สวัสดีครับ วันนี้ผมจะขออนุญาตใช้พื้นที่โทนม่วงน้ำเงินแห่งนี้เป็นพื้นที่ในการเล่าและบันทึกความทรงจำของการท่องเที่ยวทริปสำคัญที่ผ่านมา ซึ่งทริปที่ว่านี้จะไม่เล่าเลยก็ไม่ได้ครับ เพราะเป็นทริปที่อยากจะบอกต่อให้ผู้ที่สนใจทุกท่านลองได้ไปสัมผัสและบันทึกไว้ในความทรงจำอย่างที่พวกผมได้ทำมาแล้วครับ ยังไงถ้ามีอะไรผิดพลาดก็ขออภัยล่วงหน้าไว้ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
220157
เริ่มแรกเดิมทีผมก็ใช้ชีวิตปกติของผมนี่แหละครับ จนกระทั่งมีเพื่อนคนนึงโพสต์แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทยโดย ททท. ขึ้นมา ด้วยความที่อยากจะรู้ว่ามีสถานที่ไหนบ้างจึงเข้าไปดูก็พบว่ามีสถานที่หนึ่งซึ่งใช้ชื่อว่า 'ฟูจิเมืองไทย' และด้วยความที่สงสัยและอยากจะรู้เรื่องราวจึงไปทำข้อมูลต่อจนพบว่ามันคือ 'ภูป่าเปาะ' ซึ่งตั้งอยู่ที่ อำเภอหนองหิน จังหวัดเลย และในขณะที่ปัจจุบันนี้ยังเป็นหน้าวหนาวและมีอากาศหนาวอยู่ ยากที่จะปฏิเสธกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าซะเหลือเกิน ผมจึงตัดสินใจชวนเพื่อนซึ่งจบมัธยมศึกษาตอนปลายมาด้วยกัน(ปัจจุบันผมอายุสิบแปด) ใครที่ว่างและมีความสนใจก็สามารถมาร่วมการบันทึกความทรงจำครั้งนี้ด้วยกันได้ จนท้ายที่สุดผมก็ได้คนร่วมเดินทางอีกสาม รวมทั้งหมดเป็นสี่
250157
พวกเราเลือกเดินทางกันในเช้าวันเสาร์ โดยตกลงกันว่าจะนอนหนึ่งคืนและกลับวันอาทิตย์ เนื่องจากสมาชิกมีภารกิจทางการศึกษาทั้งในวันศุกร์และวันจันทร์ และเมื่อเช้าวันเสาร์มาถึง พวกเรานั่งรถทัวร์มาลงที่อำเภอหนองหิน จังหวัดเลย ซึ่งเป็นทางผ่านก่อนเข้าตัวเมืองพอดิบพอดี หลังจากที่ลงจากรถและทำธุรกิจส่วนตัวเสร็จสรรพแล้ว พวกเราก็เริ่มกดปุ่มบันทึกความทรงจำโดยประสาทสัมผัสทั้งห้าทันที
จุดหมายแรกของพวกเราในวันนี้ก็คือ 'สวนหินผางาม' พวกเราจึงเดินไปตามถนนหนทางที่เหมือนปูไว้ให้อยู่แล้วท่ามกลางบรรยากาศที่เย็นสบาย โดยพวกเราตั้งปณิธานกันว่าจะโบกรถที่ผ่านมาโดยจะโบกเฉพาะรถกระบะเพราะรถเก๋งคงอัดกันลำบาก จากนั้นเหมือนโชคชะตาเป็นใจ เพราะมีรถกระบะผ่านมาพอดี เมื่อเราโบกรถคันนั้นก็ต้องประหลาดใจเพราะรถคันนั้นกำลังมุ่งหน้าไปที่สวนหินผางามเช่นกัน
สวนหินผางาม
ทันทีที่เรามาถึง เราก็มุ่งหน้าตรงไปยังศูนย์ประชาสัมพันธ์ทันที ซึ่งการที่จะเข้าไปชมจะต้องเสียค่าธรรมเนียมเป็นจำนวนเงินหนึ่งร้อยบาทต่อหนึ่งกลุ่ม(กลุ่มละไม่เกินสิบคน) ซึ่งพวกเราก็มีกันอยู่สี่คนก็ต้องเสียหนึ่งร้อยบาทเช่นกัน เมื่อทำธุรกรรมทางการเงินเรียบร้อยแล้ว พนักงานได้ถามอีกครั้งว่าจะนั่งรถ(เสียค่าบริการคนละยี่สิบบาท)หรือจะเดินเท้า ซึ่งการเดินเท้าจะต้องใช้ระยะทางประมาณหนึ่งพันสามร้อยเมตร พวกเราตัดสินใจเดินไปซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องครั้งหนึ่งในชีวิต เพราะนี่คือการพบเจอธรรมชาติที่แท้จริงอีกหนทางหนึ่ง ทันทีที่เราตัดสินใจเดินทางทีมงานก็ส่งมัคคุเทศก์มาร่วมเดินทางด้วย แกชื่อ 'พี่หอย' และพวกเราก็เริ่มออกเดินทาง
ในระหว่างเดินทางนั้น พี่หอยแกจะอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่สองข้างทางได้อย่างละเอียด(ก็แน่ล่ะพี่แกเป็นมัคคุเทศก์นี่นา) และเรายังสามารถสอบถามทุกสิ่งทุกอย่างกับพี่หอยได้เรื่อยๆ ซึ่งนั่นไม่ได้รวมถึงเลดี้กาก้าใส่รองเท้าส้นตึกกี่เมตรหรือออสก้าร์ปีนี้กราวิตี้จะเข้าชิงกี่สาขา หากแต่ถามได้เฉพาะเรื่องธรรมชาติรอบตัวเท่านั้น เช่น ต้นไม้นั่นสามารถนำมาทำอะไรได้บ้าง เป็นต้น
ด้วยความที่เราขี้สงสัยจึงถามคำถามที่เปลี่ยนมุมมองชีวิตเราไปว่า พี่หอยเบื่อไหมที่จะต้องมาทำอะไรแบบนี้บ่อยๆ เดินที่เดิมซ้ำๆ พูดอะไรเดิมๆ ซ้ำๆ พี่หอยตอบกลับมาอย่างแน่นิ่งและเรียบได้ความว่า ไม่เบื่อ เพราะที่นี่เป็นบ้านเกิดของพี่ หมู่บ้านพี่อยู่ที่นี่ พี่รักในการทำงานที่นี่ มันทั้งทำให้พี่มีความสุข ทั้งได้อยู่ที่บ้าน และได้สนับสนุนการท่องเที่ยวของหมู่บ้านตัวเองอีกด้วย
คำตอบของพี่หอยกำลังทำท่าว่าจะเปลี่ยนการเลือกอาชีพในอนาคตของพวกเราทั้งสี่อย่างไรอย่างนั้น สุดท้ายแล้วเราก็ไม่ลืมที่จะบันทึกความทรงจำร่วมกับพี่หอยไว้ เพราะอนาคตในยามที่เราไม่พบทางออกนี่อาจจะเป็นเข็มทิศชิ้นสำคัญให้เราเลือกเดินก็ว่าได้
น้ำตกเพียงดิน
ลึกเข้าไปยังสวนหินผางาม เราพบกับทางต่อไปยังน้ำตกเพียงดินซึ่งป้ายบอกว่าประมาณสองกิโลเมตร พวกเราตัดสินใจเดินไปต่อทันที ระหว่างที่เรากำลังจะเข้าไปนั้นเราก็พบกับ 'ซินเดอเรลล่า' มันคือชื่อของสุนัขที่พวกเราตั้งกันเล่นๆ ซึ่งเราถามมันไปอย่างน่ารักว่า น้ำตกเพียงดินไปทางไหนเหรอ แต่สุนัขตัวนั้นทำท่าว่าจะเดินนำและพาไปเราอย่างกับมัคคุเทศก์ผู้เชี่ยวชาญ
ขณะที่พวกเราเดินล่วงไปประมาณห้าร้อยเมตรมีรถกระบะคันหนึ่งมาจอดเทียบข้างๆและลดกระจกลงพร้อมกับถามเราอย่างนุ่มนวลว่า จะไปน้ำตกไหม ทันทีที่ได้ยินพวกเรารีบพยักหน้าและกระโดดขึ้นรถทันทีแต่ที่น่าแปลกใจคือ เจ้าซินเดอเรลล่าพยายามตะเกียกตะกายขอขึ้นรถกับพวกเราด้วย ดังนั้นเราจึงเปิดกระบะท้ายให้มันขึ้นมาด้วยกัน
เมื่อเรามาถึงน้ำตกเพียงดินซึ่งตามทางแล้วราวกับทางขึ้นเขาประมาณสองกิโลเมตรเพื่อมายังต้นสายของน้ำตกนั่นเอง พวกเราค้นพบว่าที่นี่คือธรรมชาติที่ยังไม่โดนบุกรุกที่แท้จริง เพราะแม้เสียงน้ำตกจะดังขนาดไหน ความสงบก็ยิ่งมากขนาดนั้น ต้นไม้ใบหญ้าทั้งหลายถูกจัดวางไว้ในที่ที่ถูกที่ควร เราจึงใช้โอกาสนี้ในการพักผ่อนตามอัธยาศัยหรืองีบนั่นแหละ ลองเงียบดูสักนิดและลองเงี่ยหูฟังเสียงน้ำตกที่ดังซ่าอยู่นั่นสิ
และเราก็ออกมาจากสวนหินผางามเพื่อเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางของพวกเรา นั่นคือ ภูป่าเปาะ ซึ่งทางที่จะไปยังภูป่าเปาะนั่นช่างง่ายดายและเรียบง่ายซะเหลือเกิน เนื่องจากเมื่อเราเดินออกมาจากสวนหินผางามแล้ว ถนนที่เข้าไปยังภูป่าเปาะนั้นเพียงแค่เลี้ยวขวาและตรงตามถนนไปอีกประมาณสองกิโลเมตรเท่านั้น พวกเราจึงรีบเดินไปหาธรรมชาติที่ไม่สามารถเดินมาหาเราได้นั้นทันที
ระหว่างที่เดินและพูดคุยกับธรรมชาติข้างทางมาได้สักพัก รถกระบะบางคันผ่านมาเห็นเราโบกก็จอดและบอกกับพวกเราอย่างน่ารักและจริงใจว่า ไม่ได้ไปภูนะ จะเลี้ยวเข้าไปที่ไร่ หรือ ต้นไม้เต็มหลังรถเลยนะ ตอนนี้บรรยากาศในการถูกปฏิเสธช่างฟลุ้งไปด้วยการยอมรับ นี่ถือเป็นการปฏิเสธที่ผู้คนอยากจะได้ยินมากที่สุดเลยหรือเปล่านะ
และสุดท้ายก็มีรถกระบะหนึ่งคันซึ่งไม่ได้จะมายังภูป่าเปาะโดยตรง แต่ขออาสามาส่งยังทางขึ้นไปยังภูป่าเปาะ โดยคนขับเป็นคุณน้าและมีคุณลุงอีกคนนั่งข้างๆ และปรากฎว่าชัตเตอร์ก็ดันไปกดติดภาพความจำที่เต็มไปด้วยความหมายและความรู้สึกเก็บไว้ซะด้วยสิ
ตรงนี้เป็นเพียงทางขึ้นไปยังภูป่าเปาะ ทุกท่านที่มาต้องจอดยานพาหนะทุกชนิดไว้ที่รอบรับตรงนี้ และต้องเสียค่าโดยสารรถแทรกเตอร์เพื่อขึ้นไปยังด้านบนคนละหกสิบบาท(ซึ่งถ้าท่านที่ขึ้นไปแล้วจะเข้าใจว่าหกสิบบาทนี้ช่างคุ้มค่าเหลือเกิน) และผู้ที่จะขึ้นไปกางเตนท์ข้างบน(ต้องเตรียมเตนท์มาเอง) จะเสียเงินคนละห้าสิบบาทค่าพื้นที่ และพวกเราก็จัดจ่ายค่าใช้จ่ายทั้งหมดและมุ่งตรงไปยังจุดหมายทันที
ภูป่าเปาะ
ถ้าไม่นับรวมเส้นทางหนทางที่เดินทางขึ้นมาที่นี่ ก็ยังถือว่าที่นี่เป็นภาคเหนือย่อยๆอยู่ดี ตอนนี้พวกเราอาศัยอยู่ท่ามกลางภูเขาที่รายล้อมอ้อมโอบ เหมือนธรรมชาติกำลังกอดเราไว้อย่างอุ่นๆ ท่ามกลางความเหน็บหนาว ข้างบนนี้มีร้านค้าต่างๆ และห้องน้ำเปิดไว้บริการให้นักท่องเที่ยวอย่างเป็นกันเอง แต่ข้างบนนี้ไม่มีไฟฟ้า นี่คือสิ่งที่พวกเราประทับใจกันอย่างสุดซึ้งหนึ่งข้อ ราวกับว่าพวกเราได้มาใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติอย่างแท้จริง และพวกเราก็กางเตนท์จัดเตรียมเครื่องนอนกันและฝากท้องไว้กับอาหารเย็นของร้านค้าแถวนั้นซึ่งเป็นร้านค้าลำดับแรกสุด เจ้าของร้านเป็นคุณยายชื่อยายสำลี เราคุยกันอย่างถูกปากถูกคอราวกับว่าเป็นลูกหลานของคุณยายซะเอง จากนั้นเราทุกคนที่เพลียจากการใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าทั้งวันจึงรีบเข้านอนเพื่อที่จะได้ตื่นก่อนตะวันในวันรุ่งขึ้น
BACKPACKERmemories: สวนหินผางาม. น้ำตกเพียงดิน. ภูป่าเปาะ. ยอดเขาพระมาลัย. ถ้ำแสงตะวัน. /// อ.หนองหิน จ.เลย
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
220157
เริ่มแรกเดิมทีผมก็ใช้ชีวิตปกติของผมนี่แหละครับ จนกระทั่งมีเพื่อนคนนึงโพสต์แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทยโดย ททท. ขึ้นมา ด้วยความที่อยากจะรู้ว่ามีสถานที่ไหนบ้างจึงเข้าไปดูก็พบว่ามีสถานที่หนึ่งซึ่งใช้ชื่อว่า 'ฟูจิเมืองไทย' และด้วยความที่สงสัยและอยากจะรู้เรื่องราวจึงไปทำข้อมูลต่อจนพบว่ามันคือ 'ภูป่าเปาะ' ซึ่งตั้งอยู่ที่ อำเภอหนองหิน จังหวัดเลย และในขณะที่ปัจจุบันนี้ยังเป็นหน้าวหนาวและมีอากาศหนาวอยู่ ยากที่จะปฏิเสธกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าซะเหลือเกิน ผมจึงตัดสินใจชวนเพื่อนซึ่งจบมัธยมศึกษาตอนปลายมาด้วยกัน(ปัจจุบันผมอายุสิบแปด) ใครที่ว่างและมีความสนใจก็สามารถมาร่วมการบันทึกความทรงจำครั้งนี้ด้วยกันได้ จนท้ายที่สุดผมก็ได้คนร่วมเดินทางอีกสาม รวมทั้งหมดเป็นสี่
250157
พวกเราเลือกเดินทางกันในเช้าวันเสาร์ โดยตกลงกันว่าจะนอนหนึ่งคืนและกลับวันอาทิตย์ เนื่องจากสมาชิกมีภารกิจทางการศึกษาทั้งในวันศุกร์และวันจันทร์ และเมื่อเช้าวันเสาร์มาถึง พวกเรานั่งรถทัวร์มาลงที่อำเภอหนองหิน จังหวัดเลย ซึ่งเป็นทางผ่านก่อนเข้าตัวเมืองพอดิบพอดี หลังจากที่ลงจากรถและทำธุรกิจส่วนตัวเสร็จสรรพแล้ว พวกเราก็เริ่มกดปุ่มบันทึกความทรงจำโดยประสาทสัมผัสทั้งห้าทันที
จุดหมายแรกของพวกเราในวันนี้ก็คือ 'สวนหินผางาม' พวกเราจึงเดินไปตามถนนหนทางที่เหมือนปูไว้ให้อยู่แล้วท่ามกลางบรรยากาศที่เย็นสบาย โดยพวกเราตั้งปณิธานกันว่าจะโบกรถที่ผ่านมาโดยจะโบกเฉพาะรถกระบะเพราะรถเก๋งคงอัดกันลำบาก จากนั้นเหมือนโชคชะตาเป็นใจ เพราะมีรถกระบะผ่านมาพอดี เมื่อเราโบกรถคันนั้นก็ต้องประหลาดใจเพราะรถคันนั้นกำลังมุ่งหน้าไปที่สวนหินผางามเช่นกัน
สวนหินผางาม
ทันทีที่เรามาถึง เราก็มุ่งหน้าตรงไปยังศูนย์ประชาสัมพันธ์ทันที ซึ่งการที่จะเข้าไปชมจะต้องเสียค่าธรรมเนียมเป็นจำนวนเงินหนึ่งร้อยบาทต่อหนึ่งกลุ่ม(กลุ่มละไม่เกินสิบคน) ซึ่งพวกเราก็มีกันอยู่สี่คนก็ต้องเสียหนึ่งร้อยบาทเช่นกัน เมื่อทำธุรกรรมทางการเงินเรียบร้อยแล้ว พนักงานได้ถามอีกครั้งว่าจะนั่งรถ(เสียค่าบริการคนละยี่สิบบาท)หรือจะเดินเท้า ซึ่งการเดินเท้าจะต้องใช้ระยะทางประมาณหนึ่งพันสามร้อยเมตร พวกเราตัดสินใจเดินไปซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องครั้งหนึ่งในชีวิต เพราะนี่คือการพบเจอธรรมชาติที่แท้จริงอีกหนทางหนึ่ง ทันทีที่เราตัดสินใจเดินทางทีมงานก็ส่งมัคคุเทศก์มาร่วมเดินทางด้วย แกชื่อ 'พี่หอย' และพวกเราก็เริ่มออกเดินทาง
ในระหว่างเดินทางนั้น พี่หอยแกจะอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่สองข้างทางได้อย่างละเอียด(ก็แน่ล่ะพี่แกเป็นมัคคุเทศก์นี่นา) และเรายังสามารถสอบถามทุกสิ่งทุกอย่างกับพี่หอยได้เรื่อยๆ ซึ่งนั่นไม่ได้รวมถึงเลดี้กาก้าใส่รองเท้าส้นตึกกี่เมตรหรือออสก้าร์ปีนี้กราวิตี้จะเข้าชิงกี่สาขา หากแต่ถามได้เฉพาะเรื่องธรรมชาติรอบตัวเท่านั้น เช่น ต้นไม้นั่นสามารถนำมาทำอะไรได้บ้าง เป็นต้น
ด้วยความที่เราขี้สงสัยจึงถามคำถามที่เปลี่ยนมุมมองชีวิตเราไปว่า พี่หอยเบื่อไหมที่จะต้องมาทำอะไรแบบนี้บ่อยๆ เดินที่เดิมซ้ำๆ พูดอะไรเดิมๆ ซ้ำๆ พี่หอยตอบกลับมาอย่างแน่นิ่งและเรียบได้ความว่า ไม่เบื่อ เพราะที่นี่เป็นบ้านเกิดของพี่ หมู่บ้านพี่อยู่ที่นี่ พี่รักในการทำงานที่นี่ มันทั้งทำให้พี่มีความสุข ทั้งได้อยู่ที่บ้าน และได้สนับสนุนการท่องเที่ยวของหมู่บ้านตัวเองอีกด้วย
คำตอบของพี่หอยกำลังทำท่าว่าจะเปลี่ยนการเลือกอาชีพในอนาคตของพวกเราทั้งสี่อย่างไรอย่างนั้น สุดท้ายแล้วเราก็ไม่ลืมที่จะบันทึกความทรงจำร่วมกับพี่หอยไว้ เพราะอนาคตในยามที่เราไม่พบทางออกนี่อาจจะเป็นเข็มทิศชิ้นสำคัญให้เราเลือกเดินก็ว่าได้
น้ำตกเพียงดิน
ลึกเข้าไปยังสวนหินผางาม เราพบกับทางต่อไปยังน้ำตกเพียงดินซึ่งป้ายบอกว่าประมาณสองกิโลเมตร พวกเราตัดสินใจเดินไปต่อทันที ระหว่างที่เรากำลังจะเข้าไปนั้นเราก็พบกับ 'ซินเดอเรลล่า' มันคือชื่อของสุนัขที่พวกเราตั้งกันเล่นๆ ซึ่งเราถามมันไปอย่างน่ารักว่า น้ำตกเพียงดินไปทางไหนเหรอ แต่สุนัขตัวนั้นทำท่าว่าจะเดินนำและพาไปเราอย่างกับมัคคุเทศก์ผู้เชี่ยวชาญ
ขณะที่พวกเราเดินล่วงไปประมาณห้าร้อยเมตรมีรถกระบะคันหนึ่งมาจอดเทียบข้างๆและลดกระจกลงพร้อมกับถามเราอย่างนุ่มนวลว่า จะไปน้ำตกไหม ทันทีที่ได้ยินพวกเรารีบพยักหน้าและกระโดดขึ้นรถทันทีแต่ที่น่าแปลกใจคือ เจ้าซินเดอเรลล่าพยายามตะเกียกตะกายขอขึ้นรถกับพวกเราด้วย ดังนั้นเราจึงเปิดกระบะท้ายให้มันขึ้นมาด้วยกัน
เมื่อเรามาถึงน้ำตกเพียงดินซึ่งตามทางแล้วราวกับทางขึ้นเขาประมาณสองกิโลเมตรเพื่อมายังต้นสายของน้ำตกนั่นเอง พวกเราค้นพบว่าที่นี่คือธรรมชาติที่ยังไม่โดนบุกรุกที่แท้จริง เพราะแม้เสียงน้ำตกจะดังขนาดไหน ความสงบก็ยิ่งมากขนาดนั้น ต้นไม้ใบหญ้าทั้งหลายถูกจัดวางไว้ในที่ที่ถูกที่ควร เราจึงใช้โอกาสนี้ในการพักผ่อนตามอัธยาศัยหรืองีบนั่นแหละ ลองเงียบดูสักนิดและลองเงี่ยหูฟังเสียงน้ำตกที่ดังซ่าอยู่นั่นสิ
และเราก็ออกมาจากสวนหินผางามเพื่อเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางของพวกเรา นั่นคือ ภูป่าเปาะ ซึ่งทางที่จะไปยังภูป่าเปาะนั่นช่างง่ายดายและเรียบง่ายซะเหลือเกิน เนื่องจากเมื่อเราเดินออกมาจากสวนหินผางามแล้ว ถนนที่เข้าไปยังภูป่าเปาะนั้นเพียงแค่เลี้ยวขวาและตรงตามถนนไปอีกประมาณสองกิโลเมตรเท่านั้น พวกเราจึงรีบเดินไปหาธรรมชาติที่ไม่สามารถเดินมาหาเราได้นั้นทันที
ระหว่างที่เดินและพูดคุยกับธรรมชาติข้างทางมาได้สักพัก รถกระบะบางคันผ่านมาเห็นเราโบกก็จอดและบอกกับพวกเราอย่างน่ารักและจริงใจว่า ไม่ได้ไปภูนะ จะเลี้ยวเข้าไปที่ไร่ หรือ ต้นไม้เต็มหลังรถเลยนะ ตอนนี้บรรยากาศในการถูกปฏิเสธช่างฟลุ้งไปด้วยการยอมรับ นี่ถือเป็นการปฏิเสธที่ผู้คนอยากจะได้ยินมากที่สุดเลยหรือเปล่านะ
และสุดท้ายก็มีรถกระบะหนึ่งคันซึ่งไม่ได้จะมายังภูป่าเปาะโดยตรง แต่ขออาสามาส่งยังทางขึ้นไปยังภูป่าเปาะ โดยคนขับเป็นคุณน้าและมีคุณลุงอีกคนนั่งข้างๆ และปรากฎว่าชัตเตอร์ก็ดันไปกดติดภาพความจำที่เต็มไปด้วยความหมายและความรู้สึกเก็บไว้ซะด้วยสิ
ตรงนี้เป็นเพียงทางขึ้นไปยังภูป่าเปาะ ทุกท่านที่มาต้องจอดยานพาหนะทุกชนิดไว้ที่รอบรับตรงนี้ และต้องเสียค่าโดยสารรถแทรกเตอร์เพื่อขึ้นไปยังด้านบนคนละหกสิบบาท(ซึ่งถ้าท่านที่ขึ้นไปแล้วจะเข้าใจว่าหกสิบบาทนี้ช่างคุ้มค่าเหลือเกิน) และผู้ที่จะขึ้นไปกางเตนท์ข้างบน(ต้องเตรียมเตนท์มาเอง) จะเสียเงินคนละห้าสิบบาทค่าพื้นที่ และพวกเราก็จัดจ่ายค่าใช้จ่ายทั้งหมดและมุ่งตรงไปยังจุดหมายทันที
ภูป่าเปาะ
ถ้าไม่นับรวมเส้นทางหนทางที่เดินทางขึ้นมาที่นี่ ก็ยังถือว่าที่นี่เป็นภาคเหนือย่อยๆอยู่ดี ตอนนี้พวกเราอาศัยอยู่ท่ามกลางภูเขาที่รายล้อมอ้อมโอบ เหมือนธรรมชาติกำลังกอดเราไว้อย่างอุ่นๆ ท่ามกลางความเหน็บหนาว ข้างบนนี้มีร้านค้าต่างๆ และห้องน้ำเปิดไว้บริการให้นักท่องเที่ยวอย่างเป็นกันเอง แต่ข้างบนนี้ไม่มีไฟฟ้า นี่คือสิ่งที่พวกเราประทับใจกันอย่างสุดซึ้งหนึ่งข้อ ราวกับว่าพวกเราได้มาใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติอย่างแท้จริง และพวกเราก็กางเตนท์จัดเตรียมเครื่องนอนกันและฝากท้องไว้กับอาหารเย็นของร้านค้าแถวนั้นซึ่งเป็นร้านค้าลำดับแรกสุด เจ้าของร้านเป็นคุณยายชื่อยายสำลี เราคุยกันอย่างถูกปากถูกคอราวกับว่าเป็นลูกหลานของคุณยายซะเอง จากนั้นเราทุกคนที่เพลียจากการใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าทั้งวันจึงรีบเข้านอนเพื่อที่จะได้ตื่นก่อนตะวันในวันรุ่งขึ้น