ผมไม่รู้ว่าควรเขียนมันหรือเปล่าแต่ที่ผมรู้ตอนนี้ใจผมแทบขาดใจ ร้องไห้ยังกะควายคลอดลูก และไม่รู้ว่าทำถูกหรือไม่แต่ที่ผมรู้ถ้าผมได้เขียนมัน มันจะทำให้ผมได้ได้ระบายความรู้สึกทั้งหมดที่ผมมีมันอาจไม่ช่วยให้อะไรให้ดีขึ้นแต่ผมอยากจะทำ
เรื่องราวของผมมันก็ไม่ต่างจากคนอื่นซักเท่าไหร่
เมื่อ 2 ปีเศษที่แล้วผมได้พบกับผู้หญิงคนนึงที่ผมไม่เคยคิดจะรัก เราเจอกันผ่าน facebook เป็นความบังเอินที่นามสกุลของผมไปตรงกับชื่อของเขาอย่างไม่ตั้งใจ ได้พูดคุยกันซักระยะจากนั้นเราก็ห่างหายกันไป ด้วยความที่ผมเป็นคนพูดไม่รู้เรื่องเค้าเลยรำคาญ (แต่ผมก็คิดถึงทุกวันนี้นะว่าผมพูดน่าจะเข้าใจง่าย)
เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก 4 เดือนแล้วที่ผมกับเค้าไม่ได้คุยกัน จู่ๆวันนั้นเป็นวันปกติที่ผมไปทำงานเห็นเค้าออน facebook อยู่ผมก็เลยทักไปว่าทำไมไม่ไปโรงเรียน เค้าบอกว่าท้องอืดอาจไปเที่ยงๆ ผมเลยถือโอกาศคุยต่อเพราะไม่ได้คุยกันนาน เวลาผ่านไปหลายวันจู่ๆเค้าก็ทักทายมาให้ผมช่วย MSN
เค้าแอดเพื่อนไม่ได้ผมก็ได้ทำการช่วยเหลือโดยการพิมผ่านโทรศัพท์พิมจนเมื่อยจากนั้นผมได้ขอเบอร์เค้าเพื่อว่าจะได้ไม่ต้องพิมมากให้มันเมื่อยมือเปล่า
และนี่คือจุดเริ่มต้นชีวิตใหม่ของผมหรือนรกสำหรับเค้า
หลังจากวันนั้นผมได้คุยใกล้ชิดกับเค้ามากขึ้น ผมเริ่มโทรไปหาบ่อยขึ้น จนวันนึงตอนเที่ยงเค้าโทรกลับมาหาผมถามว่า ผมกินข้าวเที่ยงยัง ผมรู้สึกยิ้มๆ แปลกใจที่อยู่ดีๆเค้าโทรมา เวลาล่วงเลยผ่านไปเป็นเดือน เราเริ่มสนิท เริ่มคุยกันก่อนนอน ทุกๆคืนผมจะคุยจนเธอหลับ ผมก็ไม่รู้มีเรื่องอะไรให้คุยนักหนาแต่เราก็คุยกันได้และเข้ากันได้ทุกเรื่อง จากความไม่คิดอะไรผมเริ่มมีใจเอนเอียง รู้สึกมีความสุขเล็กในแบบของผมที่ได้คุยกันแบบนี้โลกของผมมันเนิ่มต้นขึ้นแล้วเหมือนวันฟ้าใส และคงเป็นจุดเริ่มต้นนรกสำหรับเค้า
จนมาถึงวันนั้นวันที่เราได้เจอกันจากโลกออนไลน์ มาย่างก้าวสู่โลกของความเป็นจริง เรานัดดูหนังกัน ในวันพฤหัส ผมรู้สึกตื่นเต้นดีใจอย่างบอกไม่ถูกเตรียมตัวเตรียมใจไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีเวลาอยู่ต่อหน้าเธอ (ไอ้ผมก็เก่งแค่ตอนผ่านสายซะด้วย) แต่เวรเจ้ากำเหมือนจะมาแกล้งผม ตอนนั้นวันพุธก่อนที่จะถึงวันพฤหัส เธอโทรหาผมตอน 1 ทุ่มกว่าๆ เธอตกรถที่จะกลับบ้าน (รถตู้หมด) ถ้าจะกลับไปหอจากอนุเสาวรีย์ก็ไกลตั้ง 30 กิโล จะกลับแทร็คซี่ก็อันตรายเพราะเธอพกเงินมาเยอะ งั้นก็มาพักที่ห้องผมก็ได้ผมสัญญาว่าจะไม่แตะเนื้อต้องตัวเธอ ตอนนั้นสาบานให้ตายเถอะผมไม่คิดแม้แต่จะล่วงเกินเธอแม้แต่น้อย เมื่อเธอมาถึงที่ห้องผมก็ชวนเธอไปกินข้าว ระหว่างนั้นมีสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นผมกับเธอจับมือไปตลอดทาง ในความรู้สึกอุ้งมือที่แสนอบอุ่น ณ ตอนนั้นเหมือนโลกหยุดไปชั่วขณะ อย่างที่เค้าว่ายิ่งสุขเท่าไหร่ก็ยิ่งทุกข์เท่านั้น หลังจากคืนนั้นผมไม่สามารถทำตามสัญญาที่ให้กับเธอได้ ถ้าหากผมรักษาสัญญาได้ในวันนั้นวันนี้ผมก็คงไม่ต้องมาเป็นแบบนี้ หลังจากนั้นเธอมาพักอยู่กับผม ทุกเช้าที่ผมไปทำงานเธอจะคอยติดกระดุม ผู้เชือกรองเท้า ใส่ถุงเท้าให้ผม ผมกลับถึงบ้าน เธอจะคอยเตรียมเสื้อผ้ามาให้เปลี่ยน เหมือนโลกนี่มันน่าอยู่ขึ้นทุกวันผมแทบจะอยากจะหยุดความทรงจำไว้แค่ตรงนี้ เมื่อเวลาเป็นเครื่องมือฆ่าผมชั้นดี เวลาก็เป็นตัวดำเนินเรื่องของผมไปอย่างราบรื่น จนผมบอกกับตัวเองได้ว่า "ผมรักเธอเข้าแล้ว" และคงไม่ต้องถามเธอก็รักผมเช่นกัน
เหมือนว่ารักครั้งนี้น่าจะจบเหมือนหนังในละคร แต่มันแค่เริ่มต้น นรกข้างหน้าที่เธอคิดไว้มันยังไม่ถึงทุกอย่างผมจะจำทุกเรื่องราวทุกรอยยิ้มของเธอได้ดีติดตาไม่เคยลืม
หลังจากนั้นเวลาผ่านไป 3 เดือน จากที่เธอตัดสินใจย้ายมาอยู่กับผม (เธอย้ายมาอยู่ก็ยังคงเรียนเป็นปกตินะครับ) อย่างที่เขาว่าเสือมันยังเป็นเสืออยู่วันยังคํ่า ผมได้ทำให้เธอเสียใจเป็นอย่างมากโดยที่ผมไม่รู้ตัวโดยการคุยกับผู้หญิงคนอื่น ในใจผมรู้ดีว่าไม่คิดเป็นอื่นแค่คุยด้วยแค่นั้นเองทำใหเราทะเลาะกันแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน โลกที่หวานชื่นกลับชืดขึ้นมาทันที ถ้าเปรียบความรักในตอนนั้นเวลานั้นมันเหมือนกับชานอ้อยดีๆนี่เอง ผมไม่รู้ว่าผีห่าซานตานตนไหนเข้าสิงผม หลังจากนั้นนรกของเธอก็ได้เริ่มขึ้น ทุกครั้งเวลาเธอทำผิดหรือทำในสิ่งที่ผมไม่พอใจผมจะต่อว่าเธอตลอด จนเธอกลัว บางครั้งเธอก็ไปแอบตามมุมเตียง ตามมุมห้อง กลัวผมมากแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ผมได้แต่พยายามอุ้มเธอเข้ามาอยู่ในวงแขนโอ๋เธอ ลูบหัวเธอ จากนั้นเธอก็มองหน้าผมแล้วผมก็พูดว่าสัญญานะว่าจะไม่ทำแบบนี้อีก เวลาค่อยๆฆ่าผมช้าๆโดยที่ผมไม่รู้ตัวเลย
ล่วงเลยไปเดือนที่ 4 หลังจากที่เธอย้ายมาอยู่กับผม ช่วงนั้นผมประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนัก เธอสงสารผมเธอบอกรอซักครู่นะหาเดียวยืมเงินให้ ซักพักเธอคว้าโทรศัพท์โทรคุยกับใครผมไม่รู้ต่อหน้าผม เมื่อเธอคุยจบผมถามทันทียืมเงินใคร เธอตอบแบบมีเลสนัยยืมเงินพี่ชาย ผมจำได้ว่าเธอเคยบอกว่าเธอเป็นลูกคนเดียว ผมสวนบอกไปทันทีไหนเคยบอกว่าเป็นลูกคนเดียว เธอนั่งลงแล้วตอบผมแบบกลัวๆแล้วพร้อมปริปากบอกว่า ไม่ใช่พี่ชายแต่เป็นแฟนเก่า ผมได้ยินแค่นั้นซาตานก็สิงร่างผมไม่รู้ตัว ผมต่อว่าเธออย่างหนักแสนหนัก เธอทำอะไรไม่ได้ได้แต่ร้องไห้ได้แต่ขอโทษและบอกว่า หนูไม่รู้ว่าจะช่วยยังไงแค่อยากจะช่วยหนูไม่มีทางออก ความหวานชื่นในวันตั้งแต่ตอนแรกเจอมันเริ่มกลายเป็นนรกขุมใหม่ (ขณะนั้นเวลาประมาณ 19 - 21 น.) ผมรอให้รุ่งเช้า ตัดสินใจจะเดินจากไป สิ่งที่ผมไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เธอวิ่งเอาตัวขวางประตูผมไม่รู้จะทำยังไงดีก็ได้แต่ดึงเธอออกมาจากประตู คิดอย่างเดียวทำยังไงก็ได้ให้ได้ออกไป เธอได้แต่ร้องไห้และขวางประตูไว้อย่างเหนียวแน่น พร้อมคำอ้อนวอนไม่ให้ผมไป เรากระชากกันอยู่พักใหญ่ จากนั้นผมดึงเธออกจากประตูได้ เธอได้ล้มลงและกอดเท้าผมไว้ ผมหันมามองด้วยความแปลกใจเท่าที่เกิดมาชาตินี้ไม่เคยมีใครทำแบบนี้มาก่อน แต่สมองของผมได้สั่งการให้รีบออกจากประตูอย่างไว ผมสะบัดมือที่เธอกอดเท้าผมไว้แล้วผมหยุดหันมามอง เธอก้มกราบและขอร้องอย่าให้ผมไป ผมจำภาพวันนี้ได้ไม่เคยลืม สมองผมที่บ้าคลั่งหยุดชะงัก แล้วผมก็รีบวิ่งมาโอบตัวเธอ แล้วให้สัญญาว่าจะไม่ไปไหน เวลาฆ่าเราทั้งสองแบบเยือกเย็น นรกของเธอที่มันเกิดขึ้นเป็นแค่นํ้าย่อยมันซึบซับจากการกระทำของผม เหมือนภูเขาไฟที่รอวันปะทุ
ย่างเข้าเดือนที่ 5 หลังจากวันนั้น เวลาของผมใกล้หมดเต็มทีเหลือเวลาอีกแค่ 2 เดือน เธอจำเป็นที่จะต้องไปเรียนต่อต่างประเทศ แต่สันดารของผมมันก็ยังไม่ส่างซา ผมเป็นคน ขี้หึง ขี้โมโห เอาความคิดตัวเองถูกเสมอ ใจร้อนมักตัดสินใจอะไรแบบคิดไม่ถี่ถ้วนเท่าที่ควร แต่เดือนนี้มันไม่ได้แย่เหมือนเดือนก่อนๆเป็นเดือนแห่งการวัดใจทำให้ผมรู้ว่าเธอไม่ได้อยู่กับผมเพราะเงิน จากที่ติดขัดเรื่องเงินตั้งแต่เดือนที่ 4 เริ่มฝืดหนัก จากปกติผมจะพาเธอไปกินข้าวร้านตามสั่งทุกวันผมกลับต้อง มาทำกับข้าวให้เธอกิน เมนูแรกที่ผมทำให้เธอทาน ต้มจืดผักกาดขาวไข่เจียว ผมจำสีหน้าเธอได้ดีเธอยิ้มหน้าใสแบบไม่ทุกข์ ไม่ร้อนว่าผมตกอยู่ในสถานะที่ไม่สามารถเลี้ยงเธอได้ในอนาคตอันใกล้นี้ ผมลืมบอกอะไรไปอย่างนึง เธอไม่เคยกินอะไรก่อนผมถ้าผมไม่กิน นํ้าก็ต้องให้ผมกินก่อนทุกครั้ง ข้าวถ้าผมยังไม่กินเธอจะรอหรือจนกว่าผมบอกว่าให้เธอกินก่อนเลยไม่ต้องรอ (ในกรณีผมไปทำงาน แต่ทุกครั้งเธอจะกินแค่ครึ่งเดียวและรอกินพร้อมผมอีกครั้ง) หากวันไหนเธอกลับไปนอนหอ เจอกันวันไหนเธอจะไหว้ผมทุกครั้ง ผมไม่ได้บังคับเธอในเรื่องพวกนี้เธอทำเอง ผมเคยถามเหมือนกันว่าทำไม ? เธอตอบว่าเธอเคารพผมเพราะผมอายุมากกว่า หลังจากนั้นเงินผมเริ่มฝืดกว่าเดิม ผมมีแค่ไข่ต้มกับข้าวให้เธอกิน เธอยิ้มตาเฉยแล้วหัวเราะ ว่าอร่อยดี ปกติบ้านเธอค่อนข้างมีฐานะไม่เคยมาลำบากแบบนี้มาก่อน เรากินไข่คลุกข้าวแล้วผลัดกันป้อน เธอหนึ่งฟอง ผมหนึ่งฟอง แล้วก็นอนกันอย่างมีความสุข ทุกๆคืนเธอจะนอนซบอกผมแล้วผมจะพูดจนเธอหลับเหมือนตอนที่ผมคุยโทรศัพท์กับเธอตอนที่ยังไม่คบกัน ชีวิตเหมือนดังละครหลังข่าว เหมือนทุกอย่างมันจะดีเข้าที่เข้าทางแค่มันยังไม่ถึงเวลาของมัน เวลาที่รอเชือดผมไปอย่างไม่รอช้า
ย่างเข้าเดือนที่ 6 เดือนสุดท้ายก่อนเธอไปเรียนต่อต่างประเทศ เวลาของผมใกล้หมดเพราะเดือนนี้ผมได้อยู่กับเธอแค่เพียง 10 วัน มันสั้นกว่าเดือนไหนๆ ผมทำทุกอย่างที่ผมจะทำได้เธอมีปัญหาหลายๆต้องไปตรวจสุขภาพ ไปขอวีซ่า ผมอาสาพาเธอไปแบบตัวแนบชิดไม่เคยห่าง มือผมไม่เคยหลุดออกจากอุ้มมือของเธอ ทุกนาทีมันมีค่าจนผมไม่อยากให้มันผ่านไป เดือนนี้เราไม่มีเรื่องทะเลาะกันมีกันแต่เรื่องโอดครวญ คำมั่นสัญญา เกี่ยวก้อย สาบาน ว่าจะรักและซื้อสัตย์ กันตลอดไป และแล้วก็มาถึงคืนสุดท้ายหัวใจผมแทบสลายคืนนั้นผมต้องไปส่งเธอทีหอ ผมบรรจงช่วยเธอเก็บของที่ละชิ้นใส่กระเป๋า เวลา 6 เดือนของผมที่ผมใช้ไปอย่างฟุ่มเฟือยกับเธอไม่ใส่ใจไม่ดูแลเท่าที่ควร เค้าถึงได้พูดกันว่าคนเรามักเห็นค่าตอนที่จากลา เมื่อจัดกระเป่าใบใหญ่เสร็จผมลากไปส่งเธอที่หอคืนนั้นประมาณ 5 ทุ่ม ถึงหอเธอก็ประมาณ เที่ยงคืนเธอเอากระเป๋าไปเก็บแล้วออกมานั่งกับผมถึงตี 5 เพราะอีกเดี๋ยวพ่อแม่เธอก็จะมารับ เมื่อถึงเวลาการจากลาก็ต้องจาก ผมลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ถนนใหญ่ เธอลุกขึ้นตามมาพร้อมนํ้าตาตลอดทางที่เดินตามผม ผมจำสายตาวันนั้นได้ดีสายตาที่ไม่อยากจากกัน เมื่อผมเดินมาถึงถนนใหญ่ผมหันไปเห็นเธอยังคงเดินตามมา ผมวิ่งเข้าไปกอดเธออีกครั้ง พร้อมกระซิบข้างหู ผมจะรอเธอได้แต่ร้องไห้ เรื่องนี้มันน่าจะจบได้สวยแต่มันไม่ได้เป็นแบบนั้น นรกของเธอพึ่งแค่เปิดออก และโลกใบใหม่ของผมมันแค่เริ่มจะหมดไป
ผมมานั่งใคร่คิด การที่ชื่อของเธอมาตรงกับนาสกุลของผมตั้งแต่แรกเริ่มมันไม่ใช่เหตุบังเอิญธรรมดาซะแล้ว เวลาผมอยากทำอะไรหรืออยากกินอะไรเราจะใจตรงกันเสมอ เวลาผมจะโทรหาเธอหรือเธอจะโทรหาผมเราก็กำลังจะโทรหากันพอดี เหมือนว่ามันจะไปได้สวยผมคิดไปไกลถึงขนาดอาจเป็นเนื้อคู่กันก็ได้ แต่ผมก็ได้แค่คิดว่ามันจะเป็นอย่างนั้น ผมลิมบอกไปว่าช่วงเวลาเดือนที่ 5-6 ผมจะพาเธอเดินไปที่ป้ายรถเมย์ข้างบ้านเสมอ เรามักจะเดินกันไปตอนเที่ยงคืน มันจะมีพระจันทร์ ดวงใหญ่ลอดระหว่างตึกสวยมาก ผมพาเธอไปนั่งกอดกันและขอพร พูดคุยเรื่องของเราอยู่บ่อยๆ
ชีวิตเหมือนมันจะโรแมนติก แต่ความโหดร้ายของเวลามันก็ยังรอผมอยู่
เมื่อผมกระซิบข้างหูเธอและมั่นสัญญาว่าจะรอ ผมก็ไล่เธอให้ไปกลับขึ้นไปบนหอ ผมยืนดูจนกว่าเธอจะเดินลับขึ้นหอไป นํ้าตาผู้ชายไหลพราก ผมเรียกเเทร็คซี่ขึ้นรถกลับบ้านไป ถึงบ้านผมลุกเดินไม่หวได้แต่คลานเข้าไปในห้อง วิ่งเข้าไปในห้องนํ้าปิดประตูแล้วปล่อยโฮออกมาก ผมนอนร้องไห้อยู่นานราวสองสามชั่วโมง ผมรู้สึกได้ถึงใจของผมจะขาดไปใน ณ เวลานั้น เมื่อผมร้องจนหมดแรงแล้วหลับไป ผมตื่นขึ้นมา อีกที 8 โมงเช้าผมรีบวิ่งออกจากห้องเพื่อดูว่าจะมีเครื่องบินที่เธอนั่งบินผ่านบ้างไหม ผมได้แต่นั่งมองท้องฟ้าที่ว่างเปล่า ผมฉุกคิดขึ้นมาได้ผมควรจะโทรหาเธอ แต่ถ้าเธออยู่บนเครื่องแล้วเธอคงต้องปิดเครื่องผมเลยลังเลอยู่พักใหญ่ได้ตัดสินในโทร เสียงดัง ตื๊ด ตื๊ด ต๊ด ผมดีใจมากจนแทบอยากกระโดดอยากบรรยายความรู้สึกว่าผมคิดถึงเธอมากมายขนาดไหน แต่ผมถึงกับต้องหยุดชะงักทันที่เมื่อพ่อของเธอรับสาย ผมได้แต่บอกท่านไปว่า เธอไปหรือยังพอดีผมเป็นเพื่อนที่คณะของเธอ ความว่างเปล่าเริ่มมาเยือนผม เมื่อหมดหวังผมทำได้แค่เดินคอตกไปทำงานต่อไป เมื่อถึงออฟฟิต ผมค่อยๆนั่งลงบนเข้าอี้ช้าๆ แล้วผมก็เอาหน้าแนบชิดกับโต๊ะปล่อยโฮร้องไห้อีกครั้งใหญ่ ผมกลั้นนํ้าตาและความรู้สึกเสียใจอยากเจอเธอไม่อยากให้เธอจากไป จนคนในออฟฟิตคิดว่าผมโดน MD ที่บริษัทด่า ผมก็ปล่อยให้คนที่บริษัทคิดแบบนั้นต่อไปไม่อยากให้ใครรู้ว่า อดีตเพลย์บอยอย่างผมจะต้องมาสิ้นลาย วันเวลาวันนั้นมันช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้ากว่าจะถึงเวลากลับบ้าน และแล้วเวลาที่ผมรอมาถึงคือเวลาเลิกงาน ผมเดินกลับบ้านไม่ได้นั่งรถเหมือนวันอื่นๆ เดินร้องไห้ไปตลอดทาง ไม่สนว่าใครจะมอง ผมมาถึงห้องก็เหมือนเดิมวิ่งเข้าห้องนํ้าแล้วร้องไห้จนหมดแรงหลับไปอีกครั้ง ซักพักมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น โชว์เบอร์ว่าหมายเลขส่วนตัว ผมรีบวิ่งไปคว้าเสีงที่ผมได้ยินเสียงแรก หนูถึงแล้วนะ ผมกระโดดเท่าที่มันจะสูงได้ด้วยความดีใจ
รักในวัยเรียนเหมือนจุดเทียนกลางสายฝน
เรื่องราวของผมมันก็ไม่ต่างจากคนอื่นซักเท่าไหร่
เมื่อ 2 ปีเศษที่แล้วผมได้พบกับผู้หญิงคนนึงที่ผมไม่เคยคิดจะรัก เราเจอกันผ่าน facebook เป็นความบังเอินที่นามสกุลของผมไปตรงกับชื่อของเขาอย่างไม่ตั้งใจ ได้พูดคุยกันซักระยะจากนั้นเราก็ห่างหายกันไป ด้วยความที่ผมเป็นคนพูดไม่รู้เรื่องเค้าเลยรำคาญ (แต่ผมก็คิดถึงทุกวันนี้นะว่าผมพูดน่าจะเข้าใจง่าย)
เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก 4 เดือนแล้วที่ผมกับเค้าไม่ได้คุยกัน จู่ๆวันนั้นเป็นวันปกติที่ผมไปทำงานเห็นเค้าออน facebook อยู่ผมก็เลยทักไปว่าทำไมไม่ไปโรงเรียน เค้าบอกว่าท้องอืดอาจไปเที่ยงๆ ผมเลยถือโอกาศคุยต่อเพราะไม่ได้คุยกันนาน เวลาผ่านไปหลายวันจู่ๆเค้าก็ทักทายมาให้ผมช่วย MSN
เค้าแอดเพื่อนไม่ได้ผมก็ได้ทำการช่วยเหลือโดยการพิมผ่านโทรศัพท์พิมจนเมื่อยจากนั้นผมได้ขอเบอร์เค้าเพื่อว่าจะได้ไม่ต้องพิมมากให้มันเมื่อยมือเปล่า
และนี่คือจุดเริ่มต้นชีวิตใหม่ของผมหรือนรกสำหรับเค้า
หลังจากวันนั้นผมได้คุยใกล้ชิดกับเค้ามากขึ้น ผมเริ่มโทรไปหาบ่อยขึ้น จนวันนึงตอนเที่ยงเค้าโทรกลับมาหาผมถามว่า ผมกินข้าวเที่ยงยัง ผมรู้สึกยิ้มๆ แปลกใจที่อยู่ดีๆเค้าโทรมา เวลาล่วงเลยผ่านไปเป็นเดือน เราเริ่มสนิท เริ่มคุยกันก่อนนอน ทุกๆคืนผมจะคุยจนเธอหลับ ผมก็ไม่รู้มีเรื่องอะไรให้คุยนักหนาแต่เราก็คุยกันได้และเข้ากันได้ทุกเรื่อง จากความไม่คิดอะไรผมเริ่มมีใจเอนเอียง รู้สึกมีความสุขเล็กในแบบของผมที่ได้คุยกันแบบนี้โลกของผมมันเนิ่มต้นขึ้นแล้วเหมือนวันฟ้าใส และคงเป็นจุดเริ่มต้นนรกสำหรับเค้า
จนมาถึงวันนั้นวันที่เราได้เจอกันจากโลกออนไลน์ มาย่างก้าวสู่โลกของความเป็นจริง เรานัดดูหนังกัน ในวันพฤหัส ผมรู้สึกตื่นเต้นดีใจอย่างบอกไม่ถูกเตรียมตัวเตรียมใจไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีเวลาอยู่ต่อหน้าเธอ (ไอ้ผมก็เก่งแค่ตอนผ่านสายซะด้วย) แต่เวรเจ้ากำเหมือนจะมาแกล้งผม ตอนนั้นวันพุธก่อนที่จะถึงวันพฤหัส เธอโทรหาผมตอน 1 ทุ่มกว่าๆ เธอตกรถที่จะกลับบ้าน (รถตู้หมด) ถ้าจะกลับไปหอจากอนุเสาวรีย์ก็ไกลตั้ง 30 กิโล จะกลับแทร็คซี่ก็อันตรายเพราะเธอพกเงินมาเยอะ งั้นก็มาพักที่ห้องผมก็ได้ผมสัญญาว่าจะไม่แตะเนื้อต้องตัวเธอ ตอนนั้นสาบานให้ตายเถอะผมไม่คิดแม้แต่จะล่วงเกินเธอแม้แต่น้อย เมื่อเธอมาถึงที่ห้องผมก็ชวนเธอไปกินข้าว ระหว่างนั้นมีสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นผมกับเธอจับมือไปตลอดทาง ในความรู้สึกอุ้งมือที่แสนอบอุ่น ณ ตอนนั้นเหมือนโลกหยุดไปชั่วขณะ อย่างที่เค้าว่ายิ่งสุขเท่าไหร่ก็ยิ่งทุกข์เท่านั้น หลังจากคืนนั้นผมไม่สามารถทำตามสัญญาที่ให้กับเธอได้ ถ้าหากผมรักษาสัญญาได้ในวันนั้นวันนี้ผมก็คงไม่ต้องมาเป็นแบบนี้ หลังจากนั้นเธอมาพักอยู่กับผม ทุกเช้าที่ผมไปทำงานเธอจะคอยติดกระดุม ผู้เชือกรองเท้า ใส่ถุงเท้าให้ผม ผมกลับถึงบ้าน เธอจะคอยเตรียมเสื้อผ้ามาให้เปลี่ยน เหมือนโลกนี่มันน่าอยู่ขึ้นทุกวันผมแทบจะอยากจะหยุดความทรงจำไว้แค่ตรงนี้ เมื่อเวลาเป็นเครื่องมือฆ่าผมชั้นดี เวลาก็เป็นตัวดำเนินเรื่องของผมไปอย่างราบรื่น จนผมบอกกับตัวเองได้ว่า "ผมรักเธอเข้าแล้ว" และคงไม่ต้องถามเธอก็รักผมเช่นกัน
เหมือนว่ารักครั้งนี้น่าจะจบเหมือนหนังในละคร แต่มันแค่เริ่มต้น นรกข้างหน้าที่เธอคิดไว้มันยังไม่ถึงทุกอย่างผมจะจำทุกเรื่องราวทุกรอยยิ้มของเธอได้ดีติดตาไม่เคยลืม
หลังจากนั้นเวลาผ่านไป 3 เดือน จากที่เธอตัดสินใจย้ายมาอยู่กับผม (เธอย้ายมาอยู่ก็ยังคงเรียนเป็นปกตินะครับ) อย่างที่เขาว่าเสือมันยังเป็นเสืออยู่วันยังคํ่า ผมได้ทำให้เธอเสียใจเป็นอย่างมากโดยที่ผมไม่รู้ตัวโดยการคุยกับผู้หญิงคนอื่น ในใจผมรู้ดีว่าไม่คิดเป็นอื่นแค่คุยด้วยแค่นั้นเองทำใหเราทะเลาะกันแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน โลกที่หวานชื่นกลับชืดขึ้นมาทันที ถ้าเปรียบความรักในตอนนั้นเวลานั้นมันเหมือนกับชานอ้อยดีๆนี่เอง ผมไม่รู้ว่าผีห่าซานตานตนไหนเข้าสิงผม หลังจากนั้นนรกของเธอก็ได้เริ่มขึ้น ทุกครั้งเวลาเธอทำผิดหรือทำในสิ่งที่ผมไม่พอใจผมจะต่อว่าเธอตลอด จนเธอกลัว บางครั้งเธอก็ไปแอบตามมุมเตียง ตามมุมห้อง กลัวผมมากแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ผมได้แต่พยายามอุ้มเธอเข้ามาอยู่ในวงแขนโอ๋เธอ ลูบหัวเธอ จากนั้นเธอก็มองหน้าผมแล้วผมก็พูดว่าสัญญานะว่าจะไม่ทำแบบนี้อีก เวลาค่อยๆฆ่าผมช้าๆโดยที่ผมไม่รู้ตัวเลย
ล่วงเลยไปเดือนที่ 4 หลังจากที่เธอย้ายมาอยู่กับผม ช่วงนั้นผมประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนัก เธอสงสารผมเธอบอกรอซักครู่นะหาเดียวยืมเงินให้ ซักพักเธอคว้าโทรศัพท์โทรคุยกับใครผมไม่รู้ต่อหน้าผม เมื่อเธอคุยจบผมถามทันทียืมเงินใคร เธอตอบแบบมีเลสนัยยืมเงินพี่ชาย ผมจำได้ว่าเธอเคยบอกว่าเธอเป็นลูกคนเดียว ผมสวนบอกไปทันทีไหนเคยบอกว่าเป็นลูกคนเดียว เธอนั่งลงแล้วตอบผมแบบกลัวๆแล้วพร้อมปริปากบอกว่า ไม่ใช่พี่ชายแต่เป็นแฟนเก่า ผมได้ยินแค่นั้นซาตานก็สิงร่างผมไม่รู้ตัว ผมต่อว่าเธออย่างหนักแสนหนัก เธอทำอะไรไม่ได้ได้แต่ร้องไห้ได้แต่ขอโทษและบอกว่า หนูไม่รู้ว่าจะช่วยยังไงแค่อยากจะช่วยหนูไม่มีทางออก ความหวานชื่นในวันตั้งแต่ตอนแรกเจอมันเริ่มกลายเป็นนรกขุมใหม่ (ขณะนั้นเวลาประมาณ 19 - 21 น.) ผมรอให้รุ่งเช้า ตัดสินใจจะเดินจากไป สิ่งที่ผมไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เธอวิ่งเอาตัวขวางประตูผมไม่รู้จะทำยังไงดีก็ได้แต่ดึงเธอออกมาจากประตู คิดอย่างเดียวทำยังไงก็ได้ให้ได้ออกไป เธอได้แต่ร้องไห้และขวางประตูไว้อย่างเหนียวแน่น พร้อมคำอ้อนวอนไม่ให้ผมไป เรากระชากกันอยู่พักใหญ่ จากนั้นผมดึงเธออกจากประตูได้ เธอได้ล้มลงและกอดเท้าผมไว้ ผมหันมามองด้วยความแปลกใจเท่าที่เกิดมาชาตินี้ไม่เคยมีใครทำแบบนี้มาก่อน แต่สมองของผมได้สั่งการให้รีบออกจากประตูอย่างไว ผมสะบัดมือที่เธอกอดเท้าผมไว้แล้วผมหยุดหันมามอง เธอก้มกราบและขอร้องอย่าให้ผมไป ผมจำภาพวันนี้ได้ไม่เคยลืม สมองผมที่บ้าคลั่งหยุดชะงัก แล้วผมก็รีบวิ่งมาโอบตัวเธอ แล้วให้สัญญาว่าจะไม่ไปไหน เวลาฆ่าเราทั้งสองแบบเยือกเย็น นรกของเธอที่มันเกิดขึ้นเป็นแค่นํ้าย่อยมันซึบซับจากการกระทำของผม เหมือนภูเขาไฟที่รอวันปะทุ
ย่างเข้าเดือนที่ 5 หลังจากวันนั้น เวลาของผมใกล้หมดเต็มทีเหลือเวลาอีกแค่ 2 เดือน เธอจำเป็นที่จะต้องไปเรียนต่อต่างประเทศ แต่สันดารของผมมันก็ยังไม่ส่างซา ผมเป็นคน ขี้หึง ขี้โมโห เอาความคิดตัวเองถูกเสมอ ใจร้อนมักตัดสินใจอะไรแบบคิดไม่ถี่ถ้วนเท่าที่ควร แต่เดือนนี้มันไม่ได้แย่เหมือนเดือนก่อนๆเป็นเดือนแห่งการวัดใจทำให้ผมรู้ว่าเธอไม่ได้อยู่กับผมเพราะเงิน จากที่ติดขัดเรื่องเงินตั้งแต่เดือนที่ 4 เริ่มฝืดหนัก จากปกติผมจะพาเธอไปกินข้าวร้านตามสั่งทุกวันผมกลับต้อง มาทำกับข้าวให้เธอกิน เมนูแรกที่ผมทำให้เธอทาน ต้มจืดผักกาดขาวไข่เจียว ผมจำสีหน้าเธอได้ดีเธอยิ้มหน้าใสแบบไม่ทุกข์ ไม่ร้อนว่าผมตกอยู่ในสถานะที่ไม่สามารถเลี้ยงเธอได้ในอนาคตอันใกล้นี้ ผมลืมบอกอะไรไปอย่างนึง เธอไม่เคยกินอะไรก่อนผมถ้าผมไม่กิน นํ้าก็ต้องให้ผมกินก่อนทุกครั้ง ข้าวถ้าผมยังไม่กินเธอจะรอหรือจนกว่าผมบอกว่าให้เธอกินก่อนเลยไม่ต้องรอ (ในกรณีผมไปทำงาน แต่ทุกครั้งเธอจะกินแค่ครึ่งเดียวและรอกินพร้อมผมอีกครั้ง) หากวันไหนเธอกลับไปนอนหอ เจอกันวันไหนเธอจะไหว้ผมทุกครั้ง ผมไม่ได้บังคับเธอในเรื่องพวกนี้เธอทำเอง ผมเคยถามเหมือนกันว่าทำไม ? เธอตอบว่าเธอเคารพผมเพราะผมอายุมากกว่า หลังจากนั้นเงินผมเริ่มฝืดกว่าเดิม ผมมีแค่ไข่ต้มกับข้าวให้เธอกิน เธอยิ้มตาเฉยแล้วหัวเราะ ว่าอร่อยดี ปกติบ้านเธอค่อนข้างมีฐานะไม่เคยมาลำบากแบบนี้มาก่อน เรากินไข่คลุกข้าวแล้วผลัดกันป้อน เธอหนึ่งฟอง ผมหนึ่งฟอง แล้วก็นอนกันอย่างมีความสุข ทุกๆคืนเธอจะนอนซบอกผมแล้วผมจะพูดจนเธอหลับเหมือนตอนที่ผมคุยโทรศัพท์กับเธอตอนที่ยังไม่คบกัน ชีวิตเหมือนดังละครหลังข่าว เหมือนทุกอย่างมันจะดีเข้าที่เข้าทางแค่มันยังไม่ถึงเวลาของมัน เวลาที่รอเชือดผมไปอย่างไม่รอช้า
ย่างเข้าเดือนที่ 6 เดือนสุดท้ายก่อนเธอไปเรียนต่อต่างประเทศ เวลาของผมใกล้หมดเพราะเดือนนี้ผมได้อยู่กับเธอแค่เพียง 10 วัน มันสั้นกว่าเดือนไหนๆ ผมทำทุกอย่างที่ผมจะทำได้เธอมีปัญหาหลายๆต้องไปตรวจสุขภาพ ไปขอวีซ่า ผมอาสาพาเธอไปแบบตัวแนบชิดไม่เคยห่าง มือผมไม่เคยหลุดออกจากอุ้มมือของเธอ ทุกนาทีมันมีค่าจนผมไม่อยากให้มันผ่านไป เดือนนี้เราไม่มีเรื่องทะเลาะกันมีกันแต่เรื่องโอดครวญ คำมั่นสัญญา เกี่ยวก้อย สาบาน ว่าจะรักและซื้อสัตย์ กันตลอดไป และแล้วก็มาถึงคืนสุดท้ายหัวใจผมแทบสลายคืนนั้นผมต้องไปส่งเธอทีหอ ผมบรรจงช่วยเธอเก็บของที่ละชิ้นใส่กระเป๋า เวลา 6 เดือนของผมที่ผมใช้ไปอย่างฟุ่มเฟือยกับเธอไม่ใส่ใจไม่ดูแลเท่าที่ควร เค้าถึงได้พูดกันว่าคนเรามักเห็นค่าตอนที่จากลา เมื่อจัดกระเป่าใบใหญ่เสร็จผมลากไปส่งเธอที่หอคืนนั้นประมาณ 5 ทุ่ม ถึงหอเธอก็ประมาณ เที่ยงคืนเธอเอากระเป๋าไปเก็บแล้วออกมานั่งกับผมถึงตี 5 เพราะอีกเดี๋ยวพ่อแม่เธอก็จะมารับ เมื่อถึงเวลาการจากลาก็ต้องจาก ผมลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ถนนใหญ่ เธอลุกขึ้นตามมาพร้อมนํ้าตาตลอดทางที่เดินตามผม ผมจำสายตาวันนั้นได้ดีสายตาที่ไม่อยากจากกัน เมื่อผมเดินมาถึงถนนใหญ่ผมหันไปเห็นเธอยังคงเดินตามมา ผมวิ่งเข้าไปกอดเธออีกครั้ง พร้อมกระซิบข้างหู ผมจะรอเธอได้แต่ร้องไห้ เรื่องนี้มันน่าจะจบได้สวยแต่มันไม่ได้เป็นแบบนั้น นรกของเธอพึ่งแค่เปิดออก และโลกใบใหม่ของผมมันแค่เริ่มจะหมดไป
ผมมานั่งใคร่คิด การที่ชื่อของเธอมาตรงกับนาสกุลของผมตั้งแต่แรกเริ่มมันไม่ใช่เหตุบังเอิญธรรมดาซะแล้ว เวลาผมอยากทำอะไรหรืออยากกินอะไรเราจะใจตรงกันเสมอ เวลาผมจะโทรหาเธอหรือเธอจะโทรหาผมเราก็กำลังจะโทรหากันพอดี เหมือนว่ามันจะไปได้สวยผมคิดไปไกลถึงขนาดอาจเป็นเนื้อคู่กันก็ได้ แต่ผมก็ได้แค่คิดว่ามันจะเป็นอย่างนั้น ผมลิมบอกไปว่าช่วงเวลาเดือนที่ 5-6 ผมจะพาเธอเดินไปที่ป้ายรถเมย์ข้างบ้านเสมอ เรามักจะเดินกันไปตอนเที่ยงคืน มันจะมีพระจันทร์ ดวงใหญ่ลอดระหว่างตึกสวยมาก ผมพาเธอไปนั่งกอดกันและขอพร พูดคุยเรื่องของเราอยู่บ่อยๆ
ชีวิตเหมือนมันจะโรแมนติก แต่ความโหดร้ายของเวลามันก็ยังรอผมอยู่
เมื่อผมกระซิบข้างหูเธอและมั่นสัญญาว่าจะรอ ผมก็ไล่เธอให้ไปกลับขึ้นไปบนหอ ผมยืนดูจนกว่าเธอจะเดินลับขึ้นหอไป นํ้าตาผู้ชายไหลพราก ผมเรียกเเทร็คซี่ขึ้นรถกลับบ้านไป ถึงบ้านผมลุกเดินไม่หวได้แต่คลานเข้าไปในห้อง วิ่งเข้าไปในห้องนํ้าปิดประตูแล้วปล่อยโฮออกมาก ผมนอนร้องไห้อยู่นานราวสองสามชั่วโมง ผมรู้สึกได้ถึงใจของผมจะขาดไปใน ณ เวลานั้น เมื่อผมร้องจนหมดแรงแล้วหลับไป ผมตื่นขึ้นมา อีกที 8 โมงเช้าผมรีบวิ่งออกจากห้องเพื่อดูว่าจะมีเครื่องบินที่เธอนั่งบินผ่านบ้างไหม ผมได้แต่นั่งมองท้องฟ้าที่ว่างเปล่า ผมฉุกคิดขึ้นมาได้ผมควรจะโทรหาเธอ แต่ถ้าเธออยู่บนเครื่องแล้วเธอคงต้องปิดเครื่องผมเลยลังเลอยู่พักใหญ่ได้ตัดสินในโทร เสียงดัง ตื๊ด ตื๊ด ต๊ด ผมดีใจมากจนแทบอยากกระโดดอยากบรรยายความรู้สึกว่าผมคิดถึงเธอมากมายขนาดไหน แต่ผมถึงกับต้องหยุดชะงักทันที่เมื่อพ่อของเธอรับสาย ผมได้แต่บอกท่านไปว่า เธอไปหรือยังพอดีผมเป็นเพื่อนที่คณะของเธอ ความว่างเปล่าเริ่มมาเยือนผม เมื่อหมดหวังผมทำได้แค่เดินคอตกไปทำงานต่อไป เมื่อถึงออฟฟิต ผมค่อยๆนั่งลงบนเข้าอี้ช้าๆ แล้วผมก็เอาหน้าแนบชิดกับโต๊ะปล่อยโฮร้องไห้อีกครั้งใหญ่ ผมกลั้นนํ้าตาและความรู้สึกเสียใจอยากเจอเธอไม่อยากให้เธอจากไป จนคนในออฟฟิตคิดว่าผมโดน MD ที่บริษัทด่า ผมก็ปล่อยให้คนที่บริษัทคิดแบบนั้นต่อไปไม่อยากให้ใครรู้ว่า อดีตเพลย์บอยอย่างผมจะต้องมาสิ้นลาย วันเวลาวันนั้นมันช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้ากว่าจะถึงเวลากลับบ้าน และแล้วเวลาที่ผมรอมาถึงคือเวลาเลิกงาน ผมเดินกลับบ้านไม่ได้นั่งรถเหมือนวันอื่นๆ เดินร้องไห้ไปตลอดทาง ไม่สนว่าใครจะมอง ผมมาถึงห้องก็เหมือนเดิมวิ่งเข้าห้องนํ้าแล้วร้องไห้จนหมดแรงหลับไปอีกครั้ง ซักพักมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น โชว์เบอร์ว่าหมายเลขส่วนตัว ผมรีบวิ่งไปคว้าเสีงที่ผมได้ยินเสียงแรก หนูถึงแล้วนะ ผมกระโดดเท่าที่มันจะสูงได้ด้วยความดีใจ