"ความหมายของศาสนา"
ศาสนาแบ่งแยกสังคม. ให้เกิดสังคมคนนับถือศาสนาหนึ่ง. กับคนไม่ได้นับถือศาสนานั้นๆ. การแบ่งแยกนั้นทำให้เกิดการหวาดระแวงกัน. เกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย. แบ่งคนดีงาม(ตามหลักศาสนา)และแบ่งคนบาปชั่ว(ตามหลักศาสนา).
ศาสนาแบ่งชนชั้นวรรณะ. โดยอ้างอิงถึงกฏหมายศาสนาเห็นหลัก. คนประพฤติเยอะกว่าเป็นผู้นำ. คนประพฤติน้อยกว่าเป็นสาวก. คนปฏิบัตินานกว่าคือนายทาส. คนปฏิบัตน้อยกว่าคือทาส. คนเป็นผู้นำนายทาสสามารถสั่งการสาวกทาสได้.
ศาสนาปราศจากความรัก. ศาสนาปราศจากเสรีภาพ. ศาสนาปราศจากความยุติธรรมอย่างเท่าเทียม.
เพราะคำสอนศาสนาสอนให้กลัวเมื่อกลัวก็ไม่มีความรักแล้ว.
เพราะคำสอนศาสนาขู่กรรโชกด้วยกฏเมื่อบังคับก็ไม่มีเสรีภาพแล้ว.
เพราะคำสอนศาสนามีวรรณะเมื่อมีชนชั้นก็ไม่มีความยุติธรรมแล้ว.
...
แท้จริงความเชื่อหรือศรัทธาในธรรมะพระผู้สร้าง(นามต่างๆ). เป็นศรัทธาแบบปัจเจก. คือหนึ่งคนต่อธรรมะพระผู้สร้างที่อยู่ในจิตวิญญาณ(โซล)ของเขา. หาใช่การนับถือด้วยคนหมู่มากเป็นเกณฑ์.
ศาสดาของผู้นำศาสนาแต่ละศาสนา. ไม่เคยสร้างศาสนา. และพวกเขาทั้งหมดไม่ได้นับถือศาสนา. และตัวศาสดาเองก็ไม่เคยนำเสนอตัวเองเป็นศาสดา. แค่ผู้นับถือยกย่องพวกเขาเท่านั้น.
เมื่อเริ่มต้นที่เหล่าศาสดานั้นบอกเล่า"จุดเริ่มต้น". ทุกศาสดาย่อมต้องถูกต่อต้านจากศาสนาก่อนหน้านั้น. ว่าเป็นคนคิดคดต่อระบบศาสนาในห้วงเวลานั้น.
และทุกศาสดาไม่ได้นับถือศาสนาของตัวเอง. เพราะในห้วงเวลานั้นๆศาสนาที่ตัวเองเป็นศาสดานั้น. ยังมิได้รับการสถานปนาขึ้นมาในห้วงเวลาแห่งชีวิตศาสดานั้นๆ.
ถ้าไทม์ไลน์ง่ายๆแค่นี้. ผู้ใดยังจับทางมิได้. ผู้นั้นก็เป็นผู้นับถือศาสนาแต่เปลือก100%
ความหมายของศาสนา
ศาสนาแบ่งแยกสังคม. ให้เกิดสังคมคนนับถือศาสนาหนึ่ง. กับคนไม่ได้นับถือศาสนานั้นๆ. การแบ่งแยกนั้นทำให้เกิดการหวาดระแวงกัน. เกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย. แบ่งคนดีงาม(ตามหลักศาสนา)และแบ่งคนบาปชั่ว(ตามหลักศาสนา).
ศาสนาแบ่งชนชั้นวรรณะ. โดยอ้างอิงถึงกฏหมายศาสนาเห็นหลัก. คนประพฤติเยอะกว่าเป็นผู้นำ. คนประพฤติน้อยกว่าเป็นสาวก. คนปฏิบัตินานกว่าคือนายทาส. คนปฏิบัตน้อยกว่าคือทาส. คนเป็นผู้นำนายทาสสามารถสั่งการสาวกทาสได้.
ศาสนาปราศจากความรัก. ศาสนาปราศจากเสรีภาพ. ศาสนาปราศจากความยุติธรรมอย่างเท่าเทียม.
เพราะคำสอนศาสนาสอนให้กลัวเมื่อกลัวก็ไม่มีความรักแล้ว.
เพราะคำสอนศาสนาขู่กรรโชกด้วยกฏเมื่อบังคับก็ไม่มีเสรีภาพแล้ว.
เพราะคำสอนศาสนามีวรรณะเมื่อมีชนชั้นก็ไม่มีความยุติธรรมแล้ว.
...
แท้จริงความเชื่อหรือศรัทธาในธรรมะพระผู้สร้าง(นามต่างๆ). เป็นศรัทธาแบบปัจเจก. คือหนึ่งคนต่อธรรมะพระผู้สร้างที่อยู่ในจิตวิญญาณ(โซล)ของเขา. หาใช่การนับถือด้วยคนหมู่มากเป็นเกณฑ์.
ศาสดาของผู้นำศาสนาแต่ละศาสนา. ไม่เคยสร้างศาสนา. และพวกเขาทั้งหมดไม่ได้นับถือศาสนา. และตัวศาสดาเองก็ไม่เคยนำเสนอตัวเองเป็นศาสดา. แค่ผู้นับถือยกย่องพวกเขาเท่านั้น.
เมื่อเริ่มต้นที่เหล่าศาสดานั้นบอกเล่า"จุดเริ่มต้น". ทุกศาสดาย่อมต้องถูกต่อต้านจากศาสนาก่อนหน้านั้น. ว่าเป็นคนคิดคดต่อระบบศาสนาในห้วงเวลานั้น.
และทุกศาสดาไม่ได้นับถือศาสนาของตัวเอง. เพราะในห้วงเวลานั้นๆศาสนาที่ตัวเองเป็นศาสดานั้น. ยังมิได้รับการสถานปนาขึ้นมาในห้วงเวลาแห่งชีวิตศาสดานั้นๆ.
ถ้าไทม์ไลน์ง่ายๆแค่นี้. ผู้ใดยังจับทางมิได้. ผู้นั้นก็เป็นผู้นับถือศาสนาแต่เปลือก100%