หลังจากเริ่มเขียน เรื่อง การออมเงิน เพื่อชีวิตในอนาคต มาตอนปีใหม่ วันนี้ก็ได้ฤกษ์ ที่จะมาเขียนเรื่องการออมกันอีกครั้งนึง แต่วันนี้เราจะมาคุยกันเรื่องที่สำคัญกว่าประโยชน์ของการออม แต่เป็นวิธีการว่าทำอย่างไรถึงจะสามารถออมเงินได้มากที่สุด โดยแบ่งเป็น 4 ขั้นง่ายๆ ที่จะทำให้ถึงแม้ว่าคุณจะไม่เคยออมเงินได้เลยในชีวิตก็ตาม เป็นคนที่สามารถออมเงินได้ อย่างมีระบบ
ซึ่งผมขออนุญาติเอาเคสจริงๆ ที่เคยมีสมาชิกท่านนึง เคยถามมาทางหลังไมค์นะครับ (ขออนุญาติแล้ว) เพื่อจะได้ วิเคราะห์กันอย่างเป็นจริง เป็นจัง เลยว่าทำอย่างไรถึง จะสามารถออมได้ จากเคสจริงๆ ที่มี ไม่ใช่การสมมุติ หรือ มโนเอาเอง
กระทู้นี้จะแบ่งเป็น สี่ขั้น
1. ประเมินรายรับ และ รายจ่ายในปัจจุบัน
2. พยายามลดรายจ่าย ที่ไม่จำเป็น
3. พยายามเพิ่มรายได้ ด้วยวิธีการต่างๆ
4. วิเคราะห์ว่าเงินที่เหลือ เราควรจะเอาไปทำอะไรดี ระหว่าง ลงทุน จ่ายหนี้ หรือว่า ออม
มาเริ่มกันเลยนะครับ
ขั้นที่ 1: เราต้องมองก่อนว่า ตอนนี้เรามีรายได้อะไร และ เรามีค่าใช้จ่ายอะไรในชีวิตบ้าง ?
เราจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเราจะออมเงิน ได้อย่างไรถ้าเราไม่รู้ว่าเรามีรายรับ และ รายจ่ายอะไรบ้าง ดังนั้นสิ่งแรกที่ต้องทำในการวางแผนทางการเงิน ก็คือจำเป็นต้องรู้ว่า เรามีเงินเข้ามาทางไหนบ้าง และ เรามีเงินออกไปทางไหนบ้าง สำหรับคนที่ใช้ Smart Phone มีโปรแกรมมากมายที่จะช่วยให้คุณ Track ค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ และ เอามาสรุปเป็นรายจ่ายประจำที่ต้องใช้ นอกจากนี้ การกำหนด Quota ของรายจ่ายแต่ละประเภท ก็ยิ่งเป็นสิ่งที่ดีสำหรับการจัดระบบ ชีวิตทางการเงินของคุณให้มีระเบียบยิ่งขึ้น
ในกรณีผมเอาเคส จริงๆ ที่มีคนถามเข้ามา มาวิเคราะห์ ดังต่อไปนี้ครับ
รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 18 000 บาท (มาจากเงินเดือน 15 000 บาท + โอที ประมาณ 3 000 บาท)
รายจ่ายมีดังนี้
1.กองทุนสำรอง 300
2.ประกันสังคม 750
3.ค่าเช่าห้อง 1 750
4.ค่าน้ำ 100
5.ค่าไฟฟ้า 400
6.คอนแท็คเลนส์ 180
7.น้ำยาคอนแท็ค 190
8.ผ่อนที่ดิน 3 000 (ขั้นต่ำ 1 900 บาท คงเหลือ 286 000 บาท)
9.เครืองสำอางค์ 300
10.ประกันชีวิต 200
11.น้ำมัน 500
12.โทรศัพท์ 200
13.ค่าอาหาร 4 000
14.ส่งกลับบ้าน 1 500
15.อื่นๆ 1 000
16 หนี้ กยศ 1 000
17 ค่าแชร์ 2 000 (หมดเดือน พ.ย. 57)
รวมทั้งสิ้น 17 370 บาท
คงเหลือเฉลี่ย 630 บาท
ขั้นที่ 2: ประเมินว่ามีค่าใช้จ่ายอะไร ที่สามารถลดได้ ในระยะสั้นหรือไม่ ?
ต้องมาดูก่อนว่าอะไรเป็น ค่าใช้จ่ายคงที่ (Fixed Expense) บ้าง ในกรณีนี้ก็จะมี
1.กองทุนสำรอง 300
2.ประกันสังคม 750
8.ผ่อนที่ดินขั้นต่ำ 1 900 บาท (ถ้าคำนวณดอกเบี้ยประมาณ 6.5% จะเสียดอกปีละร่วม 19 000 บาท)
10.ประกันชีวิต 200
16 หนี้ กยศ 1 000
17 ค่าแชร์ 2 000 (เงินออม High Risk – High Return)
ส่วนที่เหลือเป็นค่าใช้จ่ายแปรผัน (Variable Expense) ที่พอที่จะเล่นกับมันได้
3.ค่าเช่าห้อง 1 750
4.ค่าน้ำ 100 หน่วยละ 20 บาท
5.ค่าไฟฟ้า 400 หน่วยละ 9 บาท
6.คอนแท็คเลนส์ 180
7.น้ำยาคอนแท็ค 190
8. ผ่อนที่ดินเพิ่ม 1 100 บาท
9.เครื่องสำอางค์ 300
11.น้ำมัน 500
12.โทรศัพท์ 200
13.ค่าอาหาร 4 000
14.ส่งกลับบ้าน 1 500
15.อื่นๆ 1 000
หมายเหตุ: ที่ผมเอาค่าห้องเป็นรายได้ แปรผันก็เพราะว่าเราสามารถเปลี่ยนห้องเป็นห้องที่ถูกกว่า หรือไม่ก็ สร้างบ้านในที่ดินได้เลย จะไม่ต้องเสียตรงนี้
ในกรณีนี้ผมมองค่าใช้จ่ายแปรผันที่ “อาจจะ” สามารถลดได้คือ
3.ค่าเช่าห้อง 1 750
4.ค่าน้ำ 100 หน่วยละ 20 บาท
5.ค่าไฟฟ้า 400 หน่วยละ 9 บาท
6.คอนแท็คเลนส์ 180
7.น้ำยาคอนแท็ค 190
9.เครื่องสำอางค์ 300
11.น้ำมัน 500
13.ค่าอาหาร 4 000
14.ส่งกลับบ้าน 1 500
กลุ่มแรกคือค่าใช้จ่ายเพื่อ อยู่อาศัย และ ทำงาน ในกรณีนี้คือ ค่าหอพัก ค่าน้ำค่าไฟ และ ค่าน้ำมัน
สามารถลดได้ประมาณนี้
ย้ายหอพักไปใกล้ที่ทำงานมากขึ้น เพื่อประหยัดค่าน้ำมัน
ย้ายหอพักไปที่ ที่ถูกลงเพื่อประหยัดค่าหอพัก
หาคนมาแชร์หออยู่ด้วย (เช่น เพื่อน ญาติ หรือ แฟน) เพื่อลดค่าหอต่อคน
ในอนาคตลองดูบ้าน Knock Down / Container เพื่อปลูกในที่ ที่ซื้อไว้ราคาไม่เกิน 200 000 บาท
สามอย่างแรกมันค่อนข้างพื้นๆ คงไม่ต้องอธิบายอะไรมาก แต่อย่างที่ 3 มันมีอะไรให้คุยกันนิดหน่อย กรณีที่ 3 ทำไมถึงต้องทำบ้าน เนื่องจากค่าเช่าประมาณ 1 750 บาท และไม่ต้องเสียค่าไฟ เนื่องจากใช้ไม่เกิน 50 หน่วยต่อเดือน แสดงว่า จะมีเงินเหลือประมาณ 2 150 บาท ต่อเดือน (ในกรณีที่ยกเลิกไฟฟ้าฟรี ก็ยังจะประหยัดมากกว่า 200 บาท และ คงเหลือเกือบ 2 000 บาท อยู่ดี) ในกรณีนี้สมมุติว่าเปียแชร์ได้รวม 30 000 บาท และมีเงินเก็บ 50 000 บาท ก็พอที่จะผ่อนได้สบายๆ เพียงเดือนละไม่ถึง 1 000 บาทเท่านั้น
Source 1:
https://www.financialplanning.scbam.com/th/Calculation/Home
Source 2:
http://www.mea.or.th/profile/index.php?l=th&tid=3&mid=111&pid=109
ส่วนต่อมา คือ ส่วนเพื่อความสวยงาม คือ คอนแทคเลนส์ น้ำยาคอนแทคเลนส์ และ เครื่องสำอางค์
ถ้าไม่เน้นเรื่องความสวยงาม สิ่งที่จะประหยัดได้ในกรณีนี้ ก็คือเปลี่ยนเป็นแว่นตาซึ่งสามารถเลือกซื้อได้ในราคา ถูกกว่าราคา คอนแทคเลนส์ + น้ำยา 1-3 เดือนซะอีก (อย่างเช่น ร้านลุงโปร่ง แว่นตาคนจน แว่นตาอันละ 300 กว่าบาท) หรือ ใช้เฉพาะครีมบำรุงยี่ห้อที่ได้มาตรฐาน เช่น Johnson & Johnson หรือ Nivea แทนที่จะใช้เครื่องสำอางค์ ต่างๆ ก็จะสามารถประหยัดตรงนี้ได้
ส่วนต่อมา คือ ค่าอาหาร
ในกรณีนี้ถือว่าไม่แพงอยู่แล้ว ตกเพียงมื้อละ 44.44 บาท แต่ยังสามารถลดไปกว่านี้ได้ ถ้าหันมาทำกับข้าวเองแทนโดยทำทีละเยอะๆ หน่อย แล้วแช่ช่องฟรีซ ไว้แล้ว อุ่นไมโครเวฟค่อยๆ กินไป ทอดไข่โปะข้าว หรือ ใช้บริการบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปบางมื้อ ก็จะประหยัดได้มากขึ้น
สุดท้ายคือการส่งทางบ้าน
ในกรณีนี้อาจจะลองคุยกับทางบ้าน ว่าเงินที่เราจะส่งไป จำเป็นหรือไม่ บางครั้งเราส่งเพราะเป็นหน้าที่ แต่จริงๆ ทางบ้านอาจจะไม่จำเป็นต้องใช้ประจำเดือน ถ้าไม่ได้มีความจำเป็น (ประมาณว่าส่งเพื่อให้เก็บไว้) อาจจะดีกว่าที่เอาเงินก้อนนี้มาจ่ายหนี้บ้าน ซึ่งต้องจ่ายดอกถึงปีละ 19 000 บาท จะทำให้อัตราระหว่าง ส่งต้น กับส่งดอก มากขึ้น
บันได 4 ขั้น เพื่อชีวิตที่สุขสบายในอนาคต
ซึ่งผมขออนุญาติเอาเคสจริงๆ ที่เคยมีสมาชิกท่านนึง เคยถามมาทางหลังไมค์นะครับ (ขออนุญาติแล้ว) เพื่อจะได้ วิเคราะห์กันอย่างเป็นจริง เป็นจัง เลยว่าทำอย่างไรถึง จะสามารถออมได้ จากเคสจริงๆ ที่มี ไม่ใช่การสมมุติ หรือ มโนเอาเอง
กระทู้นี้จะแบ่งเป็น สี่ขั้น
1. ประเมินรายรับ และ รายจ่ายในปัจจุบัน
2. พยายามลดรายจ่าย ที่ไม่จำเป็น
3. พยายามเพิ่มรายได้ ด้วยวิธีการต่างๆ
4. วิเคราะห์ว่าเงินที่เหลือ เราควรจะเอาไปทำอะไรดี ระหว่าง ลงทุน จ่ายหนี้ หรือว่า ออม
มาเริ่มกันเลยนะครับ
ขั้นที่ 1: เราต้องมองก่อนว่า ตอนนี้เรามีรายได้อะไร และ เรามีค่าใช้จ่ายอะไรในชีวิตบ้าง ?
เราจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเราจะออมเงิน ได้อย่างไรถ้าเราไม่รู้ว่าเรามีรายรับ และ รายจ่ายอะไรบ้าง ดังนั้นสิ่งแรกที่ต้องทำในการวางแผนทางการเงิน ก็คือจำเป็นต้องรู้ว่า เรามีเงินเข้ามาทางไหนบ้าง และ เรามีเงินออกไปทางไหนบ้าง สำหรับคนที่ใช้ Smart Phone มีโปรแกรมมากมายที่จะช่วยให้คุณ Track ค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ และ เอามาสรุปเป็นรายจ่ายประจำที่ต้องใช้ นอกจากนี้ การกำหนด Quota ของรายจ่ายแต่ละประเภท ก็ยิ่งเป็นสิ่งที่ดีสำหรับการจัดระบบ ชีวิตทางการเงินของคุณให้มีระเบียบยิ่งขึ้น
ในกรณีผมเอาเคส จริงๆ ที่มีคนถามเข้ามา มาวิเคราะห์ ดังต่อไปนี้ครับ
รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 18 000 บาท (มาจากเงินเดือน 15 000 บาท + โอที ประมาณ 3 000 บาท)
รายจ่ายมีดังนี้
1.กองทุนสำรอง 300
2.ประกันสังคม 750
3.ค่าเช่าห้อง 1 750
4.ค่าน้ำ 100
5.ค่าไฟฟ้า 400
6.คอนแท็คเลนส์ 180
7.น้ำยาคอนแท็ค 190
8.ผ่อนที่ดิน 3 000 (ขั้นต่ำ 1 900 บาท คงเหลือ 286 000 บาท)
9.เครืองสำอางค์ 300
10.ประกันชีวิต 200
11.น้ำมัน 500
12.โทรศัพท์ 200
13.ค่าอาหาร 4 000
14.ส่งกลับบ้าน 1 500
15.อื่นๆ 1 000
16 หนี้ กยศ 1 000
17 ค่าแชร์ 2 000 (หมดเดือน พ.ย. 57)
รวมทั้งสิ้น 17 370 บาท
คงเหลือเฉลี่ย 630 บาท
ขั้นที่ 2: ประเมินว่ามีค่าใช้จ่ายอะไร ที่สามารถลดได้ ในระยะสั้นหรือไม่ ?
ต้องมาดูก่อนว่าอะไรเป็น ค่าใช้จ่ายคงที่ (Fixed Expense) บ้าง ในกรณีนี้ก็จะมี
1.กองทุนสำรอง 300
2.ประกันสังคม 750
8.ผ่อนที่ดินขั้นต่ำ 1 900 บาท (ถ้าคำนวณดอกเบี้ยประมาณ 6.5% จะเสียดอกปีละร่วม 19 000 บาท)
10.ประกันชีวิต 200
16 หนี้ กยศ 1 000
17 ค่าแชร์ 2 000 (เงินออม High Risk – High Return)
ส่วนที่เหลือเป็นค่าใช้จ่ายแปรผัน (Variable Expense) ที่พอที่จะเล่นกับมันได้
3.ค่าเช่าห้อง 1 750
4.ค่าน้ำ 100 หน่วยละ 20 บาท
5.ค่าไฟฟ้า 400 หน่วยละ 9 บาท
6.คอนแท็คเลนส์ 180
7.น้ำยาคอนแท็ค 190
8. ผ่อนที่ดินเพิ่ม 1 100 บาท
9.เครื่องสำอางค์ 300
11.น้ำมัน 500
12.โทรศัพท์ 200
13.ค่าอาหาร 4 000
14.ส่งกลับบ้าน 1 500
15.อื่นๆ 1 000
หมายเหตุ: ที่ผมเอาค่าห้องเป็นรายได้ แปรผันก็เพราะว่าเราสามารถเปลี่ยนห้องเป็นห้องที่ถูกกว่า หรือไม่ก็ สร้างบ้านในที่ดินได้เลย จะไม่ต้องเสียตรงนี้
ในกรณีนี้ผมมองค่าใช้จ่ายแปรผันที่ “อาจจะ” สามารถลดได้คือ
3.ค่าเช่าห้อง 1 750
4.ค่าน้ำ 100 หน่วยละ 20 บาท
5.ค่าไฟฟ้า 400 หน่วยละ 9 บาท
6.คอนแท็คเลนส์ 180
7.น้ำยาคอนแท็ค 190
9.เครื่องสำอางค์ 300
11.น้ำมัน 500
13.ค่าอาหาร 4 000
14.ส่งกลับบ้าน 1 500
กลุ่มแรกคือค่าใช้จ่ายเพื่อ อยู่อาศัย และ ทำงาน ในกรณีนี้คือ ค่าหอพัก ค่าน้ำค่าไฟ และ ค่าน้ำมัน
สามารถลดได้ประมาณนี้
ย้ายหอพักไปใกล้ที่ทำงานมากขึ้น เพื่อประหยัดค่าน้ำมัน
ย้ายหอพักไปที่ ที่ถูกลงเพื่อประหยัดค่าหอพัก
หาคนมาแชร์หออยู่ด้วย (เช่น เพื่อน ญาติ หรือ แฟน) เพื่อลดค่าหอต่อคน
ในอนาคตลองดูบ้าน Knock Down / Container เพื่อปลูกในที่ ที่ซื้อไว้ราคาไม่เกิน 200 000 บาท
สามอย่างแรกมันค่อนข้างพื้นๆ คงไม่ต้องอธิบายอะไรมาก แต่อย่างที่ 3 มันมีอะไรให้คุยกันนิดหน่อย กรณีที่ 3 ทำไมถึงต้องทำบ้าน เนื่องจากค่าเช่าประมาณ 1 750 บาท และไม่ต้องเสียค่าไฟ เนื่องจากใช้ไม่เกิน 50 หน่วยต่อเดือน แสดงว่า จะมีเงินเหลือประมาณ 2 150 บาท ต่อเดือน (ในกรณีที่ยกเลิกไฟฟ้าฟรี ก็ยังจะประหยัดมากกว่า 200 บาท และ คงเหลือเกือบ 2 000 บาท อยู่ดี) ในกรณีนี้สมมุติว่าเปียแชร์ได้รวม 30 000 บาท และมีเงินเก็บ 50 000 บาท ก็พอที่จะผ่อนได้สบายๆ เพียงเดือนละไม่ถึง 1 000 บาทเท่านั้น
Source 1: https://www.financialplanning.scbam.com/th/Calculation/Home
Source 2: http://www.mea.or.th/profile/index.php?l=th&tid=3&mid=111&pid=109
ส่วนต่อมา คือ ส่วนเพื่อความสวยงาม คือ คอนแทคเลนส์ น้ำยาคอนแทคเลนส์ และ เครื่องสำอางค์
ถ้าไม่เน้นเรื่องความสวยงาม สิ่งที่จะประหยัดได้ในกรณีนี้ ก็คือเปลี่ยนเป็นแว่นตาซึ่งสามารถเลือกซื้อได้ในราคา ถูกกว่าราคา คอนแทคเลนส์ + น้ำยา 1-3 เดือนซะอีก (อย่างเช่น ร้านลุงโปร่ง แว่นตาคนจน แว่นตาอันละ 300 กว่าบาท) หรือ ใช้เฉพาะครีมบำรุงยี่ห้อที่ได้มาตรฐาน เช่น Johnson & Johnson หรือ Nivea แทนที่จะใช้เครื่องสำอางค์ ต่างๆ ก็จะสามารถประหยัดตรงนี้ได้
ส่วนต่อมา คือ ค่าอาหาร
ในกรณีนี้ถือว่าไม่แพงอยู่แล้ว ตกเพียงมื้อละ 44.44 บาท แต่ยังสามารถลดไปกว่านี้ได้ ถ้าหันมาทำกับข้าวเองแทนโดยทำทีละเยอะๆ หน่อย แล้วแช่ช่องฟรีซ ไว้แล้ว อุ่นไมโครเวฟค่อยๆ กินไป ทอดไข่โปะข้าว หรือ ใช้บริการบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปบางมื้อ ก็จะประหยัดได้มากขึ้น
สุดท้ายคือการส่งทางบ้าน
ในกรณีนี้อาจจะลองคุยกับทางบ้าน ว่าเงินที่เราจะส่งไป จำเป็นหรือไม่ บางครั้งเราส่งเพราะเป็นหน้าที่ แต่จริงๆ ทางบ้านอาจจะไม่จำเป็นต้องใช้ประจำเดือน ถ้าไม่ได้มีความจำเป็น (ประมาณว่าส่งเพื่อให้เก็บไว้) อาจจะดีกว่าที่เอาเงินก้อนนี้มาจ่ายหนี้บ้าน ซึ่งต้องจ่ายดอกถึงปีละ 19 000 บาท จะทำให้อัตราระหว่าง ส่งต้น กับส่งดอก มากขึ้น