แชร์ประสบการณ์ ท่องเที่ยวงานวิ่ง อบต. แม่สอดที่ไม่ใช่ส่วนตำบลแต่เป็นส่วนอินเตอร์ไปซะแล้ว

ขออนุญาตออกตัวว่าเป็นนักวิ่งหน้าใหม่ ที่ไม่ใช่แนวหน้าแต่เป็นแนวครึ่งบกครึ่งน้ำปกติเป็นคนเล่นเวท Cardio วิ่งบน Trademill บ้าง
45 นาที- 1 ชั่วโมงเป็นประจำเลยคิดว่ากล้ามเนื้อแข็งแรงแบบเรา ไปวิ่งแค่ 10 โล ใครก็ทำได้

งานแรกในชีวิต คือ Run for life วันที่ 20 ตุลาคม 2556 ซึ่งชนกับงานใหญ่ Amari Midnight Run สถิติการวิ่ง 10 โลครั้งแรก คือ 1 ชั่วโมง11นาที แต่หลังวิ่งกลับบ้านมา ถึงกับกินยาแก้ปวดสลบกันไปเลยทีเดียว แถมตึงขาไปถึงอีกวันนึง... ส่วนการฝึกซ้อมก็วิ่งบนเครื่องเหมือนเดิม แล้วก็มีพี่สาวขาแรงนักวิ่งมาราธอนมาบอกว่า "ถ้าคิดจะวิ่งจริงจัง อย่าวิ่งลู่เลย มันไม่ได้อะไรหรอกน้อง ถ้าอยากวิ่งต้องวิ่งพื้น..." ทำให้หันมาวิ่งตามสวนรถไฟ สวนลุม และ สนามกีฬาหลังจากนั้นก็เริ่มเข้ากลุม Crazy เสื้อส้ม และทุกการแข่งขันเวลาก็ดีขึ้นเรื่อยๆ โดยแบ่งวันออกกำลังคือ ซ้อมวิ่งเช้า อังคาร พฤหัส เสาร์ เล่นเวทเช้า จันทร์ พุธ ศุกร์ และเล่นโยคะช่วงเย็นบางวัน วิ่งไปวิ่งมาก็อยากจะได้ถ้วยกับเค้าบ้าง ก็มีผู้ใหญ่ใจดีคนนึงแนะนำว่าถ้าอยากได้ถ้วยให้ลองออกงานต่างจังหวัด หรือ ไปงานตามชานเมืองที่มีการจัดชนกับงานใหญ่ ก็มีสิทธิ์จะติดถ้วยเพราะมีการกระจายกำลังของขาแรง จึงเป็นที่มาของเรื่องราวในวันนี้
เมื่อสองอาทิตย์ที่แล้ว ได้ไปวิ่ง Half แรกวิ่งมหัศจรรย์เมืองสามอ่าว จังหวัดประจวบ จบไปด้วยเวลาประมาณ 2.15 สำหรับ Half ครั้งแรก ก็ยังติดถ้วยที่ 4 มา ในรุ่น อายุ 30-39 ปี แต่เกิดอาการพองที่ฝ่าเท้า เป็นบริเวณกว้าง ยังไม่ค่อยหายดี และอาทิตย์ที่ผ่านมาก็ลงสนามที่อยากเล่าให้ฟัง

งานวิ่งสู่ชีวิตใหม่ นครแม่สอดมินิมาราธอนครั้งที่ 8

มีการวางแผนล่วงหน้าตั้งแต่ช่วงเดือนมกราคมเพราะเห็นว่าจุดแข่งขัน ไม่ไกลจากสนามบินแม่สอด แถมมีที่พักอย่างดีในราคาแค่ 500 ใกล้จุดปล่อยตัว
เลยซื้อตั๋วนกแอร์บินตรงลงแม่สอด เป็น Project บินเดี่ยว ล่าถ้วย แบบสวยๆ คนเดียว
ออกจากดอนเมืองด้วยเที่ยวบิน DD 8120 ถึงแม่สอดเวลา 12.25 ก็นั่งรถตู้ราคา 150 ส่งถึงที่พัก แล้วเดินไปรับ BIB ประมาณห้าโมงเย็นที่สนามกีฬานเรศวร ตอนสมัครจึงค้นพบว่าความฝันสำหรับถ้วยมินิอาจต้องล่มสลายออกแนวเลือกงานผิดชีวิตเปลี่ยน เพราะแบ่ง Rank มินิ (หญิง) ระยะ 12 โล ที่ 20-39 ใจก็คิด "เอาแอนจี้ไปแข่งกับเด็ก 20 ทำไม?"

แถมยังมีการเกณฑ์คนขึ้นรถตู้มาสมัครจากชมรมต่างๆอีกเต็มไปหมด ก็ทำใจว่าถ้วยใบนี้เริ่มจะไม่ง่ายแล้วสินะ เลยเดินหงอยๆ ไปให้เด็กแถวนั้นถ่ายรูปตามธรรมเนียมการรับ BIB เด็กบอกว่าวันนี้มีถนนคนเดินถ้าหิวให้ลองไปเดินเล่นเพราะของกินของขายเยอะมาก ใจก็คิดถึงจะไม่ได้ถ้วย ได้เที่ยวก็ยังดี



ถนนคนเดินแม่สอด ดูๆ ก็เหมือนตลาดนัดยาวๆเส้นนึง ที่มีของกินแปลกๆเพียบ แต่ที่ประทับใจที่สุดคงเป็น เจ้าตัวนี้ ... ที่ขายรวมอยู่กับร้านขายแมลง

เขียดทอดนั่นเอง ... แอบซื้อมา 20 เอาไปกินกะเบียร์ตอนกลับห้อง แล้วก็มี ปลาหมึกย่าง ไส้กรอกแหนม และ อีกหลายอย่าง
กลับถึงห้องกินจนเบียร์หมด แถมนอนก็ไม่ค่อยหลับ เพราะตอนมาคิดว่าง่ายๆ จองตั๋ว จองที่พัก โดดลงเครื่อง เดินทางสบาย แต่ไม่ได้คิดถึงเวลาต้องนอนคนเดียว ก็แอบมีหลอนนิดๆ เผลอหลับไปตอน ตี 2 ครึ่ง นาฬิกาปลุก ตี 4 ครึ่ง ก็เริ่มไม่อยากลุก เลยลุกมากินข้าวต้มมัดตอนตี 5 อาบน้ำแต่งตัว แล้วถึงสนาม ตอน 5.45 ไปถึงก็ใจชื้นว่า ชมรมต่างๆส่วนใหญ่ รุ่นเด็กๆ ที่เกณฑ์มาลงสมัครวิ่งฟันรัน 5 กิโลเมตร ที่วิ่ง 12 กิโล ก็มีแต่แนวหน้ารุ่นใหญ่ที่ไม่ใช่รุ่นเรา ความหวังในการชิงถ้วยครั้งนี้ก็มีมากขึ้น แต่แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นฝรั่งกลุ่มนึงประมาณ 6-7 คน พอเห็นป้ายแล้วหัวใจแทบสลาย ลงรุ่นเดียวกันเลยนี่หว่า นี่ยังไม่รวมแนวหน้าที่ระดับท้องถิ่นทุกทีจะต้องมี เลยวางแผนจะวิ่งเกาะยัยแหม่มคนนี้ดู เกาะได้แค่ กิโลกว่าๆ ชีก็วิ่งห่างออกไปเรื่อยๆแบบสบายๆ ถึงจุดกลับตัวก็เห็น สองแหม่มก่อน แล้วเราน่าจะเป็นที่สามเลยวิ่งมาเรื่อย แล้วเริ่มมีอาการเจ็บข้อเท้า ที่กิโล 10 แรงเริ่มตก อาการตึงข้อเท้าเริ่มลามมาน่อง เดาว่าคงเป็นเพราะ Half ที่แล้วยังฟื้นตัวได้ไม่ดีเพราะก่อนแข่งไม่เคยซ้อมถึงระยะ ก็ดันไปลง Half เฉยเลย ก็พยายามหันไปมองข้างหลังว่าไม่มีใครแซงแน่เลยผ่อนความเร็ว แล้วสปีดที่ 500 เมตรสุดท้ายเพราะอยากรู้ว่าเวลาที่เท่าไหร่ (วันนั้นไม่ได้พกมือถือหรือนาฬิกาไปเลย ) ปกติจะวิ่งตามยถากรรม
ถึงเส้นชัยด้วยเวลา 1 ชั่วโมง 15 นาที เลยขอถ่ายภาพกับ 5 อันดับซักหน่อย
ที่ 1 เป็นคน อเมริกัน จบที่ 1.04
ที่ 2 Norway 1.08
ที่ 3 ขาแรงท้องถิ่น 1.10 และ
ที่ 4 แอนจี้เองด้วยเวลา 1.15


ตอนขอถ่ายรุป ถึงได้รู้ว่าพี่คนที่เข้าก่อนแกเป็นใบ้เห็น แกมายกนิ้วให้ แล้วพูดอิ๊อ๊ะใส่ มีใช้ภาษามือกับผู้ชายอีกคนนึง มาทราบภายหลังว่าเป็นสามีแกที่เป็นใบ้เหมือนกัน ช่วงเข้าเฟรมพี่ที่ได้ที่ 3 ก็ดู งง งง ทำท่าเหมือนไม่อยากถ่ายรูป เราก็คิดไปว่า "แกคงเขินฝรั่งมั้งไม่ก็เห็นมีแต่คนสวยๆ (มโนเข้าข้างตัวเอง)" จนสามีแกก็ดึงๆลากๆแกมาเข้าเฟรมจนถึงเวลารับรางวัล เราได้ที่ 4 เดินตามหลังขึ้นรับถ้วย ก็เห็นแกเกาะแขนสามีเดินขึ้นบันไดไม่สะดวกนัก เลยคิดว่าเก่งเนอะ ขาแกคงเจ็บยังวิ่งจนจบ แต่ที่ไหนได้ พี่เค้าตาบอดแบบลางๆ ที่วิ่งเข้าเส้นชัยคือ เค้าวิ่งเกาะแขนสามีแกมาตลอดทางแล้ววิ่งเข้าเส้นชัยมาด้วยกัน ด้วยเวลาประมาณ 1.10 ดิฉันถึงกับเงิบ ว่าคนตาดีอย่างเราวิ่งสู้คนตา Blind ไม่ได้เหรอเนี่ย

คุณพระ! ชีเป็นไอดอล มันทำให้รู้สึกทันทีว่า คนอื่นที่เค้าด้อยกว่า เค้าเก่งกว่าเพราะอะไร ...เพราะเค้ามีความตั้งใจ ถึงแม้ร่างกายเค้าจะไม่เอื้อ ถึงตาเค้าจะมืดบอดแต่จิตใจของเค้าจดจ่ออยู่กับความเร็วในทุกย่างก้าวของเค้า เค้าไม่มีโอกาสเห็นคู่ต่อสู้ ไม่มีโอกาสรู้ว่าตัวเองวิ่งที่ความเร็วเท่าไหร่ พี่เค้าคงรู้แค่ว่าเค้าต้องวิ่งไปข้างหน้า และที่สำคัญ เธอวิ่งได้ดีกว่าแอนจี้ที่ครบ 32 แถมยังมีรองเท้าคู่เฉียดหมื่นเป็นรองเท้าคู่ใจ ก่อนที่จะเขียนกระทู้นี้ขึ้นมา ก็คิดเหมือนกันว่าเราวิ่งแพ้คนตาบอด ... ใครๆอาจจะว่าถ้วยของเราเป็นถ้วยกระจอกๆ
แต่ก็ตัดสินใจเขียนเพราะมันเป็นอะไรที่ประทับใจแล้วเชื่อมั่นว่าเราจะพัฒนาได้อีก จะต้องมีซักวันที่เราจะได้ถ้วยที่เหมาะสมกับเรา
บอกเลยว่าถ้ามีงานที่แม่สอดอีกเมื่อไหร่ ได้เจอกันแน่นอนค่ะ



แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่