วันเวลาย่างกรายเข้าเดือนกุมภาพันธ์ เดือนที่หลายๆ คน หลายคู่บอกว่าเป็นเดือนแห่งความรัก และก็เป็นเดือนสุดท้ายของปลายฤดูหนาว ที่หลายคนเริ่มจะไม่อินกับบรรยากาศอันหนาวเหน็บแล้ว นั่นก็เพราะ มันใกล้ถึงเวลาถ่ายเทจากอากาศจากความหนาวจัดเท่าที่อากาศเมืองไทยจะได้เจอไปสู่ความร้อน (จับใจ) ที่หลายคนระอา
แม้จะเป็นช่วงโค้งสุดท้ายของฤดูหนาว กับวันดีดีที่อีกไม่รู้สักกี่ปีถึงจะมีวันแห่งความรักกับวันพระใหญ่มาบรรจบครบกันในวันเดียวกัน และเป็นที่มาว่า คนรักจะมาเจอกันโดยไม่ได้นัดหมาย เราถือเอาฤกษ์งามยามดีนี้ผสมคละเคล้ากับความอยากนี้ไปสัมผัสอากาศหนาวสุดท้ายแห่งปีกันเถอะ
การเดินทางไปภาคกลางตอนบนหรือภาคเหนือตอนล่าง หรือจังหวัดก้ำกึ่งในความรู้สึกผมว่ามันอยู่ภาคไหนกันแน่ แต่นั่นมันไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ที่สำคัญแค่เรามีเวลาแค่ 3 วัน 2 คืน กับการฝ่าด่านรถติดบนถนนช่วงก่อนที่จะเลยสระบุรีไปไม่ใช่เรื่องง่ายเลย บอกตรงๆ ว่าแอบเครียด แต่ก็นั่นแหล่ะทุกคำถาม ทุกอย่างที่กังวลทุกๆ อย่างมันจะจบลงที่ "xxx อยากไป"
การเดินทางมันเกิดขึ้นไม่ยาก เพียงแค่เรามีใจ ขับรถไปรับสมาชิกแล้วตรงขึ้นทางด่วนแจ้งวัฒนะ-บางปะอิน เพื่อไปรับสมาชิกอีกคน แล้วก็ทำตามคำสั่ง Nuvi ให้เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาไม่นานนักเราก็ผ่านสระบุรีไปแบบชิลล์ๆ
การเดินทางที่วางแผนไว้หลวมมากกกกก เก็บทุกที่ๆ อยากแวะ เหมือนเล่นเกมแล้วเก็บพอยท์ตามจุด
อุโมงค์ต้นไม้ vs เนินมหัศจรรย์ ที่ไปถึงแล้ว ภาพตรงหน้าไม่เหมือนที่คิดไว้ นั่นไม่ใช่เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่มีอยู่จริง แต่เราไปถึงช้ากว่าเวลาที่ควรจะไปเพียง 1-2 เดือนเท่านั้นเอง 55555+
เส้นทางที่วิ่งด้วยเพราะไม่ใช่ทางเส้นหลักรถที่สัญจรไปมาจึงไม่เยอะมาก ขับสบายๆ ประหนึ่งถนนนี้เป็นของเราเอง จะมีรถสวนมาบางช่วงจะเป็นรถขนอ้อย รถขนมัน อาจจะต้องเพิ่มความระมัดระวังนิดนึง เพราะรถแต๊กๆ เขาวิ่งเลนเดียวไม่ได้ เพราะสิ่งของที่เขาบรรทุกมาจะไปเกี่ยวกับกิ่งไม้ข้างทาง ใช้เวลาช่วงนี้ 1 ชั่วโมงกว่าๆ ก็ผ่านเขื่อนป่าสัก ลำนารายณ์ ชัยบาดาล และวิเชียรบุรี
วิเชียรบุรี เอ่ยชื่อนี้ใครๆ ก็นึกถึง "ไก่" และตรงแยกนี้มีร้านขายไก่ หรือจุดพักรถให้คนเดินทางได้ฝากท้องกัน มีทั่งไก่ย่าง ส้มตำทอด และของขึ้นชื่ออีกหลายอย่าง ทำการบ้านมาแล้ว กระนั้นแล้วคณะเราก็อย่าได้พลาด สักครั้งเถอะ ไหนๆ ก็ผ่านมาแล้ว ลงจากรถกันก็เดินเข้าร้าน พบลูกค้าคราคร่ำดังมวลมหาประชาชนเขียนใบ order ทิ้งไว้ ต้องรออีกครึ่งชั่วโมงถึงจะได้กิน
ด้วยความหิวและต้องการเก็บเวลาไว้เดินทางตัดสินใจยกเลิกออเดอร์ "ไก่" แล้วเดินย้อนกลับมาอีกร้านที่ดูคนน้อยน่านั่ง แล้วก็สั่งอาหารตามที่ปรารถนา(อยาก) เพียงไม่กี่อย่าง แต่มันก็เป็นบทพิสูจน์ให้เราได้พบสัจธรรมอย่างหนึ่งว่า "สิ่งใดผ่านแล้วก็ให้ผ่านไป อย่าได้ย้อนกลับ"
จุดมุ่งหมายของเราในวันนี้อยู่ที่อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง จุดทำการหนองแม่นา อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ จากถนนสี่เลนค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเลนสวน และค่อยๆ ใต่ตามระดับความสูงของภูเขา บางช่วงก็เป็นสันเขา บรรยากาศสองข้างทางถึงจะมองได้ไม่เต็มตา เพราะมัวแต่เพ่งดูเส้นทางก็สัมผัสได้ถึงความสวยงาม โดยเฉพาะช่วงที่เป็นที่ตั้งของร้านกาแฟ "Feel khaokho" วิวสวยมาก เรียกได้ว่าสวยติดตา
คณะเดินทางของเราถึงที่ทำการอุทยานประมาณ 4 โมงกว่าๆ ใช้เวลาติดต่อหาที่กางเต็นท์ไม่นาน ไม่แน่ใจว่าเพราะเลยช่วงคนขึ้นเขาเข้าป่ามารับความหนาว หรือที่นี่นักท่องเที่ยวมาไม่เยอะเป็นปกติอยู่แล้ว นักท่องเที่ยวในวันนี้มีพออบอุ่น ซึ่งก็เป็นการดีที่ทุกอย่างพอแบ่งๆ กันใช้ไม่ต้องรอหรือรอคิวกัน
อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง สภาพโดยทั่วไป (ที่เห็นเอง) จะประกอบไปด้วยทุ่งหญ้าและป่าสน อากาศจึงไม่ได้ชื้นมากเหมือนป่าเขาใหญ่ บริเวณที่ทำการอุทยานจึงมีต้นสนและลานทุ่งหญ้าโล่งๆ มองไกลสุดลูกหูลูกตา
บรรยากาศก็เหมาะที่จะพาครอบครัว ลูกเล็ก (สำหรับคนที่มี) มาพักผ่อน เพราะมีที่ให้วิ่งเลน ทำอาหารกินกัน สำหรับคนที่ไม่มีอุปกรณ์ปิ้ง หรือเตาไฟ จะมีให้เช่าพร้อมถ่าน ส่วนใครจะเตรียมแก๊สกระป๋องพกไปก็ไม่ว่า แต่ "ห้ามก่อไฟบนพื้นโดยไม่มีเตารอง"
จุดท่องเที่ยวในอุทยานทุ่งแสลงหลวงมีเพียง 3-4 จุด ได้แก่ จุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ลานดุสิตา ชมสน 2 ใบที่ทุ่งนางพญาเมืองเลน ทุ่งเนินสนจะมีดอกไม้ป่าหลายชนิด แต่ต้องใช้เวลาเดินเท้าประมาณ 2-3 วันและต้องมาช่วงตุลาคม-พฤศจิกายน และอีกจุดคือแก่งน้ำเย็น
จุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจในอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง ที่ใครๆ ถวิลหาจะไปก็คือทุ่งสนสองใบที่ "ทุ่งนางพญาเมืองเลน" เมื่อก่อนจะเป็นจุดกางเต็นท์อีกจุดในอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง ระยะหลังไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวกางเต็นท์ เพราะเวลากลางคืนมีสัตว์ป่าออกมาหากินจึงอาจเกิดอันตรายกับนักท่องเที่ยวได้
การเดินทางไปยังทุ่งนางพญาก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ สำหรับรถเก๋ง เพราะทางขึ้นทุ่งนางพญาเป็นถนนลูกรังตลอด 14 กิโลเมตร และบางช่วงผิวทางขรุขระ ซึ่งเหมาะกับรถยนต์ยกสูงมากกว่า แต่ถ้าตัวไปถึงอุทยานแล้วแต่ใจล้ำไปถึงทุ่งนางพญา ให้แจ้งเจ้าหน้าที่อุทยานติดต่อรถนำเที่ยวได้ราคาเหมาคันละ 1,000 บาท หรือใครพกใจไปมากกว่านั้น มีจักรยานให้เช่าปั่นไปด้วย
เราติดต่อให้รถมารับที่ทำการอุทยานตอนตีห้าครึ่งเพื่อขึ้นไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ลานดุสิตา หรือจุดชมวิว รอจนเกือบแปดโมง บังเอิญเมื่อคืนพระอาทิตย์ไปฉลองวาเลนไทน์ดึก เช้านี้เลยมาสายมาก มาแล้วผลุบๆ โผล่ๆ มีเมฆมีหมอกบัง
เพราะเป็นช่วงปลายฤดูตามเข้าใจของผม หมอกจึงมีมาให้เห็นแบบบางๆ พอได้รู้ว่า "ฉันมาแล้ว" แต่มาน้อยก็เเพิ่มความงามให้ต้นไม้ และทุ่งหญ้าสะวันนาได้เป็นอย่างดี เห็นเป็นกิ่งเป็นพุ่มชัดขึ้น แสงแดดอ่อนๆ ทำให้อุณหภูมิที่ไม่ได้หนาวมาก เริ่มมีความอบอุ่นขึ้นตามลำดับ
เพราะพระอาทิตย์ยังไม่สร่างจากการเฉลิมฉลอง เราจึงอยู่กับพระอาทิตย์ตรงนี้ไม่นาน แล้วขึ้นไปทุ่งนางพญากัน ระหว่างไปทุ่งนางพญาจะผ่านป่าดิบทึบเป็นบางช่วง และป่าสน สลับกับทุ่งหญ้า ช่วงที่เป็นป่าทึบถ้าโชคดีจะมีสัตว์ป่าให้เห็น วันที่พวกเราไป มีไก่ป่ามาวิ่งเล่นตัดหน้ารถให้เห็น
ขณะนั่ง เดิน กินลม ชมสน เราเริ่มมองหาจุดหมายต่อไปเฉกเช่นนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นๆ ที่ส่วนใหญ่จะมาค้างคืนที่นี่เพียงคืนเดียวแล้วไปเที่ยวที่อื่นกันต่อ บางคนไปต่อกันที่ อุทยานแห่งชาติน้ำหนาว ภูทับเบิก แต่สำหรับคณะเราทริปนี้ใจไม่ถึง "ภูทับเบิก" เลยไม่ได้ขึ้นไป
เลยขอเตร็ดเตร่เขาค้อก่อนแล้วกัน หลังจากเก็บสัมภาระเสร็จ ออกจากที่ทำการอุทยานทุ่งแสลงหลวงเกือบๆ 10 โมง ตั้งเป้าหมายไว้ที่ วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว
ระหว่างทางยังมีสถานที่ท่องเที่ยวให้เราเก็บพอยท์ เช่น น้ำตกศรีดิษฐ์ ไร่บีเอ็น แทนรักทะเลหมอก และพอถึงแยกแคมป์สน เลี้ยวซ้ายขึ้นถนนสาย 12 ขับไปประมาณ 3 กิโลเมตรก็จะถึงที่ชิลล์เอาท์ของเขาค้ออีกที่อย่าง Route 12
หาเครื่องดื่มเย็นๆ ถ่ายรูปกับสถานที่สวยๆ จนสาสมแก่ใจ ได้เวลาเดินทางต่อไปจุดหมายที่ตั้งใจก่อนการเดินทาง คือ พระธาตุผาซ่อนแก้ว โดยขับบนถนนสาย 12 ย้อนกลับมาทางแคมป์สน แล้วตรงไปผ่านวัดหนองไผ่ จะมีทางเข้าวัดหลายทาง เราเลือกเข้าทางที่ 3 ของจำนวนทางเข้าที่มีป้ายบอกซึ่งจะเข้าไปด้านหลังของวัด
วัดนี้ตั้งอยู่บนบริเวณเนินเขาในหมู่บ้านทางแดง สามารถชมทิวทัศน์ได้รอบด้าน
เมื่อเดินชมความงามภายในวัดทั่วทุกมุมแล้ว ภารกิจสำคัญของผมก็โผล่เข้ามาในความคิด และต้องการที่จะทำให้สำเร็จคือ การตามหาที่มาของการถ่ายภาพวัดในมุมกว้าง ที่ด้านหลังเป็นภูเขาสลับซับซ้อนเป็นทิวๆ จึงต้องขับรถลงเขา ขึ้นเขาไปอีกทางกับทางที่ขึ้นมาวัด แต่ก็หามุมนั้นไม่เจอ
การหามุมถ่ายภาพมุมนี้ทำให้ต้องขับรถไต่เขาสูงขึ้นไป และลงเพื่อจะออกไปยังถนนสาย 12 ไปที่แยกแคมป์สน การขึ้นที่สูงมันทำให้ได้เห็นทัศนียภาพที่หาชมได้ยาก
พื้นที่บนไหล่เขาสูงได้มีการเตรียมปลูกสร้างเป็นพักผ่อน และพักแรม ตลอดจนจุดชมวิวไว้ต้อนรับผู้มาเยือน
เรานั่งเกร็งขาในรถเพราะทางลาดและโค้งลงจากเขาสักพักใหญ่ๆ ก็มาถึงถนนสาย 12 เวลาในขณะนั้นเกือบๆ 5 โมงเย็น กับทริปที่ไม่ได้จองที่พักไว้ และไม่ได้วางแผนว่าจะนอนที่ไหน เวลาที่เหลือของสมาชิกเลยใช้เวลากับการหาที่กางเต้นท์ เพราะไม่อยากสู้ราคาซื้อความสบายเพียง 1 คืนกับค่าผ่อนรถ, ผ่อนบ้าน 1 เดือนได้ ^^
จนในที่สุดสมาชิกก็หาจุดชมวิวและที่กางเต็นท์ที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในเขาค้อได้ นั้นก็คือ ปณ.เขาค้อ
นอนเขาค้ออายุยืนเพิ่มอีก 1 ปี จะจริงหรือไม่ต้องไปลองเอง
ส่งท้าย...ปลาย (ฤดู) หนาว
แม้จะเป็นช่วงโค้งสุดท้ายของฤดูหนาว กับวันดีดีที่อีกไม่รู้สักกี่ปีถึงจะมีวันแห่งความรักกับวันพระใหญ่มาบรรจบครบกันในวันเดียวกัน และเป็นที่มาว่า คนรักจะมาเจอกันโดยไม่ได้นัดหมาย เราถือเอาฤกษ์งามยามดีนี้ผสมคละเคล้ากับความอยากนี้ไปสัมผัสอากาศหนาวสุดท้ายแห่งปีกันเถอะ
การเดินทางไปภาคกลางตอนบนหรือภาคเหนือตอนล่าง หรือจังหวัดก้ำกึ่งในความรู้สึกผมว่ามันอยู่ภาคไหนกันแน่ แต่นั่นมันไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ที่สำคัญแค่เรามีเวลาแค่ 3 วัน 2 คืน กับการฝ่าด่านรถติดบนถนนช่วงก่อนที่จะเลยสระบุรีไปไม่ใช่เรื่องง่ายเลย บอกตรงๆ ว่าแอบเครียด แต่ก็นั่นแหล่ะทุกคำถาม ทุกอย่างที่กังวลทุกๆ อย่างมันจะจบลงที่ "xxx อยากไป"
การเดินทางมันเกิดขึ้นไม่ยาก เพียงแค่เรามีใจ ขับรถไปรับสมาชิกแล้วตรงขึ้นทางด่วนแจ้งวัฒนะ-บางปะอิน เพื่อไปรับสมาชิกอีกคน แล้วก็ทำตามคำสั่ง Nuvi ให้เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาไม่นานนักเราก็ผ่านสระบุรีไปแบบชิลล์ๆ
การเดินทางที่วางแผนไว้หลวมมากกกกก เก็บทุกที่ๆ อยากแวะ เหมือนเล่นเกมแล้วเก็บพอยท์ตามจุด
อุโมงค์ต้นไม้ vs เนินมหัศจรรย์ ที่ไปถึงแล้ว ภาพตรงหน้าไม่เหมือนที่คิดไว้ นั่นไม่ใช่เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่มีอยู่จริง แต่เราไปถึงช้ากว่าเวลาที่ควรจะไปเพียง 1-2 เดือนเท่านั้นเอง 55555+
เส้นทางที่วิ่งด้วยเพราะไม่ใช่ทางเส้นหลักรถที่สัญจรไปมาจึงไม่เยอะมาก ขับสบายๆ ประหนึ่งถนนนี้เป็นของเราเอง จะมีรถสวนมาบางช่วงจะเป็นรถขนอ้อย รถขนมัน อาจจะต้องเพิ่มความระมัดระวังนิดนึง เพราะรถแต๊กๆ เขาวิ่งเลนเดียวไม่ได้ เพราะสิ่งของที่เขาบรรทุกมาจะไปเกี่ยวกับกิ่งไม้ข้างทาง ใช้เวลาช่วงนี้ 1 ชั่วโมงกว่าๆ ก็ผ่านเขื่อนป่าสัก ลำนารายณ์ ชัยบาดาล และวิเชียรบุรี
วิเชียรบุรี เอ่ยชื่อนี้ใครๆ ก็นึกถึง "ไก่" และตรงแยกนี้มีร้านขายไก่ หรือจุดพักรถให้คนเดินทางได้ฝากท้องกัน มีทั่งไก่ย่าง ส้มตำทอด และของขึ้นชื่ออีกหลายอย่าง ทำการบ้านมาแล้ว กระนั้นแล้วคณะเราก็อย่าได้พลาด สักครั้งเถอะ ไหนๆ ก็ผ่านมาแล้ว ลงจากรถกันก็เดินเข้าร้าน พบลูกค้าคราคร่ำดังมวลมหาประชาชนเขียนใบ order ทิ้งไว้ ต้องรออีกครึ่งชั่วโมงถึงจะได้กิน
ด้วยความหิวและต้องการเก็บเวลาไว้เดินทางตัดสินใจยกเลิกออเดอร์ "ไก่" แล้วเดินย้อนกลับมาอีกร้านที่ดูคนน้อยน่านั่ง แล้วก็สั่งอาหารตามที่ปรารถนา(อยาก) เพียงไม่กี่อย่าง แต่มันก็เป็นบทพิสูจน์ให้เราได้พบสัจธรรมอย่างหนึ่งว่า "สิ่งใดผ่านแล้วก็ให้ผ่านไป อย่าได้ย้อนกลับ"
จุดมุ่งหมายของเราในวันนี้อยู่ที่อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง จุดทำการหนองแม่นา อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ จากถนนสี่เลนค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเลนสวน และค่อยๆ ใต่ตามระดับความสูงของภูเขา บางช่วงก็เป็นสันเขา บรรยากาศสองข้างทางถึงจะมองได้ไม่เต็มตา เพราะมัวแต่เพ่งดูเส้นทางก็สัมผัสได้ถึงความสวยงาม โดยเฉพาะช่วงที่เป็นที่ตั้งของร้านกาแฟ "Feel khaokho" วิวสวยมาก เรียกได้ว่าสวยติดตา
คณะเดินทางของเราถึงที่ทำการอุทยานประมาณ 4 โมงกว่าๆ ใช้เวลาติดต่อหาที่กางเต็นท์ไม่นาน ไม่แน่ใจว่าเพราะเลยช่วงคนขึ้นเขาเข้าป่ามารับความหนาว หรือที่นี่นักท่องเที่ยวมาไม่เยอะเป็นปกติอยู่แล้ว นักท่องเที่ยวในวันนี้มีพออบอุ่น ซึ่งก็เป็นการดีที่ทุกอย่างพอแบ่งๆ กันใช้ไม่ต้องรอหรือรอคิวกัน
อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง สภาพโดยทั่วไป (ที่เห็นเอง) จะประกอบไปด้วยทุ่งหญ้าและป่าสน อากาศจึงไม่ได้ชื้นมากเหมือนป่าเขาใหญ่ บริเวณที่ทำการอุทยานจึงมีต้นสนและลานทุ่งหญ้าโล่งๆ มองไกลสุดลูกหูลูกตา
บรรยากาศก็เหมาะที่จะพาครอบครัว ลูกเล็ก (สำหรับคนที่มี) มาพักผ่อน เพราะมีที่ให้วิ่งเลน ทำอาหารกินกัน สำหรับคนที่ไม่มีอุปกรณ์ปิ้ง หรือเตาไฟ จะมีให้เช่าพร้อมถ่าน ส่วนใครจะเตรียมแก๊สกระป๋องพกไปก็ไม่ว่า แต่ "ห้ามก่อไฟบนพื้นโดยไม่มีเตารอง"
จุดท่องเที่ยวในอุทยานทุ่งแสลงหลวงมีเพียง 3-4 จุด ได้แก่ จุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ลานดุสิตา ชมสน 2 ใบที่ทุ่งนางพญาเมืองเลน ทุ่งเนินสนจะมีดอกไม้ป่าหลายชนิด แต่ต้องใช้เวลาเดินเท้าประมาณ 2-3 วันและต้องมาช่วงตุลาคม-พฤศจิกายน และอีกจุดคือแก่งน้ำเย็น
จุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจในอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง ที่ใครๆ ถวิลหาจะไปก็คือทุ่งสนสองใบที่ "ทุ่งนางพญาเมืองเลน" เมื่อก่อนจะเป็นจุดกางเต็นท์อีกจุดในอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง ระยะหลังไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวกางเต็นท์ เพราะเวลากลางคืนมีสัตว์ป่าออกมาหากินจึงอาจเกิดอันตรายกับนักท่องเที่ยวได้
การเดินทางไปยังทุ่งนางพญาก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ สำหรับรถเก๋ง เพราะทางขึ้นทุ่งนางพญาเป็นถนนลูกรังตลอด 14 กิโลเมตร และบางช่วงผิวทางขรุขระ ซึ่งเหมาะกับรถยนต์ยกสูงมากกว่า แต่ถ้าตัวไปถึงอุทยานแล้วแต่ใจล้ำไปถึงทุ่งนางพญา ให้แจ้งเจ้าหน้าที่อุทยานติดต่อรถนำเที่ยวได้ราคาเหมาคันละ 1,000 บาท หรือใครพกใจไปมากกว่านั้น มีจักรยานให้เช่าปั่นไปด้วย
เราติดต่อให้รถมารับที่ทำการอุทยานตอนตีห้าครึ่งเพื่อขึ้นไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ลานดุสิตา หรือจุดชมวิว รอจนเกือบแปดโมง บังเอิญเมื่อคืนพระอาทิตย์ไปฉลองวาเลนไทน์ดึก เช้านี้เลยมาสายมาก มาแล้วผลุบๆ โผล่ๆ มีเมฆมีหมอกบัง
เพราะเป็นช่วงปลายฤดูตามเข้าใจของผม หมอกจึงมีมาให้เห็นแบบบางๆ พอได้รู้ว่า "ฉันมาแล้ว" แต่มาน้อยก็เเพิ่มความงามให้ต้นไม้ และทุ่งหญ้าสะวันนาได้เป็นอย่างดี เห็นเป็นกิ่งเป็นพุ่มชัดขึ้น แสงแดดอ่อนๆ ทำให้อุณหภูมิที่ไม่ได้หนาวมาก เริ่มมีความอบอุ่นขึ้นตามลำดับ
เพราะพระอาทิตย์ยังไม่สร่างจากการเฉลิมฉลอง เราจึงอยู่กับพระอาทิตย์ตรงนี้ไม่นาน แล้วขึ้นไปทุ่งนางพญากัน ระหว่างไปทุ่งนางพญาจะผ่านป่าดิบทึบเป็นบางช่วง และป่าสน สลับกับทุ่งหญ้า ช่วงที่เป็นป่าทึบถ้าโชคดีจะมีสัตว์ป่าให้เห็น วันที่พวกเราไป มีไก่ป่ามาวิ่งเล่นตัดหน้ารถให้เห็น
ขณะนั่ง เดิน กินลม ชมสน เราเริ่มมองหาจุดหมายต่อไปเฉกเช่นนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นๆ ที่ส่วนใหญ่จะมาค้างคืนที่นี่เพียงคืนเดียวแล้วไปเที่ยวที่อื่นกันต่อ บางคนไปต่อกันที่ อุทยานแห่งชาติน้ำหนาว ภูทับเบิก แต่สำหรับคณะเราทริปนี้ใจไม่ถึง "ภูทับเบิก" เลยไม่ได้ขึ้นไป
เลยขอเตร็ดเตร่เขาค้อก่อนแล้วกัน หลังจากเก็บสัมภาระเสร็จ ออกจากที่ทำการอุทยานทุ่งแสลงหลวงเกือบๆ 10 โมง ตั้งเป้าหมายไว้ที่ วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว
ระหว่างทางยังมีสถานที่ท่องเที่ยวให้เราเก็บพอยท์ เช่น น้ำตกศรีดิษฐ์ ไร่บีเอ็น แทนรักทะเลหมอก และพอถึงแยกแคมป์สน เลี้ยวซ้ายขึ้นถนนสาย 12 ขับไปประมาณ 3 กิโลเมตรก็จะถึงที่ชิลล์เอาท์ของเขาค้ออีกที่อย่าง Route 12
หาเครื่องดื่มเย็นๆ ถ่ายรูปกับสถานที่สวยๆ จนสาสมแก่ใจ ได้เวลาเดินทางต่อไปจุดหมายที่ตั้งใจก่อนการเดินทาง คือ พระธาตุผาซ่อนแก้ว โดยขับบนถนนสาย 12 ย้อนกลับมาทางแคมป์สน แล้วตรงไปผ่านวัดหนองไผ่ จะมีทางเข้าวัดหลายทาง เราเลือกเข้าทางที่ 3 ของจำนวนทางเข้าที่มีป้ายบอกซึ่งจะเข้าไปด้านหลังของวัด
วัดนี้ตั้งอยู่บนบริเวณเนินเขาในหมู่บ้านทางแดง สามารถชมทิวทัศน์ได้รอบด้าน
เมื่อเดินชมความงามภายในวัดทั่วทุกมุมแล้ว ภารกิจสำคัญของผมก็โผล่เข้ามาในความคิด และต้องการที่จะทำให้สำเร็จคือ การตามหาที่มาของการถ่ายภาพวัดในมุมกว้าง ที่ด้านหลังเป็นภูเขาสลับซับซ้อนเป็นทิวๆ จึงต้องขับรถลงเขา ขึ้นเขาไปอีกทางกับทางที่ขึ้นมาวัด แต่ก็หามุมนั้นไม่เจอ
การหามุมถ่ายภาพมุมนี้ทำให้ต้องขับรถไต่เขาสูงขึ้นไป และลงเพื่อจะออกไปยังถนนสาย 12 ไปที่แยกแคมป์สน การขึ้นที่สูงมันทำให้ได้เห็นทัศนียภาพที่หาชมได้ยาก
พื้นที่บนไหล่เขาสูงได้มีการเตรียมปลูกสร้างเป็นพักผ่อน และพักแรม ตลอดจนจุดชมวิวไว้ต้อนรับผู้มาเยือน
เรานั่งเกร็งขาในรถเพราะทางลาดและโค้งลงจากเขาสักพักใหญ่ๆ ก็มาถึงถนนสาย 12 เวลาในขณะนั้นเกือบๆ 5 โมงเย็น กับทริปที่ไม่ได้จองที่พักไว้ และไม่ได้วางแผนว่าจะนอนที่ไหน เวลาที่เหลือของสมาชิกเลยใช้เวลากับการหาที่กางเต้นท์ เพราะไม่อยากสู้ราคาซื้อความสบายเพียง 1 คืนกับค่าผ่อนรถ, ผ่อนบ้าน 1 เดือนได้ ^^
จนในที่สุดสมาชิกก็หาจุดชมวิวและที่กางเต็นท์ที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในเขาค้อได้ นั้นก็คือ ปณ.เขาค้อ
นอนเขาค้ออายุยืนเพิ่มอีก 1 ปี จะจริงหรือไม่ต้องไปลองเอง