The Letter สู่ Timeline จากจดหมายสู่โซเชียลเนตเวิร์ค จาก ต้น-ดิว สู่ แทน-จูน

ด้วยความที่ดู Timeline ไปแล้ว มันทำให้อดที่จะเอา The Letter ย้อนกลับมาดูอีกรอบไม่ได้ แม้ผู้กำกับจะบอกว่าคนละเรื่อง ไม่ใช่ภาคต่อ แต่เอาเถอะ ดูยังไงมันก็โกหกตัวเองไม่ได้ แม้จะมีคนพยายามบอกว่า อย่าเอามาเทียบกัน แต่ช่างเถอะ ผมจะเทียบ เพราะผมมองว่ามันคือภาคต่อและมันเทียบกันได้ เพียงแค่เปลี่ยนชื่อจาก ต้น-ดิว มาเป็น ทัน- มัท แค่นั้นเอง

ย้อนกลับไปดูทีมงานของ The Letter นั้น ผู้อำนวยการสร้างคือคุณ ดวงกมล และคุณนนทรีย์(ผู้กำกับ Timeline ล่าสุด) และมือเขียนบทระดับเทพอย่างคุณ คงเดช จาตุรันต์รัศมี แล้วก็คงไม่ต้องแปลกใจหรอกว่าทำไม The Letter มันคมคายซาบซึ้งกว่า Timeline อย่างเทียบไม่ติด (Timeline ก็ดีนะครับ แต่มันยังไม่ได้รู้สึกซาบซึ้งมาก) ส่วนผู้กำกับ The Letter คือคุณผอูน จันทรศิริ แม้ผลงานทางภาพยนตร์จะน้อยกว่าคุณนนทรีย์ แต่คุณผอูนคือเซียนละครเวที ดังนั้นคนละครเวทีจะมีทักษะในการเล่าเรื่องเก่งกว่าคนทำภาพยนตร์อาจไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะศาสตร์ของละครเวทีนั้นยากและลึกซึ้งกว่าจริงๆ

The Letter เล่าเรื่องในเวลาไม่นานมากนะครับ แค่ประมาณชั่วโมงกว่าๆ ไม่ถึงสองชั่วโมง แต่ตัวหนังกลับทำให้เราเห็นพัฒนาการของตัวละคร พัฒนาความรัก  ความผูกพันธ์ของต้นกับดิว จนเล่นเอาคนดูร้องไห้น้ำตาไหลพรากในตอนจบชนิดที่เรียกว่า คนหลายคนบรรจุ The Letter เข้าเป็นหนังรักในดวงใจได้อย่างไม่ยาก ภาษา จดหมาย สำนวนรัก มันซาบซึ้ง อิน และเอาคนดูอยู่หมัด การแสดง ความรักที่ก่อตัวจากหนุ่มสาว พัฒนาจนเป็นคู่ัวตัวเมีย มันโคตรจะจริง เรียล จนอินเลย  จนเรียกได้ว่า มันคลาสสิคจนตรึงอยู่ในใจไปแล้ว ดังนั้นใครที่จะรีเมค หรือสร้างภาคต่อนี่บอกได้เลย เป็นเรื่องที่ยากมากและหินมาก ไม่ใช่เรื่องที่จะมาทำกันได้ง่ายๆ ถ้ามือไม่ถึงอาจตายได้

Timeline คือภาคต่อ แม้จะบอกไม่ใช่ก็ปฏิเสธไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นจดหมายรัก ผัดฟักแม้ว ต้นบ๊วย มันอยู่ในหนังหมด ประเด็นความรัก ก็ดันแยกออกเป็นสองประเด็นคือ แม่ลูก และหนุ่มสาว ตัวหนังเองสร้างด้วยโจทย์ที่ยาก และคนเขียนบทที่อ่อนด้อยในความสามารถ แม้โปรดักชั่นจะดี แต่บทหนังอ่อนยวบ มันจึงได้แค่ความซาบซึ้งที่ฉาบฉวยแค่ผิวๆ ออกมาเป็นหนังเมโลดราม่าที่แลดูจงใจไปนิด แต่ก็ต้องยอมรับว่า Timeline คือหนังรักที่ดีที่สุดในรอบสองเดือนของปีนี้ ตัวหนังได้ดาราอย่าง ป็อก ปิยะธิดามารับบทเป็นมัท(ดิว) ที่อมทุกข์ตลอดทั้งเรื่อง จนบางครั้งเราอดนึกไม่ได้ว่าถ้า ทัน(ดิว) รู้ว่าเมียตัวเองยังอมทุกข์ขนาดนี้ จะนอนตายตาหลับไหม มัทอมทุกข์อย่างมาก มากเสียจนแอบที่จะอดคิดไม่ได้ว่า แทน(ตั้ม)จะโตขึ้นมาเป็นเด็กไม่มีปัญหาได้อย่างไร แต่เหมือนว่าปัญหาของแทน(ตั้ม) ก็มีอย่างเดียวคือ เป็นคนที่ไม่รู้จักตัวเองไม่มีจุดหมายในชีวิตนั่นเอง คำพูดที่แทนระเบิดบอกมัทว่า แม่เห็นแทนเป็นตัวแทนพ่อ นั่นเหมือนจะเป็นเรื่องจริง แต่ประเด็นที่บอกว่า การเดินตามความฝันของคนที่เรารักนั่นแหละคือการเดินตามความฝันที่แท้จริง ในแง่การตกตะกอนทางความคิดและความเป็นมนุษย์ ผมมองว่ามันยังไม่ค่อยจะใช่เสียทีเดียว โดยเฉพาะความรักของ แทนกับจูน ที่มันยังดูไม่ค่อยจะก่อตัวให้เห็นเท่าไหร่เลย ภาพที่เห็นความผูกพันธ์ผมมองเป็นเพื่อนสนิท เพื่อนคนพิเศษที่ยังไม่ใช่คนรักมากกว่า

สรุปแล้ว The Letter คมคายกว่า Timeline ทั้งในแง่ของความกินใจ ความซาบซึ้ง ตลอดจนการเดินเรื่องการเล่าเรื่อง

ถ้าไม่เป็นการรบกวน อยากให้สหมงคลจัดฉาย The Letter ในโรงใหญ่ให้ดูอีกสักรอบสองรอบจังเลย ผมอยากไปดูอีก

ยอมรับในพลังการแสดงของ แอน - หนุ่ม อรรถพร มากๆ สองคนนี้คือต้นกับดิวที่ทำให้ผมเชื่อในตัวพวกเค้าจริงๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่