เมื่อวันที่ 24 มกราคมที่ผ่านมา บริษัทอุตสาหกรรมการบิน จำกัด หรือ TAI และบริษัท Lockheed Martin พร้อมกับกองทัพอากาศสหรัฐและกองทัพอากาศไทย ได้จัดพิธีเปิดตัว F-16AM/BM จำนวน 2 เครื่องแรกจากทั้งหมด 18 เครื่องที่ผ่านโครงการ Mid-Life Upgrade หรือ MLU ที่ฝ่ายซ่อมบำรุงอากาศยานของ TAI จังหวัดนครสวรรค์ โดยในพิธีมีพลอากาศเอกสฤษดิ์พงษ์ โกมุทานนท์ รองผู้บัญชาการทหารอากาศ เป็นผู้แทนผู้บัญชาการทหารอากาศไทย ฯพณฯ Kristie Kenney เอกอัครราชฑูตสหรัฐประจำประเทศไทยเป็นผู้แทนฝ่ายสหรัฐ พลอากาศตรี Rochard C. Johnston ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการทบวงทหารอากาศ (Assistant Deputy Under Secretary of The Air Force) เป็นผู้แทนกองทัพอากาศสหรัฐ รวมถึงเจ้าหน้าที่ของบริษัท TAI และ Lockheed Martin รวมถึงนายทหารของกองทัพอากาศเข้าร่วมในพิธี
ภายในงานพิธี เอกอัครราชฑูต Kristie Kenney กล่าวว่า "ดิฉันรู้สึกภาคภูมิใจที่สหรัฐอเมริกาได้เป็นหุ้นส่วนกับ Lockheed Martin และ TAI โดยการปรับปรุงนี้ทำให้ F-16 ของกองทัพอากาศไทยก้าวขึ้นไปอยู่ในระดับโลก และทัดเทียมกับเครื่องบินขับไล่ชั้นยอดจากประเทศในอาเซียน กลุ่มประเทศ NATO และกองทัพอากาศสหรัฐ นี่เป็นการร่วมมือที่น่าตื่นเต้น และเป็นการเพิ่มความสามารถในการปฏิบัติงานร่วมกันกับสหรัฐในทุกพื้นที่ทั่วโลกเพื่อทำให้ชีวิตของประชาชนมีความปลอดภัยมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นในเอเชียหรือในพื้นที่อื่น ๆ ทั่วโลก ซึ่งนี่คือสิ่งที่เราภูมิใจ"
โครงการปรับปรุงช่วงครึ่งชีวิตของ F-16A/B Block 15 OCU ของฝูงบิน 403 ให้เป็นมาตรฐาน F-16AM/BM eMLU (enhance Mid-Life Upgrade) นั้นแบ่งการดำเนินงานเป็น 3 ระยะ คือระยะที่ 1 ตั้งแต่ปี 2554-2556 ระยะที่ 2 ตั้งแต่ปี 2556-2558 และระยะที่ 3 ตั้งแต่ปี 2558-2560 ระยะละ 6 เครื่อง โดย F-16 เครื่องแรกเข้ารับการปรับปรุงในปี 2555 ที่ผ่านมา โดยการปรับปรุงจะทำการทดแทนอุปกรณ์เก่าด้วยอุปกรณ์ใหม่ที่ทันสมัยเช่น ระบบเรดาร์แบบ AN/APG-68(V)9 ของบริษัท Northrop Grumman ระบบระบบพิสูจน์ฝ่าย AN/APX-113 Combined Interrogator and Transponder ของบริษัท BAE Systems ระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์แบบ AN/ALQ-213 Electronic Warfare Management System ของบริษัท Terma ระบบเป้าลวงแบบ AN/ALE-47 Airborne Countermeasures Dispenser System ของบริษัท BAE Systems รวมถึงการออกแบบและเปลี่ยนระบบแสดงผลของห้องนักบิน เปลี่ยนคันบังคับนักบิน ติดตั้งระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลทางยุทธวิธีแบบ Link 16 ซึ่งจะเชื่อมต่อกับระบบ Air Command and Control System หรือ ACCS ของกองทัพอากาศไทย และจัดหาระบบอาวุธเช่น หมวกบินติดศูนย์เล็งแบบ Joint Helmet-Mounted Cueing System (JHMCS) ของบริษัท Boeing กระเปาะชี้เป้าแบบ Sinper ของบริษัท Lockheed Martin รวมถึงระบบอาวุธอากาศสู่อากาศทั้งจรวดอากาศสู่อากาศพิสัยกลางแบบ AIM-120C-5 AMRAAM และจรวดอากาศสู่อากาศพิสัยใกล่แบบ IRIS-T และระเบิดนำวิถีด้วยเลเซอร์และดาวเทียม ซึ่งจะมีการจัดหาต่อไป
ทั้งนี้ กองทัพอากาศจะดำเนินการปรับปรุง F-16A/B ทั้ง 17 ลำ ของฝูง 403 และนำเครื่องบินทดแทนจากฝูง 103 มาประจำการในฝูง 403 อีก 1 ลำ รวม 18 ลำ และจะคงสภาพ F-16A/B Block 15OCU ในฝูง 103 ต่อไป รวมถึงเตรียมการเพื่อเริ่มโครงการจัดหาเครื่องบินขับไล่ทดแทน F-16A/B ADF ที่กำลังจะปลดประจำการลงในเวลาไม่นานนี้
ที่มา
http://www.thaiarmedforce.com/taf-special/670-tafspecial95.html
ปรับปรุง F16 โครงการ Mid-Life Upgrade หรือ MLU (น่าจะทำสีด้วย)
ภายในงานพิธี เอกอัครราชฑูต Kristie Kenney กล่าวว่า "ดิฉันรู้สึกภาคภูมิใจที่สหรัฐอเมริกาได้เป็นหุ้นส่วนกับ Lockheed Martin และ TAI โดยการปรับปรุงนี้ทำให้ F-16 ของกองทัพอากาศไทยก้าวขึ้นไปอยู่ในระดับโลก และทัดเทียมกับเครื่องบินขับไล่ชั้นยอดจากประเทศในอาเซียน กลุ่มประเทศ NATO และกองทัพอากาศสหรัฐ นี่เป็นการร่วมมือที่น่าตื่นเต้น และเป็นการเพิ่มความสามารถในการปฏิบัติงานร่วมกันกับสหรัฐในทุกพื้นที่ทั่วโลกเพื่อทำให้ชีวิตของประชาชนมีความปลอดภัยมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นในเอเชียหรือในพื้นที่อื่น ๆ ทั่วโลก ซึ่งนี่คือสิ่งที่เราภูมิใจ"
โครงการปรับปรุงช่วงครึ่งชีวิตของ F-16A/B Block 15 OCU ของฝูงบิน 403 ให้เป็นมาตรฐาน F-16AM/BM eMLU (enhance Mid-Life Upgrade) นั้นแบ่งการดำเนินงานเป็น 3 ระยะ คือระยะที่ 1 ตั้งแต่ปี 2554-2556 ระยะที่ 2 ตั้งแต่ปี 2556-2558 และระยะที่ 3 ตั้งแต่ปี 2558-2560 ระยะละ 6 เครื่อง โดย F-16 เครื่องแรกเข้ารับการปรับปรุงในปี 2555 ที่ผ่านมา โดยการปรับปรุงจะทำการทดแทนอุปกรณ์เก่าด้วยอุปกรณ์ใหม่ที่ทันสมัยเช่น ระบบเรดาร์แบบ AN/APG-68(V)9 ของบริษัท Northrop Grumman ระบบระบบพิสูจน์ฝ่าย AN/APX-113 Combined Interrogator and Transponder ของบริษัท BAE Systems ระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์แบบ AN/ALQ-213 Electronic Warfare Management System ของบริษัท Terma ระบบเป้าลวงแบบ AN/ALE-47 Airborne Countermeasures Dispenser System ของบริษัท BAE Systems รวมถึงการออกแบบและเปลี่ยนระบบแสดงผลของห้องนักบิน เปลี่ยนคันบังคับนักบิน ติดตั้งระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลทางยุทธวิธีแบบ Link 16 ซึ่งจะเชื่อมต่อกับระบบ Air Command and Control System หรือ ACCS ของกองทัพอากาศไทย และจัดหาระบบอาวุธเช่น หมวกบินติดศูนย์เล็งแบบ Joint Helmet-Mounted Cueing System (JHMCS) ของบริษัท Boeing กระเปาะชี้เป้าแบบ Sinper ของบริษัท Lockheed Martin รวมถึงระบบอาวุธอากาศสู่อากาศทั้งจรวดอากาศสู่อากาศพิสัยกลางแบบ AIM-120C-5 AMRAAM และจรวดอากาศสู่อากาศพิสัยใกล่แบบ IRIS-T และระเบิดนำวิถีด้วยเลเซอร์และดาวเทียม ซึ่งจะมีการจัดหาต่อไป
ทั้งนี้ กองทัพอากาศจะดำเนินการปรับปรุง F-16A/B ทั้ง 17 ลำ ของฝูง 403 และนำเครื่องบินทดแทนจากฝูง 103 มาประจำการในฝูง 403 อีก 1 ลำ รวม 18 ลำ และจะคงสภาพ F-16A/B Block 15OCU ในฝูง 103 ต่อไป รวมถึงเตรียมการเพื่อเริ่มโครงการจัดหาเครื่องบินขับไล่ทดแทน F-16A/B ADF ที่กำลังจะปลดประจำการลงในเวลาไม่นานนี้
ที่มา http://www.thaiarmedforce.com/taf-special/670-tafspecial95.html