สามก๊กฉบับอ่านซ้ำ
วิบากกรรมซ้ำซัด
เล่าเซี่ยงชุน
โจโฉตัวละครเอกของสามก๊ก เกิดเมื่อประมาณ พ.ศ.๖๙๗ ที่เมืองตันลิว บิดาชื่อโจโก๋ ปู่ชื่อโจเท้ง เคยทำราชการอยู่ในสมัยก่อน แต่เป็นขุนนางที่มีนิสัยไม่ค่อยดี ชอบสมคบกับพวกขันที ซึ่งเป็นพวกผู้ชายที่ถูกตอน สำหรับรับใช้ในพระราชวัง ทำความชั่วต่าง ๆ มาถึงสมัยบิดา จึงไม่ได้ทำ ราชการ
ตัวโจโฉเมื่อรุ่นหนุ่มสูงแค่ห้าศอก นัยตาเล็ก ไว้หนวดยาว หมอดูโหงวเฮ้งแล้วทำนายว่าเป็นคนมีปัญญา สามารถจะเป็นใหญ่เป็นโตได้ แม้ว่าจะไม่ค่อยซื่อสัตย์นัก
โจโฉจึงมีนิสัยเกเรไม่ทำงานการ ชอบเข้าป่าล่าสัตว์และพอใจฟังการร้องรำทำเพลง พออายุได้ยี่สิบปีก็เข้ารับราชการเป็นนายทหารผู้น้อย อยู่ที่เมืองลกเอี๋ยงราชธานี คู่กับอ้วนเสี้ยวเพื่อนเกลอ
สมัยพระเจ้าเลนเต้เกิดมีพวกโจรโพกผ้าเหลือง อาละวาดอยู่ตามหัวเมืองต่าง ๆ โจโฉอายุประมาณยี่สิบเก้าปี ได้อาสาไปในกองทัพหลวง ปราบปรามพวกโจรที่เมืองเองฉวนราบคาบ มีความชอบได้เลื่อนเป็นนายทหารรักษาพระองค์
โจโฉรับราชการต่อมาอีกเจ็ดปี พระเจ้าเลนเต้ก็สิ้นพระชนม์ลง ขุนนางพวกหนึ่งยก หองจูเปียน ราชบุตรองค์โต อายุประมาณสิบสี่ปีขึ้นเป็นฮ่องเต้ แต่อีกฝ่ายหนึ่งซึ่งมีขันทีเป็นพวกหลายคนไม่เห็นด้วย เกิดการจลาจลขึ้นในพระราชวัง
โฮจิ๋นที่ปรึกษาราชการแผ่นดินก็ถูกฆ่าตาย โจโฉกับอ้วนเสี้ยวก็คุมทหารเข้าไปช่วยปราบปราม เหตุการณ์ให้สงบลงได้ พอดีตั๋งโต๊ะเจ้าเมืองซีหลงยกกองทัพใหญ่มาช่วยปราบจลาจล จึงยึดการปกครองในเมืองหลวงไว้ได้ แล้วก็ถอดหองจูเปียนออกจากบัลลังก์ฮ่องเต้ และยก หองจูเหียบ น้องต่างมารดาอายุเพียงเก้าปี ขึ้นป็นฮ่องเต้แทน ถวายพระนามว่า พระเจ้าเหี้ยนเต้ แล้วก็ตั้งตนเองเป็นมหาอุปราชว่าราชการแทน แล้วก็ปกครองบ้านเมืองด้วยความทารุณโหดร้าย จนประชาชนพลเมืองระส่ำระสายไปทั่ว
ขุนนางที่ไม่ใช่พวกของตั๋งโต๊ะ ก็พยายามหาทางกำจัดตั๋งโต๊ะ อ้วนเสี้ยวเพื่อนเกลอของโจโฉเห็นว่าจะไม่สำเร็จ ก็ออกจากเมืองหลวงไปตั้งตัวที่เมืองกิจิ๋ว
โจโฉก็พยายามเข้าไปฝากเนื้อฝากตัวกับตั๋งโต๊ะ จนได้เป็นนายทหารคนสนิท แล้วก็รับอาสา อ้องอุ้น ขุนนางผู้ใหญ่จะไปฆ่าตั๋งโต๊ะให้ อ้องอุ้นก็มอบกระบี่สั้นของโบราณให้โจโฉไปทำการตามแผน
วันหนึ่งโจโฉเข้าไปหาตั๋งโต๊ะในห้องใน ขณะที่ตั๋งโต๊ะนอนอ่านหนังสือหันหน้าเข้าฝาอยู่ โจโฉก็ถอดกระบี่ออกจากฝักย่องเข้าไปอย่างเงียบเชียบ หมายจะแทงให้ดับคามือ บังเอิญตั๋งโต๊ะเห็นเงาในกระจกข้างฝา ก็หันกลับมาร้องว่าโจโฉจะทำร้ายเราหรือ
โจโฉหัวไวรีบเข้าไปคุกเข่าลงแล้วชูกระบี่สั้นส่งทางด้ามให้ตั๋งโต๊ะ แล้วบอกว่าตั้งใจจะเอากระบี่โบราณของบรรพบุรุษมาให้นายเป็นของขวัญ ตั๋งโต๊ะรับมาดูก็เห็นว่าเป็นกระบี่เก่าที่มีลวดลายสวยงามก็ชอบใจ
พอดีลิโป้ลูกเลี้ยงของตั๋งโต๊ะที่เป็นองครักษ์เข้ามา ตั๋งโต๊ะก็บอกว่าโจโฉมีความภักดีเอากระบี่มาให้ แล้วให้ลิโป้ไปเอาม้าฝีเท้าดีมาให้โจโฉเป็นรางวัล
เมื่อลิโป้นำม้ามาให้โจโฉแล้ว โจโฉก็ทดลองขี่ดูฝีเท้าแล้วก็บังคับม้าย่างก้าวออกไปข้างนอก พอพ้นสายตาผู้เป็นนายแล้ว ก็ควบห้อเหยียดออกจากเมืองลกเอี๋ยงไปโดยไม่เหลียวหลัง
ขณะนั้นที่ปรึกษาของตั๋งโต๊ะก็มาปรึกษาราชการ เมื่อได้ฟังเรื่องราวจากตั๋งโต๊ะและลิโป้แล้ว ก็สงสัยว่าโจโฉอาจจะไม่ซื่อก็ได้ จึงให้ทหารไปดูว่าโจโฉกลับไปบ้านหรือเปล่า
ทหารกลับมารายงานว่าโจโฉไม่ได้กลับบ้านแต่ออกจากประตูเมืองไปแล้ว ตั๋งโต๊ะจึงแน่ใจว่าโจโฉทรยศจริง จึงสั่งให้มีใบบอกไปทั่วทุกหัวเมือง พร้อมกับให้เขียนรูปโจโฉ ประกาศจับตัวไม่ว่าเป็นหรือตาย จะได้รางวัลและแต่งตั้งเป็นขุนนาง แต่ถ้าผู้ใดให้ที่พักอาศัยหรือช่วยเหลือด้วยประการใด จะมีโทษถึงตายทั้งโคตร
โจโฉหนีออกจากเมืองลกเอี๋ยงมาหลายวันหลายคืน จนมาถึงเมืองจงพวนซึ่งเป็นเมืองเล็ก ๆ แต่พอจะผ่านด่านก็ถูกนายด่านจับตัวไว้ เพราะประกาศจับได้มาถึงเมืองนี้ก่อนแล้ว นายด่านก็เอาตัวไปมอบให้เจ้าเมืองชื่อตันก๋ง
เมื่อเจ้าเมืองถามชื่อแซ่ โจโฉก็แกล้งบอกว่าชื่อฮ่องอูมีอาชีพเป็นพ่อค้าเร่ แต่เจ้าเมืองไม่เชื่อเพราะหน้าเหมือนกับรูปที่ประกาศจับ จึงให้เอาตัวไปขังไว้ก่อน
โจโฉเข้าไปนอนเล่นอยู่ในห้องขังเกือบครึ่งคืน พอถึงสองยามผู้คุมก็เข้ามาเบิกตัวเอาไปให้เจ้าเมืองสอบสวนอีก คราวนี้เจ้าเมืองพูดด้วยอย่างดี ถามว่าไปทำอีท่าไหนเข้าจึงเกิดเรื่องต้องหนีจากเมืองหลวงมาถึงนี่
โจโฉก็บอกปัดว่าตัวเจ้าเมืองนั้นอุปมาดังนกน้อย จะมาล่วงรู้ความคิดของพญาครุฑได้อย่างไร เจ้าเมืองจึงสั่งให้บริวารออกไปจากห้องนั้นให้หมด แล้วบอกว่าตนรู้ว่าโจโฉเป็นผู้มีสติปัญญากล้าหาญซึ่งตนนับถืออยู่ขอให้บอกความจริง
โจโฉจึงเล่าเรื่องที่มหาอุปราชตั๋งโต๊ะทำความชั่วต่าง ๆ ตนคิดจะกำจัดเสียแต่เมื่อไม่สำเร็จก็ต้องหนีตายไปก่อน และว่าจะไปหาบิดาที่เมืองตันลิว เพื่อรวบรวมผู้คนเป็นกองทัพกลับไปตีเมืองลกเอี๋ยง จับตั๋งโต๊ะฆ่าเสีย บ้านเมืองจะได้เป็นสุข
ตันก๋งก็มีความยินดีจัดแจงถอดเครื่องจองจำโจโฉออก แล้วว่าตนจะทิ้งตำแหน่งเจ้าเมืองเสีย และขอติดตามไปร่วมขบวนการด้วย โจโฉก็ไม่ขัดข้อง ตันก๋งจึงเก็บข้าวของที่มีราคาติดตัวไปและหากระบี่คู่มือคนละเล่ม ม้าคนละตัวออกเดินทางจากเมืองจงพวนในกลางดึกนั้นเอง
ทั้งสองเดินทางมาได้สามวันใกล้จะถึงเมืองตันลิว มีหมู่บ้านอยู่แห่งหนึ่ง โจโฉจำได้ว่าเพื่อนเก่าของบิดามีบ้านอยู่ตำบลนี้ จึงชวนตันก๋งไปหาและขอพักอาศัยอยู่สักคืนหนึ่ง
เจ้าของบ้านชื่อแปะเฉีย ก็ไม่รังเกียจลูกชายของเพื่อน จัดการเรื่องที่หลับที่นอน และให้ญาติพี่น้องที่อยู่ด้วยกันช่วยทำอาหารเลี้ยง ส่วนตนเองจะออกไปหาสุราอย่างดีมาต้อนรับ แล้วก็ขี่ม้าออกจากบ้านไป
ทั้งสองก็เอนตัวลงจะนอนพักผ่อน โจโฉนั้นมีความระแวงภัยอยู่ตลอดเวลา ได้ยินเสียงลูกน้องของแปะเฉียพูดกันว่า จะมัดไว้ก่อนหรือจะฆ่าเสียเลย ก็ตกใจชักกระบี่ออกวิ่งเข้าไปฟันพวกที่อยู่ในครัวตาย แล้วก็เลยฆ่าครอบครัวของแปะเฉียตายหมดทั้งบ้านร่วมแปดคน
ตันก๋งก็ตกใจวิ่งตามไปดู จึงเห็นหมูที่เขาจะฆ่าทำอาหารเลี้ยงถูกมัดดิ้นกระแด่วอยู่ โจโฉจึงได้สติว่าตนใจเร็วทำผิดไปเสียแล้ว ขืนอยู่ก็คงไม่รอด จึงชวนตันก๋งเผ่นขึ้นม้าออกจากบ้านไปโดยเร็ว
แต่บังเอิญไปได้ไม่ไกลก็สวนทางกับแปะเฉีย ซึ่งกำลังจะกลับบ้าน แปะเฉียก็สงสัยว่าทำไมไม่อยู่ค้างด้วยกัน โจโฉก็ว่ามีธุระร้อนที่จะต้องรีบไปก่อน แปะเฉียก็ไม่ว่าอะไร
แต่พอชักม้าไปได้ไม่กี่ก้าว โจโฉฉุกคิดขึ้นมาได้จึงหวนกลับร้องเรียกแปะเฉียให้หยุด แล้วก็เอากระบี่ฟันแปะเฉียตกจากม้าตายคาที่
ตันก๋งก็ว่าทำไมโจโฉจึงทำเช่นนี้ เมื่อกี้ก็ฆ่าคนในครอบครัวเขาตายทั้งบ้าน ก็ว่าเลวอยู่แล้ว คราวนี้กลับมาฆ่าเจ้าบ้านผู้มีคุณเสียอีก ก็ยิ่งเลวหนักขึ้น โจโฉก็ว่าที่ฆ่าคนในบ้านนั้นเพราะเข้าใจผิด แต่ถ้าปล่อยให้แปะเฉียกลับไปบ้านได้ ความก็จะแตกแล้วเราสองคนก็จะถูกไล่ล่า ทำให้งานใหญ่ที่อยู่ข้างหน้าไม่สำเร็จลงได้ ตนจึงฆ่าแปะเฉียเพื่อปิดปากเสีย เราก็จะได้รอดพ้นความผิดไป
ตันก๋งก็ไม่เห็นด้วยแต่ก็เกรงใจในฐานะที่ตัวต่ำกว่า จึงไม่กล้าว่าต่อไป โจโฉจึงนำเดินทางต่อไป จนถึงศาลาพักคนเดินทาง ก็พากันเข้าไปอาศัยนอน
ตันก๋งลงความเห็นว่าโจโฉเป็นคนเลว ฆ่าผู้บริสุทธิ์ได้อย่างโหดเหี้ยม จึงปลีกตัวเดินทางหนีไปในคืนนั้น
เมื่อโจโฉตื่นขึ้นมาตอนเช้า ไม่เห็นตันก๋งก็รู้ว่าตันก๋งคิดอย่างไร แต่ก็ไม่สนใจนักมุ่งหน้าที่จะไปทำงานใหญ่ที่ตั้งใจไว้ให้สำเร็จมากกว่า จึงออกเดินทางไปเมืองตันลิวแต่ผู้เดียว.
##########
วิยากกรรมซ้ำซัด ๑๔ ก.พ.๕๗
วิบากกรรมซ้ำซัด
เล่าเซี่ยงชุน
โจโฉตัวละครเอกของสามก๊ก เกิดเมื่อประมาณ พ.ศ.๖๙๗ ที่เมืองตันลิว บิดาชื่อโจโก๋ ปู่ชื่อโจเท้ง เคยทำราชการอยู่ในสมัยก่อน แต่เป็นขุนนางที่มีนิสัยไม่ค่อยดี ชอบสมคบกับพวกขันที ซึ่งเป็นพวกผู้ชายที่ถูกตอน สำหรับรับใช้ในพระราชวัง ทำความชั่วต่าง ๆ มาถึงสมัยบิดา จึงไม่ได้ทำ ราชการ
ตัวโจโฉเมื่อรุ่นหนุ่มสูงแค่ห้าศอก นัยตาเล็ก ไว้หนวดยาว หมอดูโหงวเฮ้งแล้วทำนายว่าเป็นคนมีปัญญา สามารถจะเป็นใหญ่เป็นโตได้ แม้ว่าจะไม่ค่อยซื่อสัตย์นัก
โจโฉจึงมีนิสัยเกเรไม่ทำงานการ ชอบเข้าป่าล่าสัตว์และพอใจฟังการร้องรำทำเพลง พออายุได้ยี่สิบปีก็เข้ารับราชการเป็นนายทหารผู้น้อย อยู่ที่เมืองลกเอี๋ยงราชธานี คู่กับอ้วนเสี้ยวเพื่อนเกลอ
สมัยพระเจ้าเลนเต้เกิดมีพวกโจรโพกผ้าเหลือง อาละวาดอยู่ตามหัวเมืองต่าง ๆ โจโฉอายุประมาณยี่สิบเก้าปี ได้อาสาไปในกองทัพหลวง ปราบปรามพวกโจรที่เมืองเองฉวนราบคาบ มีความชอบได้เลื่อนเป็นนายทหารรักษาพระองค์
โจโฉรับราชการต่อมาอีกเจ็ดปี พระเจ้าเลนเต้ก็สิ้นพระชนม์ลง ขุนนางพวกหนึ่งยก หองจูเปียน ราชบุตรองค์โต อายุประมาณสิบสี่ปีขึ้นเป็นฮ่องเต้ แต่อีกฝ่ายหนึ่งซึ่งมีขันทีเป็นพวกหลายคนไม่เห็นด้วย เกิดการจลาจลขึ้นในพระราชวัง
โฮจิ๋นที่ปรึกษาราชการแผ่นดินก็ถูกฆ่าตาย โจโฉกับอ้วนเสี้ยวก็คุมทหารเข้าไปช่วยปราบปราม เหตุการณ์ให้สงบลงได้ พอดีตั๋งโต๊ะเจ้าเมืองซีหลงยกกองทัพใหญ่มาช่วยปราบจลาจล จึงยึดการปกครองในเมืองหลวงไว้ได้ แล้วก็ถอดหองจูเปียนออกจากบัลลังก์ฮ่องเต้ และยก หองจูเหียบ น้องต่างมารดาอายุเพียงเก้าปี ขึ้นป็นฮ่องเต้แทน ถวายพระนามว่า พระเจ้าเหี้ยนเต้ แล้วก็ตั้งตนเองเป็นมหาอุปราชว่าราชการแทน แล้วก็ปกครองบ้านเมืองด้วยความทารุณโหดร้าย จนประชาชนพลเมืองระส่ำระสายไปทั่ว
ขุนนางที่ไม่ใช่พวกของตั๋งโต๊ะ ก็พยายามหาทางกำจัดตั๋งโต๊ะ อ้วนเสี้ยวเพื่อนเกลอของโจโฉเห็นว่าจะไม่สำเร็จ ก็ออกจากเมืองหลวงไปตั้งตัวที่เมืองกิจิ๋ว
โจโฉก็พยายามเข้าไปฝากเนื้อฝากตัวกับตั๋งโต๊ะ จนได้เป็นนายทหารคนสนิท แล้วก็รับอาสา อ้องอุ้น ขุนนางผู้ใหญ่จะไปฆ่าตั๋งโต๊ะให้ อ้องอุ้นก็มอบกระบี่สั้นของโบราณให้โจโฉไปทำการตามแผน
วันหนึ่งโจโฉเข้าไปหาตั๋งโต๊ะในห้องใน ขณะที่ตั๋งโต๊ะนอนอ่านหนังสือหันหน้าเข้าฝาอยู่ โจโฉก็ถอดกระบี่ออกจากฝักย่องเข้าไปอย่างเงียบเชียบ หมายจะแทงให้ดับคามือ บังเอิญตั๋งโต๊ะเห็นเงาในกระจกข้างฝา ก็หันกลับมาร้องว่าโจโฉจะทำร้ายเราหรือ
โจโฉหัวไวรีบเข้าไปคุกเข่าลงแล้วชูกระบี่สั้นส่งทางด้ามให้ตั๋งโต๊ะ แล้วบอกว่าตั้งใจจะเอากระบี่โบราณของบรรพบุรุษมาให้นายเป็นของขวัญ ตั๋งโต๊ะรับมาดูก็เห็นว่าเป็นกระบี่เก่าที่มีลวดลายสวยงามก็ชอบใจ
พอดีลิโป้ลูกเลี้ยงของตั๋งโต๊ะที่เป็นองครักษ์เข้ามา ตั๋งโต๊ะก็บอกว่าโจโฉมีความภักดีเอากระบี่มาให้ แล้วให้ลิโป้ไปเอาม้าฝีเท้าดีมาให้โจโฉเป็นรางวัล
เมื่อลิโป้นำม้ามาให้โจโฉแล้ว โจโฉก็ทดลองขี่ดูฝีเท้าแล้วก็บังคับม้าย่างก้าวออกไปข้างนอก พอพ้นสายตาผู้เป็นนายแล้ว ก็ควบห้อเหยียดออกจากเมืองลกเอี๋ยงไปโดยไม่เหลียวหลัง
ขณะนั้นที่ปรึกษาของตั๋งโต๊ะก็มาปรึกษาราชการ เมื่อได้ฟังเรื่องราวจากตั๋งโต๊ะและลิโป้แล้ว ก็สงสัยว่าโจโฉอาจจะไม่ซื่อก็ได้ จึงให้ทหารไปดูว่าโจโฉกลับไปบ้านหรือเปล่า
ทหารกลับมารายงานว่าโจโฉไม่ได้กลับบ้านแต่ออกจากประตูเมืองไปแล้ว ตั๋งโต๊ะจึงแน่ใจว่าโจโฉทรยศจริง จึงสั่งให้มีใบบอกไปทั่วทุกหัวเมือง พร้อมกับให้เขียนรูปโจโฉ ประกาศจับตัวไม่ว่าเป็นหรือตาย จะได้รางวัลและแต่งตั้งเป็นขุนนาง แต่ถ้าผู้ใดให้ที่พักอาศัยหรือช่วยเหลือด้วยประการใด จะมีโทษถึงตายทั้งโคตร
โจโฉหนีออกจากเมืองลกเอี๋ยงมาหลายวันหลายคืน จนมาถึงเมืองจงพวนซึ่งเป็นเมืองเล็ก ๆ แต่พอจะผ่านด่านก็ถูกนายด่านจับตัวไว้ เพราะประกาศจับได้มาถึงเมืองนี้ก่อนแล้ว นายด่านก็เอาตัวไปมอบให้เจ้าเมืองชื่อตันก๋ง
เมื่อเจ้าเมืองถามชื่อแซ่ โจโฉก็แกล้งบอกว่าชื่อฮ่องอูมีอาชีพเป็นพ่อค้าเร่ แต่เจ้าเมืองไม่เชื่อเพราะหน้าเหมือนกับรูปที่ประกาศจับ จึงให้เอาตัวไปขังไว้ก่อน
โจโฉเข้าไปนอนเล่นอยู่ในห้องขังเกือบครึ่งคืน พอถึงสองยามผู้คุมก็เข้ามาเบิกตัวเอาไปให้เจ้าเมืองสอบสวนอีก คราวนี้เจ้าเมืองพูดด้วยอย่างดี ถามว่าไปทำอีท่าไหนเข้าจึงเกิดเรื่องต้องหนีจากเมืองหลวงมาถึงนี่
โจโฉก็บอกปัดว่าตัวเจ้าเมืองนั้นอุปมาดังนกน้อย จะมาล่วงรู้ความคิดของพญาครุฑได้อย่างไร เจ้าเมืองจึงสั่งให้บริวารออกไปจากห้องนั้นให้หมด แล้วบอกว่าตนรู้ว่าโจโฉเป็นผู้มีสติปัญญากล้าหาญซึ่งตนนับถืออยู่ขอให้บอกความจริง
โจโฉจึงเล่าเรื่องที่มหาอุปราชตั๋งโต๊ะทำความชั่วต่าง ๆ ตนคิดจะกำจัดเสียแต่เมื่อไม่สำเร็จก็ต้องหนีตายไปก่อน และว่าจะไปหาบิดาที่เมืองตันลิว เพื่อรวบรวมผู้คนเป็นกองทัพกลับไปตีเมืองลกเอี๋ยง จับตั๋งโต๊ะฆ่าเสีย บ้านเมืองจะได้เป็นสุข
ตันก๋งก็มีความยินดีจัดแจงถอดเครื่องจองจำโจโฉออก แล้วว่าตนจะทิ้งตำแหน่งเจ้าเมืองเสีย และขอติดตามไปร่วมขบวนการด้วย โจโฉก็ไม่ขัดข้อง ตันก๋งจึงเก็บข้าวของที่มีราคาติดตัวไปและหากระบี่คู่มือคนละเล่ม ม้าคนละตัวออกเดินทางจากเมืองจงพวนในกลางดึกนั้นเอง
ทั้งสองเดินทางมาได้สามวันใกล้จะถึงเมืองตันลิว มีหมู่บ้านอยู่แห่งหนึ่ง โจโฉจำได้ว่าเพื่อนเก่าของบิดามีบ้านอยู่ตำบลนี้ จึงชวนตันก๋งไปหาและขอพักอาศัยอยู่สักคืนหนึ่ง
เจ้าของบ้านชื่อแปะเฉีย ก็ไม่รังเกียจลูกชายของเพื่อน จัดการเรื่องที่หลับที่นอน และให้ญาติพี่น้องที่อยู่ด้วยกันช่วยทำอาหารเลี้ยง ส่วนตนเองจะออกไปหาสุราอย่างดีมาต้อนรับ แล้วก็ขี่ม้าออกจากบ้านไป
ทั้งสองก็เอนตัวลงจะนอนพักผ่อน โจโฉนั้นมีความระแวงภัยอยู่ตลอดเวลา ได้ยินเสียงลูกน้องของแปะเฉียพูดกันว่า จะมัดไว้ก่อนหรือจะฆ่าเสียเลย ก็ตกใจชักกระบี่ออกวิ่งเข้าไปฟันพวกที่อยู่ในครัวตาย แล้วก็เลยฆ่าครอบครัวของแปะเฉียตายหมดทั้งบ้านร่วมแปดคน
ตันก๋งก็ตกใจวิ่งตามไปดู จึงเห็นหมูที่เขาจะฆ่าทำอาหารเลี้ยงถูกมัดดิ้นกระแด่วอยู่ โจโฉจึงได้สติว่าตนใจเร็วทำผิดไปเสียแล้ว ขืนอยู่ก็คงไม่รอด จึงชวนตันก๋งเผ่นขึ้นม้าออกจากบ้านไปโดยเร็ว
แต่บังเอิญไปได้ไม่ไกลก็สวนทางกับแปะเฉีย ซึ่งกำลังจะกลับบ้าน แปะเฉียก็สงสัยว่าทำไมไม่อยู่ค้างด้วยกัน โจโฉก็ว่ามีธุระร้อนที่จะต้องรีบไปก่อน แปะเฉียก็ไม่ว่าอะไร
แต่พอชักม้าไปได้ไม่กี่ก้าว โจโฉฉุกคิดขึ้นมาได้จึงหวนกลับร้องเรียกแปะเฉียให้หยุด แล้วก็เอากระบี่ฟันแปะเฉียตกจากม้าตายคาที่
ตันก๋งก็ว่าทำไมโจโฉจึงทำเช่นนี้ เมื่อกี้ก็ฆ่าคนในครอบครัวเขาตายทั้งบ้าน ก็ว่าเลวอยู่แล้ว คราวนี้กลับมาฆ่าเจ้าบ้านผู้มีคุณเสียอีก ก็ยิ่งเลวหนักขึ้น โจโฉก็ว่าที่ฆ่าคนในบ้านนั้นเพราะเข้าใจผิด แต่ถ้าปล่อยให้แปะเฉียกลับไปบ้านได้ ความก็จะแตกแล้วเราสองคนก็จะถูกไล่ล่า ทำให้งานใหญ่ที่อยู่ข้างหน้าไม่สำเร็จลงได้ ตนจึงฆ่าแปะเฉียเพื่อปิดปากเสีย เราก็จะได้รอดพ้นความผิดไป
ตันก๋งก็ไม่เห็นด้วยแต่ก็เกรงใจในฐานะที่ตัวต่ำกว่า จึงไม่กล้าว่าต่อไป โจโฉจึงนำเดินทางต่อไป จนถึงศาลาพักคนเดินทาง ก็พากันเข้าไปอาศัยนอน
ตันก๋งลงความเห็นว่าโจโฉเป็นคนเลว ฆ่าผู้บริสุทธิ์ได้อย่างโหดเหี้ยม จึงปลีกตัวเดินทางหนีไปในคืนนั้น
เมื่อโจโฉตื่นขึ้นมาตอนเช้า ไม่เห็นตันก๋งก็รู้ว่าตันก๋งคิดอย่างไร แต่ก็ไม่สนใจนักมุ่งหน้าที่จะไปทำงานใหญ่ที่ตั้งใจไว้ให้สำเร็จมากกว่า จึงออกเดินทางไปเมืองตันลิวแต่ผู้เดียว.
##########