ถ้าให้ศาลตัดสินทุกอย่างมันจะกลายเป็นว่า ประเทศไทย บริหารโดยนักกฎหมาย โดยมุมมองของนักกฎกหาย ไม่ใช่นักบริหาร ถ้าเปรียบเป็นบริษัท ก็คือให้ทนายบริษัท ตัดสินใจแทน CEO ประมาณนั้น แล้วมันจะเจริญไหม อันนี้ไม่เกี่ยวกับว่าเป็นรัฐบาลไหนนะครับ แต่เชื่อได้ว่า ต่อไปข้างหน้าไม่ว่ารัฐบาลไหน หากฝ่ายบริหารมี BIG PROJECT ที่ต้องใช้งบประมาณลงทุน จำนวนมาก มีการลงทุน มีความเสี่ยง ดูจากธรรมเนียมปฎิบัติในปัจจุบัน ฝ่ายแค้น ก็ต้องหาเหลี่ยมมุมทางกฏหมาย ยืนให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ว่าขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ มันทุกโครงการไป เช่น
ถ้าไทยจะลงทุนสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูง รถไฟรางคู่ ปรับปรุงระบบคมนาคมโดการกู้เงิน ต้องให้ศาลพิจารณาก่อน
ถ้าไทยจะลงทุนสร้างจรวดไปดาวอังคาร คงต้องให้ ศาลตีความ ว่าจะได้ไปไม่ได้ไป
ถ้าไทยจะลงทุนทำสถาบันวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ทางการแพทย์ วิศวกรรมศาสตร์ โดยใช้ทุนวิจัยจำนวนมาก ต้อให้ศาลพิจารณาก่อน
ถ้าไทยจะลุงทุนสร้างสนามบิน สร้างเชื่อน โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ฯลฯ ต้องให้ศาลท่านพิจารณาก่อน
ทุกๆ BIG PROJECT ที่ผ่านระบอบรัฐสภามาแล้วจะถูก ยื่นให้ศาลตีความแน่นอน และการตัดสินว่าโครงการที่ยังไม่เกิดขึ้นจะดี ไม่ดี คุ้ม ไม่คุ้ม น่าทำ ไม่น่าทำ มันไม่ได้ตัดสินจากข้อเท็จจริงได้ เพราะมันคือการลงทุน คือ ความเสี่ยง คือเหตุการณ์ที่จะเกิดในอนาคตมันต้องตัดสินกันด้วยวิสัยทัศน์ ( VISION ) ศาลไม่ได้มี ไทม์แมชชีนจะไปดูข้อเท็จจริงในอนาคตได้
ถ้าถามว่า ศาล ท่านเรียนจบอะไรมา ???? ทุกคนก็ต้องตอบเป็นเสียงเดียวกัน่า นิติศาสตร์
แต่ถ้าคนไทยรู้ว่า ตุลาการระดับสูงไม่กี่ท่านทีมีหน้าที่ชี้เป็นชี้ตายประเทศ คือนักศึกษา นิติศาสตร์ ที่สอบเป็นผู้พิพากษาได้ตั้งแต่อายุน้อยๆ รับรองสะดุ้งโหยงแน่ๆ สะดุ้งโหยงเพราะพอท่านออกจากรั้วมหาวิทยาลัย อายุก 24-25 ท่านก็สอบติดเป็นข้าราชการตุลาการแล้ว และทำหน้าที่ตรงนั้นตลอดมาก่อนจะเลื่อนขึ้นไปตามลำดับชั้น แน่นอนท่านต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญอย่างเอกอุทางด้านกฎหมายอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ประสบการณ์ด้านอื่นๆของท่านๆก็แทบจะเป็น 0 เช่นเดียวกัน ท่านไม่เคยเรียนสาขาวิชาอื่น ท่านไม่เคยทำงานเป็นพนักงาน ท่านไม่เคยค้าขาย ท่านไม่เคยเป็นผู้จัดการ ท่านไม่เคยมีประสบการณ์เป็นผู้บริหารโครงการใดๆ ท่านไม่เคยเป็น CEO บริษัทยักษ์ใหญ่มาก่อน เมื่อต้องมาตัดสินในโครการที่ต้องใช้ VISION อะไรคือสิ่งการันตีว่าท่านๆจะทำได้ดี ในเมื่อวิสัยทัศน์ที่ว่า ประเทศไทยต้องทำถนนลูกรังให้หมดก่อน ถึงจะทำรถไฟฟ้าความเร็วสูง ยังเคยออกจากปากท่านๆมาแล้ว
และ กระบวนการยุติธรรมไทยก็ไม่ใช่ระบบลูกขุนที่ผู้พิพากษามีหน้าที่แค่เป็นผู้ประมวลกฎหมายตามคำตัดสินของคณะลูกคุณ แต่มีอำนาจเต็มในการพิจารณา ไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องน่าหวาดเสียวไปหน่อยหรือครับ เมื่อตุลาการไม่กี่คน มีอำนาจเหนือ ส.ส.ทั้งสภา 500 คน
จะดีจะชั่วจะมั่วยังไง ผมว่า ส.ส.ในสภา 500 คนที่โหวตผ่านร่างกฎหมายกันมา ในนั้นยังประกอบด้วยคนที่เคยเป็น พ่อค้า ข้าราชการ นักธุรกิจ นักกฎหมาย วิศวกร ครู นายแพทย์ ฯลฯ ทั้งจำนวนและองค์ความรู้มันน่าจะมากกว่า ตุลาการแค่ 10 คนแน่นอน
อนาคต ลูกหลานไทย ทิศทางของประเทศ จะดีจะชั่ว จะชัวร์หรือมั่วนิ่ม กลับต้องมาขึ้นกับ คนแก่อายุ 60-70 ไม่กี่คนนี้บอกตรงๆ ว่า ว้าเหว่ครับ
ทำให้สงสัยว่าในแง่การบริหารจัดการนี้ ประเทศเรากำลังทำถูกอยู่ใช่ไหม???
ประเทศไทย บริหารประเทศโดยศาล ศาลจบบริหารมาเหรอ ????
ถ้าไทยจะลงทุนสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูง รถไฟรางคู่ ปรับปรุงระบบคมนาคมโดการกู้เงิน ต้องให้ศาลพิจารณาก่อน
ถ้าไทยจะลงทุนสร้างจรวดไปดาวอังคาร คงต้องให้ ศาลตีความ ว่าจะได้ไปไม่ได้ไป
ถ้าไทยจะลงทุนทำสถาบันวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ทางการแพทย์ วิศวกรรมศาสตร์ โดยใช้ทุนวิจัยจำนวนมาก ต้อให้ศาลพิจารณาก่อน
ถ้าไทยจะลุงทุนสร้างสนามบิน สร้างเชื่อน โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ฯลฯ ต้องให้ศาลท่านพิจารณาก่อน
ทุกๆ BIG PROJECT ที่ผ่านระบอบรัฐสภามาแล้วจะถูก ยื่นให้ศาลตีความแน่นอน และการตัดสินว่าโครงการที่ยังไม่เกิดขึ้นจะดี ไม่ดี คุ้ม ไม่คุ้ม น่าทำ ไม่น่าทำ มันไม่ได้ตัดสินจากข้อเท็จจริงได้ เพราะมันคือการลงทุน คือ ความเสี่ยง คือเหตุการณ์ที่จะเกิดในอนาคตมันต้องตัดสินกันด้วยวิสัยทัศน์ ( VISION ) ศาลไม่ได้มี ไทม์แมชชีนจะไปดูข้อเท็จจริงในอนาคตได้
ถ้าถามว่า ศาล ท่านเรียนจบอะไรมา ???? ทุกคนก็ต้องตอบเป็นเสียงเดียวกัน่า นิติศาสตร์
แต่ถ้าคนไทยรู้ว่า ตุลาการระดับสูงไม่กี่ท่านทีมีหน้าที่ชี้เป็นชี้ตายประเทศ คือนักศึกษา นิติศาสตร์ ที่สอบเป็นผู้พิพากษาได้ตั้งแต่อายุน้อยๆ รับรองสะดุ้งโหยงแน่ๆ สะดุ้งโหยงเพราะพอท่านออกจากรั้วมหาวิทยาลัย อายุก 24-25 ท่านก็สอบติดเป็นข้าราชการตุลาการแล้ว และทำหน้าที่ตรงนั้นตลอดมาก่อนจะเลื่อนขึ้นไปตามลำดับชั้น แน่นอนท่านต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญอย่างเอกอุทางด้านกฎหมายอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ประสบการณ์ด้านอื่นๆของท่านๆก็แทบจะเป็น 0 เช่นเดียวกัน ท่านไม่เคยเรียนสาขาวิชาอื่น ท่านไม่เคยทำงานเป็นพนักงาน ท่านไม่เคยค้าขาย ท่านไม่เคยเป็นผู้จัดการ ท่านไม่เคยมีประสบการณ์เป็นผู้บริหารโครงการใดๆ ท่านไม่เคยเป็น CEO บริษัทยักษ์ใหญ่มาก่อน เมื่อต้องมาตัดสินในโครการที่ต้องใช้ VISION อะไรคือสิ่งการันตีว่าท่านๆจะทำได้ดี ในเมื่อวิสัยทัศน์ที่ว่า ประเทศไทยต้องทำถนนลูกรังให้หมดก่อน ถึงจะทำรถไฟฟ้าความเร็วสูง ยังเคยออกจากปากท่านๆมาแล้ว
และ กระบวนการยุติธรรมไทยก็ไม่ใช่ระบบลูกขุนที่ผู้พิพากษามีหน้าที่แค่เป็นผู้ประมวลกฎหมายตามคำตัดสินของคณะลูกคุณ แต่มีอำนาจเต็มในการพิจารณา ไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องน่าหวาดเสียวไปหน่อยหรือครับ เมื่อตุลาการไม่กี่คน มีอำนาจเหนือ ส.ส.ทั้งสภา 500 คน
จะดีจะชั่วจะมั่วยังไง ผมว่า ส.ส.ในสภา 500 คนที่โหวตผ่านร่างกฎหมายกันมา ในนั้นยังประกอบด้วยคนที่เคยเป็น พ่อค้า ข้าราชการ นักธุรกิจ นักกฎหมาย วิศวกร ครู นายแพทย์ ฯลฯ ทั้งจำนวนและองค์ความรู้มันน่าจะมากกว่า ตุลาการแค่ 10 คนแน่นอน
อนาคต ลูกหลานไทย ทิศทางของประเทศ จะดีจะชั่ว จะชัวร์หรือมั่วนิ่ม กลับต้องมาขึ้นกับ คนแก่อายุ 60-70 ไม่กี่คนนี้บอกตรงๆ ว่า ว้าเหว่ครับ
ทำให้สงสัยว่าในแง่การบริหารจัดการนี้ ประเทศเรากำลังทำถูกอยู่ใช่ไหม???