต่อสาขาเพียง 80 ตารางเมตร แต่คอนเซ็ปต์ใหม่จะทำให้มีพื้นที่เพิ่มเป็น 300 ตารางเมตร
ในส่วนของแบรนด์ใหม่ๆ ยังคงมีต่อเนื่อง กำลังจะเจาะกลุ่มตลาดยีนส์ “พรีเมี่ยม” ปัจจุบันตลาดนี้เป็นของแบรนด์นอก โดยจะเปิดแบรด์ “Blue Brothers” ภายในไตรมาส 3/56 แรกๆคงดูกระแสตอบรับว่า ผู้บริโภคคิดอย่างไรกับยีนส์ราคา 4,000 บาท แต่ถ้าเทียบกับแบรนด์นอกที่ราคา 6,000-10,000 บาท ก็ถือว่าสินค้าของถูกกว่าเยอะ หากผลออกมาเชิงบวกจะทำตลาดเพิ่มขึ้น กลางปี 2556 เราจะเปิดเว็บไซด์ WoWme.co.th ซึ่งเป็นการจำหน่ายสินค้าแบบออนไลน์ โดยลูกค้าจะซื้อสินค้าผ่านออนไลน์ทั้งแบรนด์ชั้นนำในประเทศและต่างประเทศ
เธอ เล่าต่อว่า วันนี้เด็กไทยยังไม่ค่อยนิยมกางเกงยีนส์เท่าที่ควร ฉะนั้นเราจะผุดแบรนด์ “Mc Mini” “Mc Pink” หลายคนคิดจะออกอะไรเยอะแยะ ความต้องการสินค้าใหม่ๆยังมีอีกมาก วันนี้มูลค่าตลาดเสื้อผ้าภายในประเทศสูงถึง 3 แสนล้านบาท แต่ “แม็ค กรุ๊ป” มีมาร์เก็ตแชร์เพียง 1% เท่านั้น เท่ากับว่าช่องว่างของตลาดยังมีอีก “มหาศาล”
แต่ถ้าเป็นตลาดยีนส์อย่างเดียวมีมูลค่า 10,000 ล้านบาท “แม็ค กรุ๊ป” มีมาร์เก็ตแชร์ 38% เป็นอันดับ 1 รองจากเรามีมาร์เก็ตแชร์ไม่ต่ำกว่า 30% ตลาดยีนส์เติบโตปีละ15-20% ตอนนี้กำลังขยายตลาด เปรียบเหมือนกำลังออกสู่มหาสมุทร ยังมีโอกาสจับปลากินได้อีกเพียบ
รายได้โตเฉลี่ย 20% ทุกปี รักษามาร์จิ้น 24-25% เรื่องง่ายๆ ทำได้อยู่แล้ว
“ปรารถนา” ทิ้งท้ายว่า เรามีจุดขายเกือบทุกจังหวัด ยกเว้น “พังงา-แม่ฮ่องสอน-นครนายก- อุทัยธานี” แถมสินค้าของเรายังมีคุณภาพ ไม่แพ้ยีนส์ฝั่งตะวันตก เมื่อก่อนไม่มีใครรู้จัก “แม็ค กรุ๊ป” แต่จากนี้ไปใครคิดถึงธุรกิจค้าปลีกเสื้อผ้า ต้องวิ่งมาหาเรา นี่ก็มีคนวิ่งมาละ 3-4 ราย
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์