2 กุมภาพันธ์ วันเลิกทาสยุคโลกาภิวัฒน์

สมัยสนธิ  ลิ้มทองกุล นำม๊อบพันธมิตรออกประท้วงรัฐบาลพรรคไทยรักไทย  และต่อมาถึงพรรคพลังประชาชนนั้น  ช่วงที่ Peak สูงสุดถึงขั้นบุกยึดทำเนียบรัฐบาล และสนามบินสุวรรณภูมิ  ครั้งนั้นมีประชาชนออกมาร่วมชุมนุมกับม๊อบพันธมิตรมากมายล้นหลาม  และบนเวทีบรรดาแกนนำต่างก็ขึ้นเวทีโดยใช้สัญลักษณ์สวมเสื้อสีเหลือง  ผ้าพันคอสีฟ้า  และยังมีการสนับสนุนน้ำดื่มอย่างไม่ขาดสายด้วยน้ำดื่มตรา “จิตรลดา” ในขณะนั้นนายสนธิ  ลิ้มทองกุล อหังการถึงขั้นอ้างตัวเองเป็น “ราชบุตรเขย”  และเคยประกาศอย่างก้าวร้าวบนเวทีต่อรัฐบาล  ตำรวจ และผู้ที่กำลังต่อต้านม๊อบพันธมิตรนั้นว่า “รู้หรือเปล่าว่ากำลังสู่อยู่กับใคร”    เวลาผ่านไปจากวันนั้นถึงเวลานี้กว่า 7 ปีน่าจะกล่าวได้ว่าผู้ที่ติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองของประเทศมาโดยตลอดคงจะไม่มีใครไม่ทราบว่าแล้วว่า  “ประชาชนผู้รักประชาธิปไตยกำลังสู้อยู่กับใคร”  หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งใครกันแน่ที่ทำตัวเป็นศัตรูกับระบอบประชาธิปไตยของประเทศนี้

ชาวไทยถูกอบรมสั่งสอนและสร้างให้เป็นคนที่มีความซื่อสัตย์อ่อนน้อมภักดีต่อความเชื่อความศรัทธาที่ถูกสั่งสอนตลอดมาโดยไม่มีความสงสัยใดๆ  แม้ว่าสิ่งที่ถูกสอนให้เชื่อและครอบงำอยู่นั้นจะดูแปลกๆ และกลายเป็นคำถามในสายตาประชาคมโลก  แต่ชาวไทยก็ยอมจะปิดหูปิดตาเสียแล้วบอกว่า “นี่คือความเชื่อความศรัทธาแบบไทยๆ” หรือยอมรับได้แม้กระทั่งว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีการทำรัฐประหารยึดอำนาจมากถึง 18 ครั้งในระยะเวลาประมาณ 65 ปีมานี้ซึ่งหมายความว่าประเทศไทยมีการทำรัฐประหารยึดอำนาจเฉลี่ยทุกๆ 3 ปีครึ่ง  หรือทุกครั้งที่ความขัดแย้งทางการเมืองเข้าสู่จุดวิกฤติมีการใช้กองกำลังทหารติดอาวุธเข้าปราบปรามประชาชนล้มตายเลือดนองท่วมถนนราชดำเนิน  ประชาชนไทยก็จะรู้สึกมีความสุขปลาบปลื้มใจทุกครั้งที่สถานการณ์เลวร้ายรุนแรงนั้นสงบลงได้ด้วยความอัศจรรย์เหนือความคาดหมาย

เราถูกทำให้เชื่อตลอดมาว่าสิทธิความเป็นคนของคนหนึ่งที่เกิด..เติบโต..มีชีวิตอยู่..และดำรงชีพด้วยความสุขสงบเสมอมาในประเทศนี้นั้นมิได้เกิดจากความสามารถหรือศักยภาพของตนเอง  แต่ทว่าเกิดจากสิ่งอัศจรรย์บางอย่างช่วยให้มีชีวิตเป็นเช่นนั้น  อาจจะเรียกว่า “บุญ..บารมี..กุศล..วาสนา ฯลฯ”  ก็แล้วแต่จะคิดกันไป   แต่ที่ห้ามไม่ให้คิดโดยเด็ดขาดก็คือความสามารถ หรือสิทธิความเป็นคนๆ หนึ่งที่อยู่ในประเทศนี้นั้นจะเท่าเทียมกับเทวดาบนฟ้าไม่ได้เป็นอันขาด   ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วนั่นคือความคิดและความเชื่อที่ย้อนกลับไปเมื่อ 50 ปีที่แล้ว   สมัยที่ยังไม่มีสมาร์ทโฟน..อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง..และการสื่อสานผ่านดาวเทียม..

เมื่อวานนี้ชาวไทยอาจจะเชื่อว่าสิทธิของความเป็นคนที่เกิดในแผ่นดินนี้มีไม่เท่ากับคนกลุ่มอื่น  แต่มาถึงวันนี้ความคิดนี้กำลังจางหายไปอย่างรวดเร็ว  มีคำถามที่เริ่มจะถามกันมากขึ้นว่า “คนไทยทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันหรือไม่? และทำไม?” เสียงเรียกร้องทวงสิทธิความเป็นคนไทยที่เกิดและเติบโตในผืนแผ่นดินนี้ดังก้องกังวาลมากขึ้นๆ และเสียงนี้เริ่มที่จะกลบความเชื่อที่ถูกสอนให้เชื่อตลอดมาว่าคนไทยมิได้มีความสามารถด้วยตนเองแต่ด้วย บุญ..บารมี..ของใครบางคน  

ความเติบโตของระบอบประชาธิปไตยและการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งของระบบการสื่อสารไร้พรมแดนทำให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลที่เคยถูกปิดซ่อนไว้ได้ง่ายขึ้น  สิ่งที่ไม่สามารถจะรู้ได้ถ้าย้อนหลังเวลาไปเมื่อ 50 ปีที่แล้วกลับถูกเปิดเผยอย่างไม่มีอะไรปิดบัง  ความเชื่อความศรัทธาที่เคยเชื่อว่ามีใครบางคนที่คอยช่วยให้คนไทยมีความสุขความเจริญด้วย “บุญ..บารมี” นั้น  กำลังถูกสั่นคลอนด้วยความเชื่อใหม่ที่สอดแทรกเข้ามาคือ “สิทธิความเป็นคนที่เท่าเทียมกัน”

วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 นี้จะมิใช่เพียงแค่วันลงคะแนนเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามปกติเท่านั้น   แต่ทว่าความหมายของการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งในวันนั้นกลับมีคุณค่าสูงกว่านั้นมากนักความสำคัญเทียบเท่าได้เท่ากับวันประกาศการ “เลิกทาส”  ของในหลวงรัชกาลที่ 5 เลยทีเดียว  และถึงเวลาแล้วที่ประชาชนไทยทุกคนจะต้องเลือกว่า “พวกเราจะเลือกรักษาสิทธิความเป็นคนไทยที่เท่าเทียมกันกับคนอื่นๆ ในประเทศนี้.. หรือยอมรับความเชื่อความศรัทธาอย่างงมงายที่ถูกล้างสมองมานานแสนนานว่าคนไทยไม่เท่ากัน”  

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นผมจะไปเลือกตั้งเพื่อปลดแอกความเป็นทาสของผมใครจะไปกับผมบ้าง..แล้วพบกันที่หน่วยเลือกตั้งครับ

ปูนนก
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่