แชร์ประสบการณ์ บ้านจนไม่มีเงินส่งเรียนแต่อยากเรียน ป.ตรี

ขอเล่าประสบการณ์เด็กจน แต่อยากเรียนปริญญาตรีค่ะ เป็นกำลังใจให้น้องๆที่อยากเรียนค่ะ เมื่อวานตั้งกระทู้เกี่ยวกับหนี้สินของแม่แล้วได้กำลังใจ ได้คำแนะนำเยอะมาก วันนี้เลยอยากมาให้กำลังใจ ให้คำแนะนำคนที่กำลังท้ออยู่บ้างค่ะ

เรื่องแบบนี้มันจะเกิดขึ้นหลังจากที่เราเรียนกำลังจะจบ ม.ปลาย แม่ ญาติจะกล่อมให้เราเรียนแค่ ม.6 แล้วออกมาทำงานโรงงาน สบายกว่าไปดิ้นรนเรียนต่อเผลอๆเรียนจบมาแล้วไม่มีงานทำอีก แต่เราเป็นคนรั้นค่ะ เห็นพี่สาวเรียนไปทำงานไปส่งตัวเองเรียนได้ก็คิดว่าเราต้องทำได้ค่ะ เลยสอบโควต้า
มหาลัยแถวบ้าน แล้วก็ติดสาธารณสุข พอรู้ผลแล้วก็สบายใจไม่ต้องกังวลเรื่องหาที่เรียน ก็มาบอกแม่ว่าติดแล้วแม่ก็ดีใจกับเราด้วย พอสอบเสร็จวันสุดท้ายของ ม.6 ก็รีบขอใบรับรองวุฒิเลยค่ะ วันต่อมาอาจารย์นัดให้ไปเอา ได้ใบรับรองมาก็เลยไปสมัครงานต่อเลยทั้งชุดนักเรียนนั้นแหละ ตระเวนตามร้านอาหาร แล้วก็โรงงานอุตสาหกรรม สุดท้ายได้งานโรงงานเย็บผ้า แต่เราเย็บผ้าไม่เป็นเลยได้ไปอยู่ แผนก pack ตอนนั้นดีใจมาก โรงงานนัดไปทำงานวันจันทร์ถัดไปซึ่งวันนั้นก็วันพฤหัสแล้วให้ไปตรวจสุขภาพเปิดบัญชีให้เรียบร้อย เรารีบกลับบ้านไปรีบบอกแม่ แม่ก็ดีใจกับเราแต่ก็บอกว่าเหนื่อยนะทำไหวเหรอ เราก็บอกไหวๆ

ฝ่ายผลิตครั้งที่หนึ่ง ปิดเทอมใหญ่ ม.6
เราได้ตำแหน่งเป็นพนักงานฝ่ายผลิต วันแรกสบายมากแค่นั่งฟังกฏระเบียบ ลักษณะงาน นู้นี่นั่นพอห้าโมงเย็นก็กลับบ้าน ได้ตังค์มาอยู่ในบัญชีแหละ 200 กว่าบาท กลับบ้านมาอวดแม่ โทรไปอวดพี่ 
วันต่อมาเราต้องลงไปทำงานจริงๆ ด้วยความสูง 168 ใกล้เคียงกลับผู้ชายเราได้รับมอบหมายให้ไปเดินไลน์ คือคนที่นั่งทำประจำจุดก็ทำไปอะไรหมดก็เรียกเราให้เอามาให้ อะไรเสร็จก็เรียกเราเอาไปส่ง ถ้าว่างก็ยืนเฉยๆห้ามนั่ง วันนั้นเดินไป หลายโล กลับมาปวดขามากลงรถรับส่งมาแทบจะคลานเข้าบ้าน ด้วยความอยากเรียนกลัวแม่บ่นเลยบอกไปว่าสบายมาก ตื่นเช้ามาแทบลุกยืนไม่ไหวขาสั่นไปหมดกลั้นใจเดิน เดินไปอาบน้ำกินข้าวแม่ทำให้กินตอนเช้าแล้วห่อให้ตอนกลางวันด้วย ไปทำงานไม่ใช้เงินสักบาทงกมากๆ แต่จะบอกว่าทำงานที่นี่เหนื่อยจากการเดินก็จริงแต่สักพักก็ชินเอง ร่างกายปรับตัวได้มีเส้นเลือดขอดแต่ไม่เจ็บ ข้อดีของการทำงานที่นี่คือมีแต่คนแก่ มีลูก สามีแล้ว ปัญหานินทากันไม่ค่อยมีทุกคนมองเราเหมือนเป็นลูกเป็นหลานประทับใจ ป้าๆแม่ๆทุกคนในแผนกมาก สรุปปิดเทอมใหญ่ ม.6 เก็บเงินได้เกือบ 25,000 จ่ายค่าเทอมเก็บไว้ใช้ไม่มีค่าหอเพราะไปกลับบ้าน อ่อกู้ กยศ. ด้วยค่าเทอมได้คืนตอนกลางเทอม รายเดือน อีก2000 ใช้อย่างประหยัดก็อยู่ได้สบาย ใช้เวลาทำงานสี่เดือนไม่เข้าปรับพื้นที่มหาลัย วันที่ลาออกร้องไห้เลยอิอิ

ฝ่ายผลิตครั้งที่ สอง ปิดเทอมใหญ่ ปี1 
คราวนี้เป็นฝ่ายผลิตที่โรงงานผลิตรถยนต์ ปัญหาเยอะมากงานหนักมากยืนทั้งวัน ชิ้นส่วนแต่ละอันหลายกิโล ยกไปยกมาอยู่อย่างนั้นทั้งวันปวดทั้งแขนทั้งขา ปวดแค่อาทิตย์กว่าก็เริ่มหาย ปัญหามันอยู่ตรงที่ว่าพนักงานที่นี่มีแต่หนุ่มๆ สาวๆ มีปัญหาเรื่องชู้สาวตลอดๆ ทั้งที่เราไม่เคยคุยกับผู้ชายคนไหนนอกจากหัวหน้า ซึ่งก็แค่สั่งๆๆๆๆเท่านั้น เราโดนแกล้งตลอดงัดล็อคเกอร์กรีดรองเท้า กรีดหมวก ต้องไปเบิกใหม่โดนหักค่าแรงอีก โทรไปปรึกษาพี่พี่บอกว่าให้ใจเย็นพี่ก็โดนบ่อยๆปัญหาหึงหวง ท่องไว้ว่ามาหาเงินไม่ได้หาความสุขเจออะไรก็ต้องทนเพื่อ เงิน เท่านั้น แค่สามเดือนๆ คิดแบบนี้ตลอดจนผ่านมาได้ สรุปเทอมนี้ได้เงินมา 21,000โดนหักค่าโรงเท้าไปสองคู่ หมวกใบนึง ใช้เวลาสามเดือนได้พักผ่อนสองอาทิตย์คุ้มอยู่นะ แต่ไม่ผูกพันกับใครที่นี่เลย

ฝ่ายผลิตครั้งที่ สาม ปิดเทอมใหญ่ ปี 2 
คราวนี้มาเป็นฝ่ายผลิตโรงงานเครื่องถ่ายเอกสาร สัญชาติ ญี่ปุ่น ที่นี้ให้วันละ 380 ถือว่าแพงสำหรับเรานะเป็นโรงงานเปิดใหม่ เราเป็นรุ่นแรกๆ ได้เรียนรู้อะไรจากที่นี้เยอะเช่นมารยาทของคนญี่ปุ่น ภาษา ออกกำลังกาย ทำท่าทางประหลาดๆอะไรอีกต่างๆนาๆ ทำงานที่นี้ต้องเข้ากะ ต้องปกปิดสถานะว่าเราไม่ใช่นักศึกษา ไม่งั้นเค้าไล่ออกไม่จ่ายค่าแรง แต่ที่นี้มีรุ่นพี่จากโรงเรียนมัธยมเราเยอะ เค้าก็งงว่าเราเรียนอยู่ไม่ใช่เหรอเราต้องโกหกสารพัดเพื่อเอาตัวรอด ปัญหาของที่นี่คือเข้ากะดึกเพราะตอนกลางวันที่บ้านร้อนมาก นอนไม่ค่อยหลับเข้ากะก็จะเพลียๆหน่อย แล้วก็เพื่อนในไลน์มีแต่ผู้หญิงนินทากันไปมา ต่อหน้าก็คุยกันดี คิดเหมือนเดิมมาหาเงินต้องทน สรุป เทอมนี้ได้มา30,000 กว่าแนะค่าแรงแพงเข้ากะทำโอสารพัด ใช้เวลาสามเดือนกว่า ช่วงนี้แม่ไม่ได้อยู่บ้านกับเราแล้ว(แม่ไปอยู่กับสามีใหม่)ต้องใช้เงิน 2,200จาก กยศ.ใช้จ่าย ช่วงทำงาน
ที่เล่ามาทั้งหมดเราอยากเป็นกำลังใจให้หลายๆคนที่กำลังท้ออยากเรียนแต่ไม่มีเงิน ส่งตัวเองเรียนมันเป็นไปได้ เคล็ดลับเรานะ
1.ใช้ของแพงแบบเพื่อนๆที่เค้าพร้อมกว่าเราไม่ได้ อย่างพวกมือถือ เสื้อผ้า กระเป๋า พวกนี้ 
เชื่อมั้ยเราไม่เคยเปลี่ยนมือถือเลยตั้งแต่แม่ซื้อให้เครื่องแรกตอน ม.4สองพันมั้ง แฟนเคยถามจะซื้อมือถือเป็นของขวัญให้ แต่เราขอคอมพิวเตอร์แทนราคาเท่าๆกันมีประโยชน์กว่า
2. ถ้าท้อเหนื่อยเวลาทำงานให้คิดว่าแค่ ชั่วคราวเท่านั้น อาชีพอะไรก็เหนื่อยหมด 
3. ช่วงปิดเทอมเล็ก เราทำงานร้านสะดวกซื้อ ชื่อดังทำตั้งแต่หน้าที่แม่บ้านยังนับเงินไปฝากธนาคารเหนื่อยหน่อยแต่ก็ทนทำไป เข้าง่ายออกง่ายกว่าโรงงาน
4.ยึดคำคมจากพี่สาวเราสอนมาตลอดคือ คนไม่เคยลำบาก จะรู้สึกสบายยากกว่าคนที่เคยลำบาก
5. อย่าคิดสบายด้วยการเป็นเด็กเสี่ย ขายตัว มันได้เงินเยอะแต่เราเห็นตัวอย่างเพื่อนเรามันไม่ภูมิใจหรอกมีเงินเยอะแต่ไม่มีความสุขเลย
6.ทำงานแต่ละที่มันแตกต่างกันไปหาข้อดีข้อเสีย พยายามอยู่กับมันให้ได้ เราจะปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ต่าง แก้ไขปัญหาได้ดีขึ้น
สู้ๆ ขอให้ทุกคนผ่านทุกปัญหาไปได้ด้วยดี ตอนนี้เราเรียนปีสามแล้วค่ะ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 5
อ่ะแชร์มั่ง

เมื่อปี 29 ผมเข้ามาเรียนมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพโดยได้เงินจากแม่ 700 บาทต่อเดือน ค่าหอ 1,100 บาทนี่ยังไม่รวมค่าน้ำค่าไฟนะ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องกินเรื่องค่าใช้จ่ายอื่นเลย แค่ค่าหอขนาดหารสองกับเพื่อนแล้วยังไม่พอเลย

3 เดือนแรกผมไปเป็นเด็กล้างจาน เดินโต๊ะ กับร้านอาหารในตอนกลางคืน ได้ทิปบ้างเงินเดือนบ้างรวมๆ กันประมาณ2800 บาทมากน้อยเกลี่ยๆ ไป แต่มันก็ทำให้ผมมีข้าวกินครบทุกมื้อ (ตอนนั้น KFC / Mc / Fastfoods ไม่มีครับ) เดือนถัดๆ มาก็เพิ่มเรื่องรับจ้างเพื่อนถอดเทปเลคเชอร์ไปด้วย ก็ทำให้มีรายได้มากขึ้น จนทำให้ผมไม่รู้สึกว่าเงิน 700 ที่แม่ส่งให้มันน้อยเลย ช่วงปีหลังๆ พอทำงานพิเศษอื่นบวกกับผมย้านไปอยู่วัดแถวมหาวิทยาลัย (แหะๆ) ทำให้ไม่ต้องรับเงินจากแม่ช่วยประหยัดไปได้อีก ( 700 บาทของแม่ที่ส่งให้มาจากการรับจ้างซักผ้าเป็นสิบๆ เจ้าๆ ละ 350 - 400 บาท)

ผมจึงประหลาดใจมากที่เด็กสมัยนี้โอดครวญกับการที่เงินรายเดือนที่ได้จากพ่อแม่น้อยกว่าที่ตัวเองอยากได้โดยไม่ได้ดูเลยว่าพ่อแม่ลำบากแค่ไหน ถ้าตัวเองกินเก่งนักก็ลดลงบ้างหรือควบคุมอาหารกินน้อยลงลดความอ้วนซะเลย ไม่ใช่อึกอักก็เข้าร้านฟาดฟาสต์ฟู้ดส์ทั้งวัน ส่วนพ่อแม่แทบจะกินเกลือ พูดถึงแล้วเดือด!!

สุดท้ายขอชื่นชม จขกท ในความมานะอดทนและรักดีครับ เยี่ยมเยี่ยม
ความคิดเห็นที่ 26
ของเรามาจากครอบครัวฐานะดีมากๆ ค่ะ  เอ็นทรานซ์ติดมหา'ลัยรัฐบาลก็ดีใจตามประสาเด็กๆ
แต่แล้วจู่ๆ โลกของเราก็พลิกค่ะ  เพราะเมื่อเรียนไปได้ไม่ถึงเดือน  แม่ก็โทรมาบอกว่าธุรกิจที่บ้านล้ม  ไม่มีเงินส่งเราอีกแล้ว
เราต้องลาออกและหางานทำ  หรือถ้าไม่อยากลาออกเราก็ต้องหาเงินเรียนเอง  
เราตอนนั้นได้แต่ร้องไห้ค่ะ  ไม่คิดว่าชีวิตตัวเองจะพลิกผันมากขนาดนั้น  มืดมนไปหมด  ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง
เราเข้าใจครอบครัวนะคะ  พวกท่านก็เสียใจมากๆ ที่ไม่สามารถส่งเราเรียนได้
แต่สุดท้ายเราก็ตัดสินใจสู้ค่ะ  เริ่มจากไปสมัครงานตามร้านอาหาร  ทั้งล้างจาน  ทั้งเสิร์ฟอาหาร
ทำทุกอย่างที่ทำได้  ทั้งเด็กเฝ้าร้านเกม  พี่เลี้ยงเด็ก  แม่ครัว  เด็กเสิร์ฟ  
(มหา'ลัยเราอยู่ต่างจังหวัด สมัยนั้นไม่มีแม็ก เคเอฟซี พวกนี้นะคะ)
จากเมื่อก่อน  จานสักใบไม่เคยต้องล้างเอง  อาหารไม่เคยต้องทำ  กลายเป็นว่าตอนนี้ทำได้ทุกอย่างเลย
เราเก็บเงินทุกบาทเข้าบัญชีทั้งทิปทั้งเเงินเดือน  สะสมเป็นค่าหอ  ค่าเทอม  ค่าอุปกรณ์
(เราเลือกเช่าบ้านอยู่กับเพื่อนๆ เอกเดียวกันค่ะ  และช่วยๆ กันแชร์ค่าใช้จ่าย)
เราใช้ชีวิตแบบนี้ตลอด 4 ปี  ไม่เคยยืมเงินใครแม้แต่บาทเดียว  ถามว่าเหนื่อยมั้ย  เหนื่อยมากค่ะ  แต่พอได้นึกถึงทีไรก็ภูมิใจในตัวเองทุกที
คนเราต้นทุนไม่เท่ากันจริงๆ ค่ะ  แต่เราเลือกรูปแบบชีวิตของเราได้  อย่าให้คำว่าจนมาขวางเราจากอนาคตที่ดี
ถ้าเราสู้และตั้งใจ  เราก็จะประสบความสำเร็จเหมือนคนที่เค้ามีต้นทุนชีวิตสูงกว่าเราค่ะ

ปัจจุบันเราอายุ 30+ แล้ว มีบ้าน  มีธุรกิจส่วนตัว  มีชีวิตที่เรากล้าพูดได้เต็มปากว่า ฉันมีความสุขกับมันเหลือเกิน
เป็นกำลังใจให้น้องๆ ทุกคนที่กำลังเจอกับความลำบากนะคะ  ท้อได้แต่อย่าถอย  ชีวิตเรา  เราลิขิตได้ค่ะ
ความคิดเห็นที่ 28
มาเล่าประสบการณ์

จบ มอ.3 อายุ 15 พอดีเปะ ตอนนั้นได้ทำงานเป็นโรงงานฝ่ายผลิตของซัลซิล ไปกับเพื่อนสองคนหาเงินเพื่อจะช่วยแม่บ้าง
ค่าแรงวันละ 159 บาท เป็นคนยืนดูไลน์ขวดซัลซิล สมัยก่อนมันจะมีฉลากพลาสติกกับขวดพลาสติกต้องมาผ่านเครื่องร้อนให้มันหลอม
ติดเป็นชิ้นเดียวกัน คอยตรวจดูว่าอันไหนพอง อันไหนไม่สวยก็ดึงออก

ตอนนั้นเหนื่อยมาก จากเด็ก 15 ไม่เคยทำงานหนักๆ รู้เลยว่าแม่ต้องทำงานหนักกว่าเราเยอะมาก ด้วยความที่เครื่องมันร้อนแล้ว
เราต้องยืนอยู่ข้างๆ มันตลอด น้ำหนักลดไปเป็น 10 กิโล ในเวลา 3 เดือน กินข้าวไม่ไหว อยากแต่จะนอนคงเพราะเสียเหงื่อเยอะมาก
ในแต่ละวัน หนักสุดก็คือเป็นลมหน้าเครื่องได้ยินเสียงสุดท้ายคือ มีคนตะโกนว่า น้องเป็นลมๆๆ ได้เงินมาจากการทำงานคราวนั้น
5 พันกว่าบาทยกให้แม่หมด

สอบติด ปวช. สมัยนั้นยังไม่มีกู้ กยศ  แต่โชคดีที่พอใกล้ปีใหม่ โรงเรียนจะให้หยุดแล้วเขาจะมีทางห้างต่างๆ มารับนักเรียนไปช่วยขายของ
ห่อของขวัญ ประมาณนี้ ก็ไปสมัครกับเขา ได้ค่าแรงวันละ 168 บาท  มาทำงานตรงนี้สบายดีแต่เลิกดึกมาก สมัยก่อนห้างปิด 4-5 ทุ่ม
ถ้าเป็นช่วงเทศกาล เราตั้งใจทำงาน ใครเรียกให้ช่วยอะไรก็ไม่เกี่ยง พี่ๆ ในห้างก็ชอบให้ทำอะไรทำหมด พี่เขาก็เลยแนะนำว่าปิดเทอมไม่ต้องไปสมัครที่ไหนนะจะแนะนำเจ้าของสินค้าให้  เขาเอาสินค้ามาลงที่ห้าง ตั้งแต่นั้นมาพอปิดเทอมหรือโรงเรียนให้หยุดมาขายของในห้างเราก็ได้งานโดยไม่ต้องสมัคร เพราะทางเจ้าของสินค้าจะเรียกเราทุกครั้งแล้วก็ให้ค่าแรงเพิ่มเป็นวันละ 200 บาท

พอจบ ปวส. ก็คิดว่าถึงเวลาออกมาหางานทำแล้วก็เรียน ป.ตรี ภาคค่ำเอาเลือกหาบริษัทใกล้ที่เรียนหน่อย ก็โชคดีที่ได้บริษัทใกล้มหาวิทยาลัย
แล้วเขาก็เข้าใจว่าเรียนด้วยทำงานด้วย สามารถขอออกก่อนเวลาได้ก่อนวันละครึ่งชม. แต่โบนัสจะไม่ได้เท่าพี่ๆ เขา ก็ยอม แต่หัวหน้าจะมีซอง
ใส่ตรุษจีนให้อีกซอง (อันนี้มักจะได้มากกว่าพี่เขา บางที ก็ พัน สองพัน )

ตอนนี้เรียนจบปริญญาตรี  และ ปริญญาโท เรียบร้อยแล้วคะ เป็นกำลังใจให้น้องๆสู้ๆ และมุมานะในการเรียน
ความคิดเห็นที่ 6
ขอแชร์บ้างนะครับเผื่อเป็นกำลังใจให้หลายๆคน
ผมถูกพ่อไล่ออกจากบ้านตอนอายุ 17(ม.5)เนื่องจากพ่อชอบดื่มเหล้าเมาแล้วอาละวาดทำร้ายคนในบ้าน ผมก็มาขออาศัยอยู่บ้านเพื่อนโดยช่วยเป็นเด็กเตรียมกับข้าวขายตอนเช้า+ร้านนมปั่นตอนเย็นได้ค่าจ้าง 500บ.ต่อเดือน+กู้กยศโดยครูที่โรงเรียนค้ำให้ เป็นเงิน 560บ. รวม 1060บ.ใช้แบบนี้จนถึงม.6 เก็บเงินไว้เพื่อเรียนต่อมหาวิทยาลัย จากนั้นนำเงินที่สะสมมาลงทะเบียนเรียนมหาวิทยาลัย และค่าเช่าห้องกับเพื่อนๆอีก ตอนนั้นผมตั้งใจเรียนอยากจบและลบคำสบประมาทของพ่อ ด้วยทุนกยศ 2500 บาทต่อเดือน ผมจะทำบัญชีไว้ ผมใช้กิน+ค่าเรียน+ค่าห้อง+ค่าอุปกรณ์การเรียน เหลือเงินเก็บ 500 บาท/เดือน หากคุณตั้งใจ+พยายามและสมัยนี้งาน part-time มีเยอะไม่เหมือนสมัยก่อนเชื่อว่าหากตั้งใจไปถึงฝั่งฝันแน่นอน คำว่าจนไม่เป็นอุปสรรคหรอกครับ ขอให้มีความสุขกับการใช้ชีวิตครับ
ความคิดเห็นที่ 12
เราสู้ได้ไม่เท่าคุณเพราะเราเรียนหนักมาก สอบติดโควต้าเหมือนกันค่ะ ไปต่างจังหวัดไกลบ้านโขเลย
เรียนหนักเพราะเรียน 3 เทอม เรากู้เรียนค่ะ ได้เฉพาะค่าเทอม ค่าหอ ค่ากินก็ที่บ้านส่งเดือนละ 2-3 พัน
ขาดเหลือนอกจากนั้น เราก็หางานพิเศษทำเอาเองค่ะ ก็ทำงานกับมหาลัยค่ะ
มีมาไม่บ่อยแต่ก็ได้บ้างเป็นช่วงๆ อาศัยประหยัดเอาค่ะ
ช่วงปิดเทอม เราจะหยุดน้อยมากๆ บางทีไม่ถึงเดือนเพราะเรียนหนักค่ะ ปีนึงบังคับ 3 เทอม
เราก็กลับมารับงานที่โรงแรมที่บ้านค่ะ ตำแหน่งรีเซฟชั่น
เจ้าของเขาใจดี จ้างให้มาช่วยชั่วคราว เราทำมาแต่สมัยมัธยมแล้วค่ะ
เพราะแม่เราทำงานอยู่ที่นี่เลยฝากได้ มาทำได้ตลอด ว่างเมื่อไหร่ก็มา
บางทีรีเซฟชั่นเต็มก็ไปทำเมท ทำห้องพัก เป็นเด็กเสิร์ฟห้องอาหารก็ทำค่ะ
เงินก็สะสมเก็บเอาไว้ใช้จ่าย ตอนกลับไปเรียนค่ะ

ตอนเรียนทุ่มแต่เรียนไม่สนแฟชั่น เราอยู่หอในค่ะ ถูกดี
ไม่สนของฟุ่มเฟือย กินข้าวโรงอาหาร 12-15 บาท
หลักๆ ก็มาม่าค่ะ คือต้องบริหารให้ได้ 2-3 พันต่อเดือน อดบ้างทนบ้าง
ตอนนั้นตัวยนิดเดียว ผอมมากเพราะกินไม่ค่อยได้เต็มที่ มื้อนึง 30-40 ก็ถือว่าแพงมากๆ แล้วค่ะ
แต่สุดท้ายมันก็ผ่านมาได้ พร้อมหนี้ก้อนใหญ่ ทยอยใช้กันไป

ตอนนี้มีงานทำ มีเงินใช้คล่องมือ ช่วยพ่อแม่ เป็นเสาหลักให้ที่บ้าน ก็พอใจแล้วค่ะ

เราเป็นกำลังใจให้คุณและทุกคนที่กำลังหาทางออกไม่ได้นะคะ
ลองพยายามดูค่ะ อย่างที่ จขกทว่า เราต้องลองมาลำบากดูค่ะ
อย่ามานั่งนิ่งรอคอยวาสนาหรือหาเงินด้วยวิธีผิดๆ ตามค่านิยม

ตอนนี้เพราะคนหลงในวัตถุกันมากค่ะ เลยฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย
บางคนชีวิตไม่ได้ดูลำบากอะไรเลย แต่เขาก็คิดว่าตัวเองลำบากมาก
เพราะเขาไม่เคยลำบากมาก่อน เลยไม่รู้ว่า ลำบากจริงๆ มันเป็นยังไง

ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้ หากคิดจะทำ จริงๆ ค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่