ปล่อย "ไอ้โล้นอิสระ" มันไปเถอะครับ
มันอยากจะทำอะไรก็ให้มันทำไปเถอะ
เพราะในความเป็นจริงนั้นพระก็ยุ่งกับการเมืองมาตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว !!!
จะมีอย่าง "ไอ้โล้นอิสระ" เพิ่มมาอีกคนก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง ....
ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ
เราก็เคยมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์
ว่ามีพระภิกษุสงฆ์เดินขบวนประท้วงทางการ
ที่มีนโยบายจะ "เปิดประเทศ" ให้กับฝรั่งเศสเข้ามา "บองชูว์" ในอาณาจักร
คนที่บันทึกเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ใคร .....แต่เป็นบาทหลวงแดนน้ำหอมนั่นแหละครับ
ในสมัยอยุทธยานี่ยิ่งชัดเจนเลย
เพราะเมื่อครั้งที่พระนเรศวรฯอยู่ในช่วงที่พาชาติเข้าสู่สงครามกับพม่านั้น
ไม่รู้ว่าม้าของพระองค์วิ่งเร็วเกินไปหรือเปล่า...... ก็เลยทำให้แม่ทัพนายกองส่วนหนึ่งตามไม่ทัน
พงศาวดาร (ที่ไม่รู้ใครแมร่งเขียน) ระบุว่าพระนเรศวรเลยไปทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชาแบบเสียเปรียบ
แต่พระองค์ก็ชนะศึกนั้นครับ
(ประเทศทุยนี่มันอ่อนไหวจริงๆ
เป็นโรคขาดแคลนฮีโร่จนต้องสร้างกิมมิค
และ "ปรุงแต่ง" กันซะจนดราม่าสุดๆ !!!!!)
เมื่อชนะศึกกลับมา
พระนเรศวรก็เลยทรง "เช็คบิล" แม่ทัพนายกองที่ตามเสด็จไม่ทัน
พระองค์มีพระบรมราชโองการให้ประหารชีวิตแม่ทัพนายกองเหล่านั้นครับ !!!!
(ผมอยากให้ปูหากว่าชนะศึกนี้ ก็น่าจะเช็คบิล "ไอ้เหล่" แบบที่พระนเรศวรทำจังเลย)
ครานั้น.............
เดือดร้อนถึงสมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว
ที่ต้องยกพลคณะสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ 25 รูปไปเข้าเฝ้า
และ แสดงธรรมแก่พระนเรศวร ก่อนที่จะทูลขอชีวิตเหล่าแม่ทัพนายกองจนเป็นผลสำเร็จ
การเข้ามายุ่งกับการเมืองของสมเด็จพระพนรัตน์ครั้งนี้
ทำให้มีคนรอดตายจากคมดาบหลายคน.....สาธุ....สาธุ......สาธุ......
หรือแม้แต่สมัยรัตนโกสินทร์นี่ก็เถอะครับ
ในตอนที่ ร.4 เสด็จสวรรคต ก็มีเรื่องของพระกับการเมืองเช่นกัน
เพราะมีการทูลเชิญพระบรมวงศานุวงศ์ และ ขุนนางชั้นผู้ใหญ่มาประชุม
เพื่อที่จะช่วยกันกลั่นกรองเลือกกษัตริย์พระองค์ต่อไปตามกฏ , ตามพระราชประเพณี
และ ยังได้มีการกราบนิมนต์ "สมเด็จพระราชาคณะ" มาร่วมประชุมด้วย
ทั้งนี้ก็เพื่อให้เกิดความชอบธรรมของกระบวนการทั้งหมด
ทั้งๆที่เรื่องการสืบสันติวงศ์นี้ไม่เกี่ยวกับพระเลย เพราะมีกฏมณเฑียรบาลที่ชัดเจนอยู่แล้ว
ระหว่างพระ กับ การเมือง
มันแยกกันไม่ออกหรอกครับ
เพราะการเมืองมันเกี่ยวข้องกับชีวิตคน
ส่วนพระก็มีหน้าที่สั่งสอน ให้ทางสว่างกับสังคม
แต่ในปี 2491 มีคำสั่ง "ห้ามพระยุ่งการเมือง" ครับ !!!
แถมในท้ายประกาศ
ยังมีบทลงโทษโดยระบุให้เป็นความผิดตามมาตรา 44 (2) หรือ (3)
แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พุทธศักราช 2484 และ หลังจากลงโทษแล้ว ให้รายงานต่อเจ้าคณะตามลำดับจนถึงสังฆนายก
คำสั่งนี้ประกาศวันที่ 2 มกราคม 2491
ประกาศโดย "พระศาสนโศภณ" ที่รักษาการแทนสังฆนายกครับ
ซึ่งก็ทำให้พระสงฆ์องค์เจ้าก็เลยเพลาๆเรื่องการเมืองลงไปได้บ้าง
แต่พอมาถึงยุค 6 ตุลาฯ 19
ก็ถึงคราวป่าช้าแตกจนได้ครับ
เพราะวลีของ "กิตติวุฒโฑ ภิกขุ"
ที่บอกอย่างหน้าชื่นตาบานว่า "ฆ่าคอมมิวนิสท์ไม่บาป" นี่แหละ !!!!
แถมในยุคนั้นยังมีภาพข่าว
ที่พระรูปนี้พาตำรวจไป "ชี้เป้า"
เพื่อไล่จับนักศึกษาที่หนีมาหลบซ่อน แล้วพระท่านดันไปรู้ที่ซ่อนของเขาอีกต่างหาก !!!
.........สนุกเขาหล่ะ !!!!!
มีงานวิจัยของ อ.ไกรฤกษ์ ศิลาคม
งานสรุปออกมาว่า พระสงฆ์มีเสรีภาพที่จะแสดงออกทางการเมือง เพราะพระธรรมวินัยไม่ได้ห้ามไว้
ดังนั้นพระสงฆ์กับการเมืองควรเกี่ยวเนื่องกันในภาวะที่เหมาะสม ในเชิงของการให้สติปัญญากับสังคมครับ
เมื่อเป็นแบบนี้.....ก็ปล่อยให้ "ไอ้โล้นอิสระ" มันทำอะไรที่มันอยากทำไปเถอะครับ
เพราะในความเป็นจริง
มันไม่น่าจะมีสถานภาพของ "พระ" อีกแล้ว
เนื่องจากมันได้กลายเป็นคนทุศีล เป็นอลัชชี ไปตั้งนานแล้ว
ขนาดกลางคืน
มันยังไม่ได้นอนในม๊อบเลย
แต่ไปนอนอยู่ในบ้านของโยมที่เลื่อมใสมัน....สบายเฉิบ......
ศีล 5 ผมว่าเผลอๆอาจจะไม่ครบก็เป็นได้ครับ
เมื่อ "ไอ้โล้นอิสระ" ไม่ใช่พระแล้ว
เราก็คงไม่จำเป็นต้องไปห้ามปรามอะไรมันเลย
ปล่อยให้กระบวนการของกฏหมายมันจัดการกับคนที่เป็น "กบฏ"
และ ปล่อยให้กระบวนการของบาปกรรมมันจัดการกับคนที่ทำ "กรรมชั่ว" ตามประสาสัตว์โลกดีกว่าครับ
"สมเด็จพระพนรัตน์" ยุ่งกับการเมืองเพื่อบิณฑบาตชีวิตคน
ในขณะที่ "ไอ้โล้นอิสระ" ยุ่งกับการเมืองเพื่อเบียดเบียนผู้คน
ช่างต่างกันราว "สวรรค์ กับ นรก" จริงๆ !!!!!!!
ขอบคุณคุณธรรมดาสามัญ ที่ให้ยืมอมยิ้มแปะกระทู้ครับ
++++++++++ .......... อ ย่ า ไ ป ห้ า ม ไ ป ป ร า ม อ ะ ไ ร มั น เ ล ย ค รั บ .......... !!!!!!!!!! ++++++++++
มันอยากจะทำอะไรก็ให้มันทำไปเถอะ
เพราะในความเป็นจริงนั้นพระก็ยุ่งกับการเมืองมาตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว !!!
จะมีอย่าง "ไอ้โล้นอิสระ" เพิ่มมาอีกคนก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง ....
ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ
เราก็เคยมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์
ว่ามีพระภิกษุสงฆ์เดินขบวนประท้วงทางการ
ที่มีนโยบายจะ "เปิดประเทศ" ให้กับฝรั่งเศสเข้ามา "บองชูว์" ในอาณาจักร
คนที่บันทึกเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ใคร .....แต่เป็นบาทหลวงแดนน้ำหอมนั่นแหละครับ
ในสมัยอยุทธยานี่ยิ่งชัดเจนเลย
เพราะเมื่อครั้งที่พระนเรศวรฯอยู่ในช่วงที่พาชาติเข้าสู่สงครามกับพม่านั้น
ไม่รู้ว่าม้าของพระองค์วิ่งเร็วเกินไปหรือเปล่า...... ก็เลยทำให้แม่ทัพนายกองส่วนหนึ่งตามไม่ทัน
พงศาวดาร (ที่ไม่รู้ใครแมร่งเขียน) ระบุว่าพระนเรศวรเลยไปทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชาแบบเสียเปรียบ
แต่พระองค์ก็ชนะศึกนั้นครับ
(ประเทศทุยนี่มันอ่อนไหวจริงๆ
เป็นโรคขาดแคลนฮีโร่จนต้องสร้างกิมมิค
และ "ปรุงแต่ง" กันซะจนดราม่าสุดๆ !!!!!)
เมื่อชนะศึกกลับมา
พระนเรศวรก็เลยทรง "เช็คบิล" แม่ทัพนายกองที่ตามเสด็จไม่ทัน
พระองค์มีพระบรมราชโองการให้ประหารชีวิตแม่ทัพนายกองเหล่านั้นครับ !!!!
(ผมอยากให้ปูหากว่าชนะศึกนี้ ก็น่าจะเช็คบิล "ไอ้เหล่" แบบที่พระนเรศวรทำจังเลย)
ครานั้น.............
เดือดร้อนถึงสมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว
ที่ต้องยกพลคณะสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ 25 รูปไปเข้าเฝ้า
และ แสดงธรรมแก่พระนเรศวร ก่อนที่จะทูลขอชีวิตเหล่าแม่ทัพนายกองจนเป็นผลสำเร็จ
การเข้ามายุ่งกับการเมืองของสมเด็จพระพนรัตน์ครั้งนี้
ทำให้มีคนรอดตายจากคมดาบหลายคน.....สาธุ....สาธุ......สาธุ......
หรือแม้แต่สมัยรัตนโกสินทร์นี่ก็เถอะครับ
ในตอนที่ ร.4 เสด็จสวรรคต ก็มีเรื่องของพระกับการเมืองเช่นกัน
เพราะมีการทูลเชิญพระบรมวงศานุวงศ์ และ ขุนนางชั้นผู้ใหญ่มาประชุม
เพื่อที่จะช่วยกันกลั่นกรองเลือกกษัตริย์พระองค์ต่อไปตามกฏ , ตามพระราชประเพณี
และ ยังได้มีการกราบนิมนต์ "สมเด็จพระราชาคณะ" มาร่วมประชุมด้วย
ทั้งนี้ก็เพื่อให้เกิดความชอบธรรมของกระบวนการทั้งหมด
ทั้งๆที่เรื่องการสืบสันติวงศ์นี้ไม่เกี่ยวกับพระเลย เพราะมีกฏมณเฑียรบาลที่ชัดเจนอยู่แล้ว
ระหว่างพระ กับ การเมือง
มันแยกกันไม่ออกหรอกครับ
เพราะการเมืองมันเกี่ยวข้องกับชีวิตคน
ส่วนพระก็มีหน้าที่สั่งสอน ให้ทางสว่างกับสังคม
แต่ในปี 2491 มีคำสั่ง "ห้ามพระยุ่งการเมือง" ครับ !!!
แถมในท้ายประกาศ
ยังมีบทลงโทษโดยระบุให้เป็นความผิดตามมาตรา 44 (2) หรือ (3)
แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พุทธศักราช 2484 และ หลังจากลงโทษแล้ว ให้รายงานต่อเจ้าคณะตามลำดับจนถึงสังฆนายก
คำสั่งนี้ประกาศวันที่ 2 มกราคม 2491
ประกาศโดย "พระศาสนโศภณ" ที่รักษาการแทนสังฆนายกครับ
ซึ่งก็ทำให้พระสงฆ์องค์เจ้าก็เลยเพลาๆเรื่องการเมืองลงไปได้บ้าง
แต่พอมาถึงยุค 6 ตุลาฯ 19
ก็ถึงคราวป่าช้าแตกจนได้ครับ
เพราะวลีของ "กิตติวุฒโฑ ภิกขุ"
ที่บอกอย่างหน้าชื่นตาบานว่า "ฆ่าคอมมิวนิสท์ไม่บาป" นี่แหละ !!!!
แถมในยุคนั้นยังมีภาพข่าว
ที่พระรูปนี้พาตำรวจไป "ชี้เป้า"
เพื่อไล่จับนักศึกษาที่หนีมาหลบซ่อน แล้วพระท่านดันไปรู้ที่ซ่อนของเขาอีกต่างหาก !!!
.........สนุกเขาหล่ะ !!!!!
มีงานวิจัยของ อ.ไกรฤกษ์ ศิลาคม
งานสรุปออกมาว่า พระสงฆ์มีเสรีภาพที่จะแสดงออกทางการเมือง เพราะพระธรรมวินัยไม่ได้ห้ามไว้
ดังนั้นพระสงฆ์กับการเมืองควรเกี่ยวเนื่องกันในภาวะที่เหมาะสม ในเชิงของการให้สติปัญญากับสังคมครับ
เมื่อเป็นแบบนี้.....ก็ปล่อยให้ "ไอ้โล้นอิสระ" มันทำอะไรที่มันอยากทำไปเถอะครับ
เพราะในความเป็นจริง
มันไม่น่าจะมีสถานภาพของ "พระ" อีกแล้ว
เนื่องจากมันได้กลายเป็นคนทุศีล เป็นอลัชชี ไปตั้งนานแล้ว
ขนาดกลางคืน
มันยังไม่ได้นอนในม๊อบเลย
แต่ไปนอนอยู่ในบ้านของโยมที่เลื่อมใสมัน....สบายเฉิบ......
ศีล 5 ผมว่าเผลอๆอาจจะไม่ครบก็เป็นได้ครับ
เมื่อ "ไอ้โล้นอิสระ" ไม่ใช่พระแล้ว
เราก็คงไม่จำเป็นต้องไปห้ามปรามอะไรมันเลย
ปล่อยให้กระบวนการของกฏหมายมันจัดการกับคนที่เป็น "กบฏ"
และ ปล่อยให้กระบวนการของบาปกรรมมันจัดการกับคนที่ทำ "กรรมชั่ว" ตามประสาสัตว์โลกดีกว่าครับ
"สมเด็จพระพนรัตน์" ยุ่งกับการเมืองเพื่อบิณฑบาตชีวิตคน
ในขณะที่ "ไอ้โล้นอิสระ" ยุ่งกับการเมืองเพื่อเบียดเบียนผู้คน
ช่างต่างกันราว "สวรรค์ กับ นรก" จริงๆ !!!!!!!
ขอบคุณคุณธรรมดาสามัญ ที่ให้ยืมอมยิ้มแปะกระทู้ครับ