รถ Toyota Altis Hybrid High รุ่นท๊อป ปี 2020 เลขไมล์ 54,000 กม.
ไม่เคยประสบอุบัติเหตุเฉี่ยวชนเลย
ผ่อนไฟแนนซ์หมดแล้ว
ถ้าผมไม่ค่อยได้ใช้รถ จะขายซัก 5 แสน แล้วเอาเงินไปซื้อหุ้นปันผลซัก 6 ตัว เอาเงินปันผลเฉลี่ย 6% ต่อปี (แบบไม่ต้องคิดมาก ขาดทุนก็ไม่เสียดายมาก เพราะถ้าไม่ขาย แต่ถือต่อไปอีก 5 ปี ราคามันก็ร่วงลงทุกวันๆๆ อยู่แล้ว)
จะได้ปันผลปีละ = 30,000 บาท
แล้วก็ประหยัดค่าที่จอดรถที่อ๊อฟฟิศ เดือนละ 2,200 บาท = 26,400 บาท/ปี
แถมยังประหยัดเบี้ยประกันภัยชั้นหนึ่ง = 10,000 บาท/ปี
แถมยังประหยัดค่าเอารถเข้าศูนย์ เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง (หลังหมดประกัน 5 ปี) = 8,000 บาท/ปี (เข้าศูนย์ปีละ 2 ครั้ง ครั้งละ 4,000 บาทโดยประมาณ)
แถมยังประหยัดค่าเปลี่ยนยาง 4 ปี/ครั้ง ครั้งละ 20,000 บาท (4 ล้อ) = 5,000 บาท/ปี (พูดง่ายๆ ปีละล้อ)
สรุป จะมีเงินในกระเป๋าเพิ่ม = 79,400 บาท
****************************
แต่ว่า ก็จะมีรายจ่ายเพิ่ม เป็นค่าเดินทาง คือ แท็กซี่ / BTS /แกร๊บคาร์/ Bolt ซึ่งก็ไม่ได้เดินทางบ่อยๆ (เดือนนึงน่าจะประมาณ 1,000 บ. - 1,500 บ. ตกปีละไม่เกิน 18,000 บาท) บ้านผมอยู่ห่างที่ทำงาน 12 กม. แต่ว่าเข้าทำงานอาทิตย์ละ 2 วัน ถ้านั่งแท็กซี่ ก็เสีย 60 บาท ไปต่อ BTS ใกล้ๆ
เวลาไปเที่ยวต่างจังหวัด (ซึ่งไม่ได้เที่ยวบ่อย) ถ้าจำเป็นก็เช่ารถ ปีนึงน่าจะไม่เกิน 20,000 บาท (ค่าเช่า + ค่าน้ำมัน)
เวลาเดินทางใกล้ๆ บ้าน ก็ ซื้อรถจักรยาน 3 ล้อไฟฟ้า คันละ 20,000 บาท (ซื้อครั้งเดียว ใช้ได้หลายปี) ไว้ไปจ่ายตลาดใกล้ๆ ไปกินข้าวแถวบ้าน ไปเซเว่น
รวมรายจ่ายเพิ่ม ประมาณปีละ 38,000 บาท
หักกลบกันแล้ว จะมีเงินเพิ่ม ประมาณปีละ 41,400 บาท (ตกเดือนละ 3,450 บาท)
ส่วนมูลค่าของเงินต้น 500,000 บาท ก็ขยับขึ้นลงตามราคาตลาด แต่คิดว่าในระยะยาว ก็น่าจะรักษามูลค่าต้นเงินไว้ได้ เพราะมีการกระจายความเสี่ยงไว้ด้วยการกระจายซื้อหุ้นหลายตัว ถ้าโชคดี มูลค่าเงินต้นก็จะขยับขึ้นตามเงินเฟ้อ
********************
แต่ถ้าไม่ขาย มูลค่าของรถยนต์ ก็จะลดลงไปเรื่อยๆ แถมเสียค่าใช้จ่ายอีกจิปาถะ ถ้ารถเกิน 10 ปี ยังมีค่าเปลี่ยนแบตไฮบริดรออยู่อีก 7 หมื่นกว่าบาท
ไม่ค่อยได้ใช้รถ ขายแล้วเอาเงินไปซื้อหุ้นปันผลดีมั้ยครับ
ไม่เคยประสบอุบัติเหตุเฉี่ยวชนเลย
ผ่อนไฟแนนซ์หมดแล้ว
ถ้าผมไม่ค่อยได้ใช้รถ จะขายซัก 5 แสน แล้วเอาเงินไปซื้อหุ้นปันผลซัก 6 ตัว เอาเงินปันผลเฉลี่ย 6% ต่อปี (แบบไม่ต้องคิดมาก ขาดทุนก็ไม่เสียดายมาก เพราะถ้าไม่ขาย แต่ถือต่อไปอีก 5 ปี ราคามันก็ร่วงลงทุกวันๆๆ อยู่แล้ว)
จะได้ปันผลปีละ = 30,000 บาท
แล้วก็ประหยัดค่าที่จอดรถที่อ๊อฟฟิศ เดือนละ 2,200 บาท = 26,400 บาท/ปี
แถมยังประหยัดเบี้ยประกันภัยชั้นหนึ่ง = 10,000 บาท/ปี
แถมยังประหยัดค่าเอารถเข้าศูนย์ เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง (หลังหมดประกัน 5 ปี) = 8,000 บาท/ปี (เข้าศูนย์ปีละ 2 ครั้ง ครั้งละ 4,000 บาทโดยประมาณ)
แถมยังประหยัดค่าเปลี่ยนยาง 4 ปี/ครั้ง ครั้งละ 20,000 บาท (4 ล้อ) = 5,000 บาท/ปี (พูดง่ายๆ ปีละล้อ)
สรุป จะมีเงินในกระเป๋าเพิ่ม = 79,400 บาท
****************************
แต่ว่า ก็จะมีรายจ่ายเพิ่ม เป็นค่าเดินทาง คือ แท็กซี่ / BTS /แกร๊บคาร์/ Bolt ซึ่งก็ไม่ได้เดินทางบ่อยๆ (เดือนนึงน่าจะประมาณ 1,000 บ. - 1,500 บ. ตกปีละไม่เกิน 18,000 บาท) บ้านผมอยู่ห่างที่ทำงาน 12 กม. แต่ว่าเข้าทำงานอาทิตย์ละ 2 วัน ถ้านั่งแท็กซี่ ก็เสีย 60 บาท ไปต่อ BTS ใกล้ๆ
เวลาไปเที่ยวต่างจังหวัด (ซึ่งไม่ได้เที่ยวบ่อย) ถ้าจำเป็นก็เช่ารถ ปีนึงน่าจะไม่เกิน 20,000 บาท (ค่าเช่า + ค่าน้ำมัน)
เวลาเดินทางใกล้ๆ บ้าน ก็ ซื้อรถจักรยาน 3 ล้อไฟฟ้า คันละ 20,000 บาท (ซื้อครั้งเดียว ใช้ได้หลายปี) ไว้ไปจ่ายตลาดใกล้ๆ ไปกินข้าวแถวบ้าน ไปเซเว่น
รวมรายจ่ายเพิ่ม ประมาณปีละ 38,000 บาท
หักกลบกันแล้ว จะมีเงินเพิ่ม ประมาณปีละ 41,400 บาท (ตกเดือนละ 3,450 บาท)
ส่วนมูลค่าของเงินต้น 500,000 บาท ก็ขยับขึ้นลงตามราคาตลาด แต่คิดว่าในระยะยาว ก็น่าจะรักษามูลค่าต้นเงินไว้ได้ เพราะมีการกระจายความเสี่ยงไว้ด้วยการกระจายซื้อหุ้นหลายตัว ถ้าโชคดี มูลค่าเงินต้นก็จะขยับขึ้นตามเงินเฟ้อ
********************
แต่ถ้าไม่ขาย มูลค่าของรถยนต์ ก็จะลดลงไปเรื่อยๆ แถมเสียค่าใช้จ่ายอีกจิปาถะ ถ้ารถเกิน 10 ปี ยังมีค่าเปลี่ยนแบตไฮบริดรออยู่อีก 7 หมื่นกว่าบาท