เราทุกคน มีส่วนเกี่ยวข้องหรือได้รับผลผลิตจากสถาบันศาสนา
ผมขอใช้คำว่าสถาบันศาสนา ไม่ใช่หลักการศาสนานะครับ
มุสลิมบางส่วนที่โดดเดี่ยวตัวเองมองพุทธแปลกแยก
มักมีพื้นฐานมาจาก การตีความคำว่า "กาเฟร" ที่หนาและ บางต่างกันไป
ในขณะที่ การเมืองไทย ก็หนีไม่พ้นผลผลิตข้อนี้
ผมมองว่า ปัญหาของสังคมไทย เกิดจาก พื้นฐาน การตีความคำสอน เรื่อง "บัวสี่เหล่า" ของสถาบันศาสนา
ที่น่าสนใจคือการตีความ เรื่องบัวสี่เหล่าของสังคมไทย ไม่ได้มุ่งเน้นไปเรื่องของการพัฒนาปัจเจกวิถี
แต่เป็น การมุ่งเม้นไปเชิงเหยียด และ แบ่งชนชั้นวรรณะ เพื่อควบคุมปกครองเสียมากกว่า
ผมค่อนข้างมั่นใจ จากการวิวาทะในเชิงศาสนา และการเมือง บ่อยครั้งที่ หลักการนี้ถูกยกมาใช้ต่างกรรมต่างวาระ
เพื่อชูว่าตัวเองเป็นชนชั้นนำ แม้แต่คนขับแท๊กซี่กรุงเทพ ที่ใช้มองคนชนบท ก็ยกประเด็นนี้ขึ้นมา
ปัญหาที่เจอบ่อยที่สุดคือ การนึกคิดเอาว่า ตัวเราหรือ พวกเรานั้น เป็นบัวเหล่าที่ 4
และ ด้วยการมุ่งเน้นประเด็นนี้อย่างฝังราก ทำให้ผมมองว่า ประชาธิปไตยแบบไทยนั้นไม่สามารถ
สร้างพื้นฐานความเท่าเที่ยมได้เลย
โดยส่วนตัวผมเชื่อว่า เรื่องบัวสี่เหล่านี้เป็นคำสอนในเชิงพัฒนาปัจเจกวิถี
ไม่ใช่ให้บุคคลนำมาใช้ตัดสินบุคคลด้วยกัน
เราทุกคนต่างเป็นบัวส่วนจะเติบโตได้แค่ไหน เราก็ยังล้วนเป็นบัว เช่นเดียวกัน
ความรุ้เรื่องบัวสี่เหล่า ไม่ได้มีไว้เพื่อตัดสิน คนอื่นๆ แต่มีไว้เพื่อพิจารณา จิตใจของเราเอง
ที่สำคัญที่สุด พระพุทธเจ้าเป็นบุคคลหนึ่งที่ทำลายชนชั้นวรรณะ
การเอาคำสอนของท่านมาสร้างชนชั้นวรรณะ ด้วยการคิดเอาเอง เป็นเรื่องที่ย้อนแย้งสิ้นดีจริงๆ
สุดท้ายสิ่งที่เป็นสัจจะในเรื่องบัวสี่เหล่านั้นคือไม่ว่าจะเป็นบัวเหล่าไหน ทุกเหล่าก็ล้วนเป็นสิ่งเดียวกันนั่นคือ เป็น "บัว" เช่นเดียวกัน
"กาเฟร" "บัวสี่เหล่า" ต้นตอ อคตินิยมของสังคมไทย กับการเมือง
ผมขอใช้คำว่าสถาบันศาสนา ไม่ใช่หลักการศาสนานะครับ
มุสลิมบางส่วนที่โดดเดี่ยวตัวเองมองพุทธแปลกแยก
มักมีพื้นฐานมาจาก การตีความคำว่า "กาเฟร" ที่หนาและ บางต่างกันไป
ในขณะที่ การเมืองไทย ก็หนีไม่พ้นผลผลิตข้อนี้
ผมมองว่า ปัญหาของสังคมไทย เกิดจาก พื้นฐาน การตีความคำสอน เรื่อง "บัวสี่เหล่า" ของสถาบันศาสนา
ที่น่าสนใจคือการตีความ เรื่องบัวสี่เหล่าของสังคมไทย ไม่ได้มุ่งเน้นไปเรื่องของการพัฒนาปัจเจกวิถี
แต่เป็น การมุ่งเม้นไปเชิงเหยียด และ แบ่งชนชั้นวรรณะ เพื่อควบคุมปกครองเสียมากกว่า
ผมค่อนข้างมั่นใจ จากการวิวาทะในเชิงศาสนา และการเมือง บ่อยครั้งที่ หลักการนี้ถูกยกมาใช้ต่างกรรมต่างวาระ
เพื่อชูว่าตัวเองเป็นชนชั้นนำ แม้แต่คนขับแท๊กซี่กรุงเทพ ที่ใช้มองคนชนบท ก็ยกประเด็นนี้ขึ้นมา
ปัญหาที่เจอบ่อยที่สุดคือ การนึกคิดเอาว่า ตัวเราหรือ พวกเรานั้น เป็นบัวเหล่าที่ 4
และ ด้วยการมุ่งเน้นประเด็นนี้อย่างฝังราก ทำให้ผมมองว่า ประชาธิปไตยแบบไทยนั้นไม่สามารถ
สร้างพื้นฐานความเท่าเที่ยมได้เลย
โดยส่วนตัวผมเชื่อว่า เรื่องบัวสี่เหล่านี้เป็นคำสอนในเชิงพัฒนาปัจเจกวิถี
ไม่ใช่ให้บุคคลนำมาใช้ตัดสินบุคคลด้วยกัน
เราทุกคนต่างเป็นบัวส่วนจะเติบโตได้แค่ไหน เราก็ยังล้วนเป็นบัว เช่นเดียวกัน
ความรุ้เรื่องบัวสี่เหล่า ไม่ได้มีไว้เพื่อตัดสิน คนอื่นๆ แต่มีไว้เพื่อพิจารณา จิตใจของเราเอง
ที่สำคัญที่สุด พระพุทธเจ้าเป็นบุคคลหนึ่งที่ทำลายชนชั้นวรรณะ
การเอาคำสอนของท่านมาสร้างชนชั้นวรรณะ ด้วยการคิดเอาเอง เป็นเรื่องที่ย้อนแย้งสิ้นดีจริงๆ
สุดท้ายสิ่งที่เป็นสัจจะในเรื่องบัวสี่เหล่านั้นคือไม่ว่าจะเป็นบัวเหล่าไหน ทุกเหล่าก็ล้วนเป็นสิ่งเดียวกันนั่นคือ เป็น "บัว" เช่นเดียวกัน