คราวนี้ตาสว่างกันรึยังล่ะ..ว่าทำไมต้องแก้ค่าภาคหลวงปิโตรเลี่ยม..น้ำมันมูลค่ามหาศาลเข้ากะเป๋านายทุนการเมืองสามานย์หมด...ปตท...ปู..ปึ้ง..เพ้ง..แม้ว..รวมหัวหลอกคนไทย!!..."เปิดหลักฐานขายชาติ! แม้วเอื้อ บ.เพื่อนในอาบูดาบี ฮุบแหล่งน้ำมันอ่าวไทย"..//** เปรียบเทียบคำอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อปี 56 อัดยิ่งลักษณ์เปิดทางพรรคพวกแม้วฮุบพลังงานอ่าวไทย ถึงวันนี้ “เพื่อนแม้ว” ประธานแมนฯซิตี้รับฮุบสัมปทานแหล่งน้ำมัน “นงเยาว์” ในอ่าวไทยที่มีปริมาณสำรองน้ำมันดิบมากกว่า 12 ล้านบาร์เรลจริง ผงาด ผู้ได้รับสัมปทานปิโตรเลียมอันดับ 3 ในไทย
เปรียบเทียบความจริงวันนี้ จากข้อมูลบริษัท “มูบาดาลา ปิโตรเลียม” ยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานในเครือมูบาดาลา หนึ่งในแขนขาด้านการลงทุนของแห่งอาบูดาบี ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ที่มีการยืนยันในวันอังคาร (14) ว่าบริษัทของตนได้รับไฟเขียวให้เข้าทำสัญญาพัฒนาแหล่งน้ำมัน “นงเยาว์” ที่ตั้งอยู่ในอ่าวไทย
ย้อนกลับไปดูข้อมูล และคลิปการอภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ของ นายสรรเสริญ สมะลาภา อดีต ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2556 ระบุว่า เป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ที่เอาผลประโยชน์ของชาติไปให้ ทักษิณ ชินวัตร เพื่อฮุบแหล่งน้ำมันและก๊าซในพื้นที่ทับซ้อน ไทย-กัมพูชา และเอื้อให้ นายนพดล ปัทมะ หลุดพ้นจากคดีเขาพระวิหาร
สอดคล้องกับข่าวระบุถึงคำแถลงของมูบาดาลา ปิโตรเลียม ซึ่งมีรัฐบาลอาบูดาบีเป็นเจ้าของระบุว่า บริษัทของตนพร้อมด้วยบริษัทพลังงาน “คริสเอ็นเนอร์จี” ซึ่งจดทะเบียนในประเทศสิงคโปร์ มีแผนเข้าพัฒนาแหล่งน้ำมันนงเยาว์ที่อยู่กลางอ่าวไทย โดยคาดว่าแหล่งน้ำมันดังกล่าวมีศักยภาพรองรับการผลิตน้ำมันได้มากถึง 15,000 บาร์เรลต่อวัน
ด้าน คัลดูน คาลิฟา อัล มูบารัค ซีอีโอของสโมสรฟุตบอล “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี ในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ซึ่งควบตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารของกลุ่มมูบาดาลาด้วย ออกมายอมรับว่า การผลิตน้ำมันในเชิงพาณิชย์จากแหล่งนงเยาว์กลางอ่าวไทยนี้ คาดว่าจะสามารถเริ่มต้นได้ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2015 หรือไม่เกินครึ่งปีแรกของปีดังกล่าวเป็นต้นไป อย่างไรก็ดี ซีอีโอของทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี รายนี้ ปฏิเสธที่จะเปิดเผยรายละเอียดใดๆ เกี่ยวกับมูลค่าของสัญญาสัมปทาน ที่ทางมูบาดาลาได้รับในการเข้าพัฒนาแหล่งน้ำมันดังกล่าวในไทย
รายงานข่าวระบุว่า บริษัทมูบาดาลาแห่งยูเออีจะเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ในสัดส่วนที่สูงถึง “75 เปอร์เซ็นต์” จากสัญญาสัมปทานการพัฒนาแหล่งน้ำมันนงเยาว์ในอ่าวไทย ขณะที่บริษัท คริส เอ็นเนอร์จี จากสิงคโปร์ที่เข้ามาเป็นหุ้นส่วนจะได้รับผลประโยชน์ 25 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือ ทั้งนี้ บริษัท มูบาดาลา ปิโตรเลียม ซึ่งมีการลงทุนใน 12 ประเทศได้เข้ามาดำเนินธุรกิจด้านพลังงานในประเทศไทยมาตั้งแต่ปี 2004 ถือเป็นผู้ได้รับสัมปทานปิโตรเลียม “รายใหญ่อันดับที่ 3” ในประเทศไทย
ในวันนั้น นายสรรเสริญ ระบุว่า จากการตรวจสอบข่าวสารในรอบหลายปีที่ผ่านมาพบว่ามีความเชื่อมโยงอย่างมีนัยสำคัญ เริ่มตั้งแต่ นายโมฮัมหมัด อัลฟาเอ็ด เจ้าของห้างสรรพสินค้าแฮร์รอดส์ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่ามีความสนิมสนมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ก่อตั้งแฮร์รอดส์ เอ็นเนอร์ยี (ประเทศไทย) เพื่อรับสัมปทานขุดเจาะน้ำมัน ก๊าซ ร่วมกับบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ ปตท.สผ.เมื่อปี 2541 ต่อมาในปี 2547 บริษัท เพิร์ล เอ็นเนอร์ยี่ ซื้อกิจการ แฮร์รอดส์ เอ็นเนอร์ยี และเปลี่ยนชื่อเป็นเพิร์ลออย (ประเทศไทย) จากนั้นในปี 2551 บริษัทลงทุนของรัฐบาลอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ชื่อ มูบาดาลา เข้ามาซื้อกิจการของบริษัท เพิร์ลเอ็นเนอร์ยี่ ซึ่งในปีเดียวกันนั้น พล.อ.เตีย บัญ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ได้ให้สัมภาษณ์ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะลงทุนในธุรกิจพลังงาน และพบอีกว่าบริษัท เพิร์ลออย (ประเทศไทย) ได้ย้ายสำนักงานจากไทยพาณิชย์ปาร์ค พลาซา ไปอยู่อาคารชินวัตร 3
ส.ส.กทม.อภิปรายว่า บริษัท มูบาดาลา มีผู้บริหารระดับสูงชื่อ ชีค โมฮัมหมัด บินซาเยด อัล นาร์ยาน และเป็นพี่ชายของ ชีค มานซูร์ บิน ซาเยด อัลนาห์ยาน ที่เข้าซื้อกิจการสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี จาก พ.ต.ท.ทักษิณ ในราคาประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ทั้งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ซื้อกิจการมาในราคาเพียง 5 พันล้านบาทเท่านั้น ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่มีต่อกลุ่มธุรกิจพลังงาน
ขณะที่ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ต่างประเทศ กับ นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รมว.พลังงาน ก็ออกมาปฏิเสธเรื่องนี้ แต่การที่ คัลดูน คาลิฟา อัล มูบารัค ซีอีโอของกลุ่มมูบาดาลาออกมายืนยันล่าสุดว่าบริษัทของตนได้รับไฟเขียวให้เข้าทำสัญญาพัฒนาแหล่งน้ำมัน “นงเยาว์” ที่ตั้งอยู่ในอ่าวไทย
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 14 พ.ย. 2555 นายณอคุณ สิทธิพงศ์ ปลัดกระทรวงพลังงานในฐานะคณะกรรมการปิโตรเลียมในเวลานั้น ได้ออกมาเปิดเผยว่า คณะกรรมการปิโตรเลียมได้มีการอนุมัติพื้นที่ผลิตปิโตรเลียมแหล่งนงเยาว์ ตามข้อเสนอของกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ซึ่งได้วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อประเมินศักยภาพของแหล่ง โดยมีการศึกษาทั้งทางด้านธรณีวิทยา ธรณีฟิสิกส์ ข้อมูลหลุมเจาะปิโตรเลียม และปริมาณสำรอง รวมถึงการวิเคราะห์แผนการผลิตและเศรษฐกิจปิโตรเลียม โดยคาดว่ามีจะพัฒนาเป็นแหล่งปิโตรเลียมเพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ
ทั้งนี้ แหล่งนงเยาว์ ของบริษัท เพิร์ล ออยล์ บางกอก จำกัด อยู่ในแปลงสำรวจ G11/48 ในอ่าวไทยได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการปิโตรเลียมอนุมัติให้เป็นพื้นที่ผลิตปิโตรเลียมรวม 23.18 ตารางกิโลเมตร คาดว่ามีปริมาณสำรองน้ำมันดิบประมาณ 12.3 ล้านบาร์เรล เริ่มผลิตในปี 2557 โดยมีอัตราผลิตน้ำมันดิบสูงสุดประมาณ 6,400 บาร์เรลต่อวัน บริษัทมีการลงทุนเป็นเงินประมาณ 18,370 ล้านบาท รัฐได้รับผลประโยชน์ประมาณ 8,463 ล้านบาท บริษัทจะได้รับผลตอบแทนหลังหักเงินลงทุนประมาณ 5,673 ล้านบาท
**เพิ่มเติม.."ฮือฮา! บริษัทน้ำมันอาบู ดาบี นำโดย “CEO ทีมแมนฯซิตี” จับมือนักลงทุนสิงคโปร์ คว้าสิทธิ์พัฒนาแหล่งน้ำมัน “นงเยาว์” กลางอ่าวไทย"..//**เอเจนซีส์/ บริษัท “มูบาดาลา ปิโตรเลียม” ยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานในเครือ “มูบาดาลา กรุ๊ป” ที่เป็นหนึ่งในแขนขาด้านการลงทุนของรัฐอาบู ดาบี ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ยืนยันในวันอังคาร (14) ว่าบริษัทของตนได้รับไฟเขียวให้เข้าทำสัญญาพัฒนาแหล่งน้ำมัน “นงเยาว์” ที่ตั้งอยู่ในอ่าวไทย
คำแถลงของมูบาดาลา ปิโตรเลียม ซึ่งมีรัฐบาลอาบู ดาบีเป็นเจ้าของ ระบุว่า บริษัทของตนพร้อมด้วยบริษัทพลังงาน “คริสเอ็นเนอร์จี” ซึ่งจดทะเบียนในประเทศสิงคโปร์ มีแผนเข้าพัฒนาแหล่งน้ำมันนงเยาว์ที่อยู่กลางอ่าวไทย โดยคาดว่าแหล่งน้ำมันดังกล่าวมีศักยภาพรองรับการผลิตน้ำมันได้มากถึง 15,000 บาร์เรลต่อวัน
ด้าน คัลดูน คาลิฟา อัล มูบารัค ซีอีโอของสโมสรฟุตบอล “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี ในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ซึ่งควบตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารของกลุ่มมูบาดาลาด้วย ออกมายอมรับว่า การผลิตน้ำมันในเชิงพาณิชย์จากแหล่งนงเยาว์กลางอ่าวไทยนี้ คาดว่าจะสามารถเริ่มต้นได้ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2015 หรือไม่เกินครึ่งปีแรกของปีดังกล่าวเป็นต้นไป
อย่างไรก็ดี ซีอีโอของทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี รายนี้ ปฏิเสธที่จะเปิดเผยรายละเอียดใดๆ เกี่ยวกับมูลค่าของสัญญาสัมปทาน ที่ทางมูบาดาลาได้รับในการเข้าพัฒนาแหล่งน้ำมันดังกล่าวในไทย
รายงานข่าวระบุว่า บริษัท มูบาดาลาแห่งยูเออี จะเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ในสัดส่วนที่สูงถึง “75 เปอร์เซ็นต์” จากสัญญาสัมปทานการพัฒนาแหล่งน้ำมันนงเยาว์ในอ่าวไทย ขณะที่บริษัท คริส เอ็นเนอร์จี จากสิงคโปร์ที่เข้ามาเป็นหุ้นส่วนจะได้รับผลประโยชน์ 25 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือ
ทั้งนี้ บริษัท มูบาดาลา ปิโตรเลียมซึ่งมีการลงทุนใน 12 ประเทศได้เข้ามาดำเนินธุรกิจด้านพลังงานในประเทศไทยมาตั้งแต่ปี 2004 ถือเป็นผู้ได้รับสัมปทานปิโตรเลียม “รายใหญ่อันดับที่ 3” ในประเทศไทย
ทุจริตพลังงาน ครานี้ตาสว่างกันรึยัง..ว่าทำไมต้องแก้ค่าภาคหลวงปิโตรเลี่ยม (เสื้อแดงนี้เรอะประชาธิปไตย)
คราวนี้ตาสว่างกันรึยังล่ะ..ว่าทำไมต้องแก้ค่าภาคหลวงปิโตรเลี่ยม..น้ำมันมูลค่ามหาศาลเข้ากะเป๋านายทุนการเมืองสามานย์หมด...ปตท...ปู..ปึ้ง..เพ้ง..แม้ว..รวมหัวหลอกคนไทย!!..."เปิดหลักฐานขายชาติ! แม้วเอื้อ บ.เพื่อนในอาบูดาบี ฮุบแหล่งน้ำมันอ่าวไทย"..//** เปรียบเทียบคำอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อปี 56 อัดยิ่งลักษณ์เปิดทางพรรคพวกแม้วฮุบพลังงานอ่าวไทย ถึงวันนี้ “เพื่อนแม้ว” ประธานแมนฯซิตี้รับฮุบสัมปทานแหล่งน้ำมัน “นงเยาว์” ในอ่าวไทยที่มีปริมาณสำรองน้ำมันดิบมากกว่า 12 ล้านบาร์เรลจริง ผงาด ผู้ได้รับสัมปทานปิโตรเลียมอันดับ 3 ในไทย
เปรียบเทียบความจริงวันนี้ จากข้อมูลบริษัท “มูบาดาลา ปิโตรเลียม” ยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานในเครือมูบาดาลา หนึ่งในแขนขาด้านการลงทุนของแห่งอาบูดาบี ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ที่มีการยืนยันในวันอังคาร (14) ว่าบริษัทของตนได้รับไฟเขียวให้เข้าทำสัญญาพัฒนาแหล่งน้ำมัน “นงเยาว์” ที่ตั้งอยู่ในอ่าวไทย
ย้อนกลับไปดูข้อมูล และคลิปการอภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ของ นายสรรเสริญ สมะลาภา อดีต ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2556 ระบุว่า เป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ที่เอาผลประโยชน์ของชาติไปให้ ทักษิณ ชินวัตร เพื่อฮุบแหล่งน้ำมันและก๊าซในพื้นที่ทับซ้อน ไทย-กัมพูชา และเอื้อให้ นายนพดล ปัทมะ หลุดพ้นจากคดีเขาพระวิหาร
สอดคล้องกับข่าวระบุถึงคำแถลงของมูบาดาลา ปิโตรเลียม ซึ่งมีรัฐบาลอาบูดาบีเป็นเจ้าของระบุว่า บริษัทของตนพร้อมด้วยบริษัทพลังงาน “คริสเอ็นเนอร์จี” ซึ่งจดทะเบียนในประเทศสิงคโปร์ มีแผนเข้าพัฒนาแหล่งน้ำมันนงเยาว์ที่อยู่กลางอ่าวไทย โดยคาดว่าแหล่งน้ำมันดังกล่าวมีศักยภาพรองรับการผลิตน้ำมันได้มากถึง 15,000 บาร์เรลต่อวัน
ด้าน คัลดูน คาลิฟา อัล มูบารัค ซีอีโอของสโมสรฟุตบอล “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี ในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ซึ่งควบตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารของกลุ่มมูบาดาลาด้วย ออกมายอมรับว่า การผลิตน้ำมันในเชิงพาณิชย์จากแหล่งนงเยาว์กลางอ่าวไทยนี้ คาดว่าจะสามารถเริ่มต้นได้ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2015 หรือไม่เกินครึ่งปีแรกของปีดังกล่าวเป็นต้นไป อย่างไรก็ดี ซีอีโอของทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี รายนี้ ปฏิเสธที่จะเปิดเผยรายละเอียดใดๆ เกี่ยวกับมูลค่าของสัญญาสัมปทาน ที่ทางมูบาดาลาได้รับในการเข้าพัฒนาแหล่งน้ำมันดังกล่าวในไทย
รายงานข่าวระบุว่า บริษัทมูบาดาลาแห่งยูเออีจะเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ในสัดส่วนที่สูงถึง “75 เปอร์เซ็นต์” จากสัญญาสัมปทานการพัฒนาแหล่งน้ำมันนงเยาว์ในอ่าวไทย ขณะที่บริษัท คริส เอ็นเนอร์จี จากสิงคโปร์ที่เข้ามาเป็นหุ้นส่วนจะได้รับผลประโยชน์ 25 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือ ทั้งนี้ บริษัท มูบาดาลา ปิโตรเลียม ซึ่งมีการลงทุนใน 12 ประเทศได้เข้ามาดำเนินธุรกิจด้านพลังงานในประเทศไทยมาตั้งแต่ปี 2004 ถือเป็นผู้ได้รับสัมปทานปิโตรเลียม “รายใหญ่อันดับที่ 3” ในประเทศไทย
ในวันนั้น นายสรรเสริญ ระบุว่า จากการตรวจสอบข่าวสารในรอบหลายปีที่ผ่านมาพบว่ามีความเชื่อมโยงอย่างมีนัยสำคัญ เริ่มตั้งแต่ นายโมฮัมหมัด อัลฟาเอ็ด เจ้าของห้างสรรพสินค้าแฮร์รอดส์ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่ามีความสนิมสนมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ก่อตั้งแฮร์รอดส์ เอ็นเนอร์ยี (ประเทศไทย) เพื่อรับสัมปทานขุดเจาะน้ำมัน ก๊าซ ร่วมกับบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ ปตท.สผ.เมื่อปี 2541 ต่อมาในปี 2547 บริษัท เพิร์ล เอ็นเนอร์ยี่ ซื้อกิจการ แฮร์รอดส์ เอ็นเนอร์ยี และเปลี่ยนชื่อเป็นเพิร์ลออย (ประเทศไทย) จากนั้นในปี 2551 บริษัทลงทุนของรัฐบาลอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ชื่อ มูบาดาลา เข้ามาซื้อกิจการของบริษัท เพิร์ลเอ็นเนอร์ยี่ ซึ่งในปีเดียวกันนั้น พล.อ.เตีย บัญ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ได้ให้สัมภาษณ์ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะลงทุนในธุรกิจพลังงาน และพบอีกว่าบริษัท เพิร์ลออย (ประเทศไทย) ได้ย้ายสำนักงานจากไทยพาณิชย์ปาร์ค พลาซา ไปอยู่อาคารชินวัตร 3
ส.ส.กทม.อภิปรายว่า บริษัท มูบาดาลา มีผู้บริหารระดับสูงชื่อ ชีค โมฮัมหมัด บินซาเยด อัล นาร์ยาน และเป็นพี่ชายของ ชีค มานซูร์ บิน ซาเยด อัลนาห์ยาน ที่เข้าซื้อกิจการสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี จาก พ.ต.ท.ทักษิณ ในราคาประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ทั้งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ซื้อกิจการมาในราคาเพียง 5 พันล้านบาทเท่านั้น ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่มีต่อกลุ่มธุรกิจพลังงาน
ขณะที่ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ต่างประเทศ กับ นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รมว.พลังงาน ก็ออกมาปฏิเสธเรื่องนี้ แต่การที่ คัลดูน คาลิฟา อัล มูบารัค ซีอีโอของกลุ่มมูบาดาลาออกมายืนยันล่าสุดว่าบริษัทของตนได้รับไฟเขียวให้เข้าทำสัญญาพัฒนาแหล่งน้ำมัน “นงเยาว์” ที่ตั้งอยู่ในอ่าวไทย
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 14 พ.ย. 2555 นายณอคุณ สิทธิพงศ์ ปลัดกระทรวงพลังงานในฐานะคณะกรรมการปิโตรเลียมในเวลานั้น ได้ออกมาเปิดเผยว่า คณะกรรมการปิโตรเลียมได้มีการอนุมัติพื้นที่ผลิตปิโตรเลียมแหล่งนงเยาว์ ตามข้อเสนอของกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ซึ่งได้วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อประเมินศักยภาพของแหล่ง โดยมีการศึกษาทั้งทางด้านธรณีวิทยา ธรณีฟิสิกส์ ข้อมูลหลุมเจาะปิโตรเลียม และปริมาณสำรอง รวมถึงการวิเคราะห์แผนการผลิตและเศรษฐกิจปิโตรเลียม โดยคาดว่ามีจะพัฒนาเป็นแหล่งปิโตรเลียมเพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ
ทั้งนี้ แหล่งนงเยาว์ ของบริษัท เพิร์ล ออยล์ บางกอก จำกัด อยู่ในแปลงสำรวจ G11/48 ในอ่าวไทยได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการปิโตรเลียมอนุมัติให้เป็นพื้นที่ผลิตปิโตรเลียมรวม 23.18 ตารางกิโลเมตร คาดว่ามีปริมาณสำรองน้ำมันดิบประมาณ 12.3 ล้านบาร์เรล เริ่มผลิตในปี 2557 โดยมีอัตราผลิตน้ำมันดิบสูงสุดประมาณ 6,400 บาร์เรลต่อวัน บริษัทมีการลงทุนเป็นเงินประมาณ 18,370 ล้านบาท รัฐได้รับผลประโยชน์ประมาณ 8,463 ล้านบาท บริษัทจะได้รับผลตอบแทนหลังหักเงินลงทุนประมาณ 5,673 ล้านบาท
**เพิ่มเติม.."ฮือฮา! บริษัทน้ำมันอาบู ดาบี นำโดย “CEO ทีมแมนฯซิตี” จับมือนักลงทุนสิงคโปร์ คว้าสิทธิ์พัฒนาแหล่งน้ำมัน “นงเยาว์” กลางอ่าวไทย"..//**เอเจนซีส์/ บริษัท “มูบาดาลา ปิโตรเลียม” ยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานในเครือ “มูบาดาลา กรุ๊ป” ที่เป็นหนึ่งในแขนขาด้านการลงทุนของรัฐอาบู ดาบี ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ยืนยันในวันอังคาร (14) ว่าบริษัทของตนได้รับไฟเขียวให้เข้าทำสัญญาพัฒนาแหล่งน้ำมัน “นงเยาว์” ที่ตั้งอยู่ในอ่าวไทย
คำแถลงของมูบาดาลา ปิโตรเลียม ซึ่งมีรัฐบาลอาบู ดาบีเป็นเจ้าของ ระบุว่า บริษัทของตนพร้อมด้วยบริษัทพลังงาน “คริสเอ็นเนอร์จี” ซึ่งจดทะเบียนในประเทศสิงคโปร์ มีแผนเข้าพัฒนาแหล่งน้ำมันนงเยาว์ที่อยู่กลางอ่าวไทย โดยคาดว่าแหล่งน้ำมันดังกล่าวมีศักยภาพรองรับการผลิตน้ำมันได้มากถึง 15,000 บาร์เรลต่อวัน
ด้าน คัลดูน คาลิฟา อัล มูบารัค ซีอีโอของสโมสรฟุตบอล “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี ในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ซึ่งควบตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารของกลุ่มมูบาดาลาด้วย ออกมายอมรับว่า การผลิตน้ำมันในเชิงพาณิชย์จากแหล่งนงเยาว์กลางอ่าวไทยนี้ คาดว่าจะสามารถเริ่มต้นได้ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2015 หรือไม่เกินครึ่งปีแรกของปีดังกล่าวเป็นต้นไป
อย่างไรก็ดี ซีอีโอของทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี รายนี้ ปฏิเสธที่จะเปิดเผยรายละเอียดใดๆ เกี่ยวกับมูลค่าของสัญญาสัมปทาน ที่ทางมูบาดาลาได้รับในการเข้าพัฒนาแหล่งน้ำมันดังกล่าวในไทย
รายงานข่าวระบุว่า บริษัท มูบาดาลาแห่งยูเออี จะเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ในสัดส่วนที่สูงถึง “75 เปอร์เซ็นต์” จากสัญญาสัมปทานการพัฒนาแหล่งน้ำมันนงเยาว์ในอ่าวไทย ขณะที่บริษัท คริส เอ็นเนอร์จี จากสิงคโปร์ที่เข้ามาเป็นหุ้นส่วนจะได้รับผลประโยชน์ 25 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือ
ทั้งนี้ บริษัท มูบาดาลา ปิโตรเลียมซึ่งมีการลงทุนใน 12 ประเทศได้เข้ามาดำเนินธุรกิจด้านพลังงานในประเทศไทยมาตั้งแต่ปี 2004 ถือเป็นผู้ได้รับสัมปทานปิโตรเลียม “รายใหญ่อันดับที่ 3” ในประเทศไทย