อย่าลืมเป็นอันขาดว่า อำนาจรัฐเป็นอำนาจที่หอมหวล ยิ่งกว่ายาเสพติดประเภทเฮโรอีน กัญชา ยาบ้า ฝิ่นผสม ใครได้ลิ้มรสถึงกับเสพติดในอำนาจ เคยกลับบ้านอย่างโดดเดี่ยวได้ พอลิ้มรสอำนาจมีรถตำรวจพาไปส่งบ้าน นานเข้ากลายเป็นกลับบ้านที่เกิดมานับแต่ลืมตาไม่ถูก ต้องให้ตำรวจนำทาง
บางคนไม่เคยมีอาชีพเป็นหลักเป็นแหล่ง ชาติตระกูลยากจนเป็นชาวสวน ไม่ทำมาหากินอะไรนอกจากเล่นการเมือง หาเสียง เข้าสภาผู้แทนราษฏรแต่กลับรวยอย่างมหาศาล บ้างก็อ้างเมียรวย บ้างก็อ้างได้รับมรดกจากพ่อตาแม่ยายที่โอนให้ กลายเป็นร่ำรวยมหาศาล จากเคยปั่นจักรยาน เคยขี่รถเก่าๆ กลายเป็นร่ำรวยขนาดลูกหลานขับขี่รถยุโรปที่ราคานับสิบล้าน
เพราะอำนาจ บารมี เงินตราเป็นสิ่งหอมหวล ทำให้การได้มาของเงินตราที่ไม่สุจริต ถูกนำไปซื้อประชาชนให้เข้าคูหากาเลือกตัวเองเข้าสู่สภาทุกระดับ นำไปซื้อประชาชนออกมาเรียกร้องชุมนุมข้างถนน เพื่อให้ตัวเองได้สมประโยชน์ และสมหวังในสิ่งที่ตัวเองต้องการ
บางคนเคยเสพสุขถึงขนาดขึ้นตำแหน่งบริหารสูงสุดของประเทศ ลุ่มหลงในอำนาจถึงขนาดตั้งด่านปิดทางเข้า ทำให้ธุรกิจชาวบ้านในละแวกตกต่ำ ถึงขั้นขึ้นป้าย ขับไล่ก็ยังมี บางคนทำให้สินค้าทางเกษตรราคาตกต่ำ แล้วค่อยว่าจ้างและเกณฑ์ชาวบ้านออกมาปิดถนนเพื่อเรียกร้องให้รัฐเทเงินจากภาษีประชาชนและเงินกู้ เพื่อเข้าไปแทรกแซงราคา รับจำนำ หรือ อุดหนุน เพื่อหวังส่วนต่างจากราคาตลาดกับราคาต้นทุนที่ไปกว้านซื้อในช่วงที่ราคาตกต่ำ ถึงขั้นบางคนได้เงินนับพันล้านบาทจากกรณีการแทรกแซงยางพารา จากกรณีการแทรกแซงปาล์มน้ำมัน เล่าขานกันเป็นตำนานว่าแทรกแซงครั้งหนึ่งจะมีคนได้เงินหล่นไม่น้อยกว่าสามพันล้าน
และวันนี้เงินเหล่านี้กำลังมาจ้างประชาชนเพื่อทำการขับไล่คนที่มีอำนาจเพื่อให้ตัวเองเข้าไปเสวยสุขในอำนาจและใช้กองทัพปราบปรามประชาชน
อย่าลืมเป็นอันขาดว่า วันนี้การจะก่อม็อบอะไรสักอย่างเพื่อล้มล้างรัฐบาล จะต้องมีเงิน
และเงินที่จะต้องมีจะต้องกล่าวกันเป็นพันล้านบาท
อย่าแปลกใจ หากเงินที่จะป้อนออกมาง่ายๆ จะออกมาจากนักการธนาคารที่หวังจะส่งคนของตัวเองเข้ามาเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ทุนเกษตรและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการเกษตรและการค้าปลีก ที่ขอเพียงแต่ขอให้คนของตัวเองเข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการหรือรัฐมนตรีช่วยว่าการ เพื่อเอาความลับจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อมาต่อยอดและช่วงชิงความได้เปรียบทางการค้า
ทุนจากกลุ่มประกันภัยที่หวังจะให้คนของตัวเองเข้าไปเป็นรัฐมนตรีช่วยเพื่อดูแลและคุ้มครองกิจการของตัวเอง ทุนจากกลุ่มของมึนเมาที่ส่งเข้ามาเพื่อหวังจะให้ลูกหลานของตัวเองมีตำแหน่งหน้าที่ทางการเมืองเพื่อช่วยกำกับดูแลกิจการของตัวเองไม่ให้กระทบกระเทือนจากภาษีบ้าง จากอื่นๆบ้าง
อดีตขุนทหารที่เคยมีตำแหน่งระดับมหาเสนาบดีจึงเป็นคนทำหน้าที่ในการประสานเชื่อมทุนเหล่านี้เพื่อขับเคลื่อนทางการเมืองนอกสภาผู้แทนราษฏรหวังจะล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เพื่อหวังสถาปนาตัวเองขึ้นมาเป็นมหาเสนาบดีอย่างเช่นในอดีตที่เคยเรียนลัดและเข้ามาโดยไม่ต้องไปผ่านการทดสอบในสนามเลือกตั้งจากใครทั้งสิ้น
กลายเป็นคนกลุ่มเก่าที่เคยมีอำนาจและอำนาจ บารมี เงินตราหดหายไป จึงเกิดความกระหายอยากจะได้เงินตราและบารมีรวมถึงงบประมาณเพื่อไปต่อยอดให้กับตัวเอง
ปากก็ด่าหาว่าคนโน้นโกง คนนี้โกง แต่ลับหลังปากนั่นแหละบอกให้คนอื่นทำโครงการเพื่อโกงให้กับตัวเองในรูปแบบของส่วนต่างจากต้นทุนที่บวกกำไรแล้ว
วันนี้การก่อม็อบแต่ละครั้งจะต้องไปว่าจ้างแกนนำในพื้นที่ทั้งภาคอิสาน ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ เพื่อรวบรวมกำลังคน โดยจะมีการส่งสายออกไป ส่วนใหญ่จะเป็นหัวคะแนนของนักการเมืองที่สอบได้บ้าง สอบตกบ้าง โดยจะว่าจ้างกันที่หัวละ 500 บาทต่อวัน พร้อมข้าวกล่องทุกมื้อและน้ำดื่ม จะมีการตกลงกันว่า จ่ายวันต่อวันเพราะไม่มีใครไว้วางใจกัน
แต่ระยะหลังจะมีการต่อรองกันว่า กลุ่มโน้นจ้าง 500 บาท หากกลุ่มนี้จ้างแค่ 500 บาท จะไปกลุ่มโน้นดีกว่าเพราะเสี่ยเขาอุดหนุนจุนเจือเวลาขาดเงินขาดทองในการทำไร่ทำนาทำสวน ทำให้ต้องผลักดันขึ้นมาเป็นหัวละ 800 บาทบ้าง 1,000 บาทบ้างตามแต่ศักยภาพในการแสดงออกของกลุ่มที่จะขนออกมาว่า มีการแสดงและท่าทีที่ท้าทายอำนาจรัฐจนน่ากลัวหรือไม่
มีการตกลงกันว่าจ้างรถยนต์ที่จะขนคนเข้ามายังกรุงเทพฯ จะต้องว่ากันเป็นเที่ยวและเป็นจำนวนกี่วัน หากจะต้องการให้ม็อบยืดเยื้อถึง 7 วัน ส่วนมากจะว่าจ้างรถให้มาส่งแล้วตีรถเปล่ากลับไป นั่นย่อมเสียค่าใช้จ่ายในการจ้างเหมารถทัวร์ปรับอากาศสองชั้นแค่วันละไม่เกิน 20,000 บาทรวมค่าน้ำมัน หากจะเช่ารถประจำทางอย่าง บขส.ร่วมเอกชนไม่น่าจะเกินวันละ 10,000 บาทที่เจ้าของรถหักค่าน้ำมันและค่าจ้างคนขับแล้วจะเหลือประมาณ 4,000 บาทต่อเที่ยว
ม็อบที่ขนมาอย่างไม่มีจะต้องจ่ายวันต่อวัน หากใครขนมา 100 คน แกนนำจะได้เงินหัวละ 500-1,000 บาท หากหัวละ 500 บาท แกนนำจะหักหัวคิวออกมา 200 บาท หากหัวละ 1,000 บาทแกนนำจะหักหัวคิวออกมา 500 บาท โดยแกนนำจะรับค่าข้าวกล่องมื้อละ 100 กล่องในอัตรากล่องละ 50 บาทหรือวันละ 3 กล่อง ที่ราคา 150 บาท แต่แกนนำจะไปซื้อข้าวกล่องที่ราคากล่องละ 30 บาทเพื่อฟันกำไรกล่องละ 20 บาทหรือวันละ 60 บาทต่อหัว นั่นเท่ากับว่าหากขนมาวันละ 100 หัว แกนนำจะได้ค่าส่วนต่างข้าวหัวละ 60 บาท หรือวันละ 6,000 บาทที่จะเอามาซื้อน้ำดื่มหรือน้ำแข็ง โดยค่าจ้างแรงงานจะใส่ในกล่องข้าว เงินจะถูกใส่ในถุงพลาสติก และปิดปากถุงด้วยเข็มเย็บ ภายใต้การว่าจ้างรถเครื่องรับจ้างไปรับจากร้านอาหารที่รับจ้างทำ
รายได้ของร้านอาหาร ที่รับจ้างทำกล่องละ 30 บาทจะใส่กับข้าวอย่างเดียว แต่ละมื้อจะทำกับข้าวสามอย่าง ใส่ในกล่องพร้อมกับถุงพลาสติกห่อเงินเอาไว้ เจ้าของร้านอาหารจะได้กำไรจากการขายกล่องละประมาณ 10 บาท หรือมื้อละ 1,000 บาทรวมสามมื้อ 3,000 บาทต่อวัน พออยู่ได้
นั่นหมายความว่า ในแต่ละวัน แกนนำขนม็อบมา 100 คนจากต่างจังหวัด ทุนที่ก่อม็อบล้มรัฐบาลจะต้องจ่ายให้แกนนำค่าอาหารวันละ 150 บาทต่อหัวต่อวัน หนึ่งวันมีสามมื้อ ต้องจ่ายค่าอาหารวันละ 15,000 บาท ค่าจ้างคนมานั่งประท้วงวันละ 500 บาท ต้องจ่าย 50,000 บาทหากจ่ายคนละ 1,000 บาทจะต้องจ่ายถึง 100,000 บาทต่อกลุ่ม แกนนำจะได้ค่าจ้างเหมาโดยปกติจะประมาณ 100,000 บาทในระยะเวลา 3 วัน ไม่นับค่าเช่ารถบัสมาส่ง หากมีเครื่องเสียงด้วยจะต้องจ่ายอีกต่างหาก
หากต้องขนคนมาจากต่างจังหวัด 10,000 คนจะต้องจ่ายเงินค่าจ้างเข้ามา เฉพาะค่าอาหารวันละ 3 มื้อวันละ 5 ล้านบาท เฉพาะค่าจ้างแรงงานม็อบที่จ่ายวันละ 500 บาทต่อคน จะต้องจ่ายสูงถึงวันละ 5 ล้านบาท แต่หากจ้างมาวันละ 1,000 บาทจะต้องจ่ายวันละ 10 ล้านบาท นั่นหมายถึงวันละ 15 ล้านบาทสำหรับคนจำนวน 10,000 คนที่ไม่รวมค่าไฮปาร์ค ค่าเช่าเครื่องเสียง ค่าการ์ดคุ้มกัน
หากจ้างคนไฮปาร์คจะต้องว่าจ้างกันเป็นรายหัว ถ้ามีชื่อเสียงเป็นแกนนำในการตัดสินใจจะจ่ายกันที่ 50-100 ล้านบาท ต่อการก่อม็อบหนึ่งครั้ง ส่วนการ์ด จะว่าจ้างกันคนละ 1,000 บาทสำหรับการ์ดปกติ แต่แกนนำการ์ดจะต้องจ่ายวันละ 3,000 บาทต่อคน ปกติแล้วในการชุมนุมหนึ่งครั้งจะต้องจ้างการ์ดที่ประมาณ 500 คนเพื่อแทรกปะปนและดูแลความปลอดภัยจากหน่วยแทรกซึม หากจ่ายการ์ดปกติวันละ 1,000 บาท ถ้าประเภทการ์ดปกติ 400 คนจะต้องจ่ายวันละ 400,000 บาท ส่วนแกนนำการ์ดจะต้องจ่าย 100 คนตกแล้ววันละ 300,000 บาท แต่ละวันจะมีรายจ่ายไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาท ไม่นับค่าเช่าเครื่องเสียงและแกนนำที่ขึ้นไปไฮปาร์ค
อย่าลืมเป็นอันขาดว่า หากชนะและล้มรัฐบาลได้เข้าไปเป็นรัฐบาล เป็นนายกรัฐมนตรีและเป็นรัฐมนตรีจะได้อะไรบ้าง
การแทรกแซงยางพาราแต่ละปีจะมีเงินเหลือทอนเข้ากระเป๋าไม่ต่ำกว่าครั้งละ 3,000ล้านบาท หากครองอำนาจ 4 ปีจะได้เงินเข้ากระเป๋าไม่ต่ำกว่า 12,000 ล้านบาท
การแทรกแซงน้ำมันปาล์มแต่ละครั้งจะมีเงินเข้ากระเป๋าไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท
การแทรกแซงมันสำปะหลัง จะมีเงินเข้ากระเป๋าครั้งละไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท
การแทรกแซงมะนาว จะมีเงินเข้ากระเป๋าครั้งละไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท
การแทรกแซงหอมหัวแดงจะมีเงินเข้ากระเป๋าไม่ต่ำกว่าครั้งละ 100 ล้านบาท
การแทรกแซงราคาข้าวทุกระดับจะมีเงินเข้ากระเป๋าไม่ต่ำกว่าครั้งละ 5,000 ล้านบาทรวมถึงการนำข้าวต่างชาติเข้ามาสวมสัญชาติไทยด้วย
การแต่งตั้งข้าราชการทุกระดับทุกสี จะต้องมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท
ไม่นับการก่อสร้างที่จะได้เงินส่วนต่างไม่ต่ำกว่าร้อยละ 30 ที่จะได้ไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านบาทต่อปี
จึงทำให้อำนาจหอมหวล ต้องสร้างอิทธิพล ก่อกวนสังคมริมถนน กลางถนน ไม่ใส่ใจความเดือดร้อนของใคร ถูกจับก็อ้างทำเพื่อประชาชน ปิดถนนก็อ้างทำเพื่อประชาชน ปิดสนามบินก็อ้างทำเพื่อประชาชน เรียกร้องให้ประชาชนไปถอนจนกระทั่งธนาคารกรุงเทพพาณิชยการล้มจนพนักงานตกงานหมดธนาคารก็อ้างเพื่อประชาธิปไตย
ทำผิดไม่เคยยอมรับผลของการกระทำผิด อ้างหมดอายุความ
เหล่านี้ล้วนแล้วแต่อำนาจที่ได้มาด้วยความไม่ชอบธรรม เล่นการเมืองตามภาวะประชาธิปไตยที่ตัวเองเรียกร้องไม่เคยชนะ จึงต้องเล่นการเมืองใต้ดินโดยใช้ค่ายทหารเป็นที่ตั้งและฟอร์มคณะรัฐมนตรี เพื่อให้คนของตัวเองเข้าไปมีอำนาจหน้าที่
บริหารจัดการจนกระทั่งน้ำมันเถื่อนดีเซลไหลทะลักเข้าทางภาคใต้ไม่ต่ำกว่าวันละ 10 ล้านลิตรที่สร้างกำไรจากส่วนต่างค่าน้ำมันถึงลิตรละ 10 บาทหรือวันละไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท
บริหารจัดการจนกระทั่งสุราและบุหรี่ต่างประเทศหนีภาษีเข้ามาจนร่ำรวยไปตามๆกัน
อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทยแต่ติดขัดตรงองค์กรอิสระที่เข้ามาทำหน้าที่เกินกว่าอำนาจขอบเขตอธิปไตยกำหนดเอาไว้ ทั้งที่กินเงินเดือนคนละไม่น้อยกว่าสองแสนบาทต่อเดือน แต่ไม่เคยทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เลือกฝ่ายช่วย เลือกฝ่ายเล่นงานกลายเป็นความปรองดองบนความแตกแยกและปั่นป่วนของประเทศ
หวังปลุกระดมให้กองทัพออกมาล้มระบอบประชาธิปไตยภายใต้เงื่อนไขที่ไม่สุกงอม หนก่อนไปหลอกพลเอกสนธิ บุณยรัตกลินให้ทำการปฏิวัติเพียงเพราะเหตุผลเดียวก็คือ มีคำสั่งปลดผู้บัญชาการทหารบก หาต่างไปจากการล้มระบอบประชาธิปไตยด้วยการปฏิวัติพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ด้วยเหตุผลสั้นๆว่ามีคำสั่งปลดผู้บัญชาการทหารบกในมือของพลเอกอาทิตย์ กำลังเอก แต่วันนี้กองทัพกำลังมีความสุขกับการทำงานที่ใม่มีใครมาก้าวก่าย
ฤา หน้าเก่า ทุนเดิม จะต้องจ่ายเงินฟรีเหมือนม็อบสนามม้าหนก่อนที่หมดไปพันกว่าล้านบาทพร้อมกับโดนนวดจนเจ็บแถมคดีติดหลังอีกต่างหาก
http://www.siangtai.com/new/index2.php?name=knowledge&file=readknowledge&id=1803
สงครามประชาชน...สงครามข้างถนน ใครโดนใครหลอกใช้?
บางคนไม่เคยมีอาชีพเป็นหลักเป็นแหล่ง ชาติตระกูลยากจนเป็นชาวสวน ไม่ทำมาหากินอะไรนอกจากเล่นการเมือง หาเสียง เข้าสภาผู้แทนราษฏรแต่กลับรวยอย่างมหาศาล บ้างก็อ้างเมียรวย บ้างก็อ้างได้รับมรดกจากพ่อตาแม่ยายที่โอนให้ กลายเป็นร่ำรวยมหาศาล จากเคยปั่นจักรยาน เคยขี่รถเก่าๆ กลายเป็นร่ำรวยขนาดลูกหลานขับขี่รถยุโรปที่ราคานับสิบล้าน
เพราะอำนาจ บารมี เงินตราเป็นสิ่งหอมหวล ทำให้การได้มาของเงินตราที่ไม่สุจริต ถูกนำไปซื้อประชาชนให้เข้าคูหากาเลือกตัวเองเข้าสู่สภาทุกระดับ นำไปซื้อประชาชนออกมาเรียกร้องชุมนุมข้างถนน เพื่อให้ตัวเองได้สมประโยชน์ และสมหวังในสิ่งที่ตัวเองต้องการ
บางคนเคยเสพสุขถึงขนาดขึ้นตำแหน่งบริหารสูงสุดของประเทศ ลุ่มหลงในอำนาจถึงขนาดตั้งด่านปิดทางเข้า ทำให้ธุรกิจชาวบ้านในละแวกตกต่ำ ถึงขั้นขึ้นป้าย ขับไล่ก็ยังมี บางคนทำให้สินค้าทางเกษตรราคาตกต่ำ แล้วค่อยว่าจ้างและเกณฑ์ชาวบ้านออกมาปิดถนนเพื่อเรียกร้องให้รัฐเทเงินจากภาษีประชาชนและเงินกู้ เพื่อเข้าไปแทรกแซงราคา รับจำนำ หรือ อุดหนุน เพื่อหวังส่วนต่างจากราคาตลาดกับราคาต้นทุนที่ไปกว้านซื้อในช่วงที่ราคาตกต่ำ ถึงขั้นบางคนได้เงินนับพันล้านบาทจากกรณีการแทรกแซงยางพารา จากกรณีการแทรกแซงปาล์มน้ำมัน เล่าขานกันเป็นตำนานว่าแทรกแซงครั้งหนึ่งจะมีคนได้เงินหล่นไม่น้อยกว่าสามพันล้าน
และวันนี้เงินเหล่านี้กำลังมาจ้างประชาชนเพื่อทำการขับไล่คนที่มีอำนาจเพื่อให้ตัวเองเข้าไปเสวยสุขในอำนาจและใช้กองทัพปราบปรามประชาชน
อย่าลืมเป็นอันขาดว่า วันนี้การจะก่อม็อบอะไรสักอย่างเพื่อล้มล้างรัฐบาล จะต้องมีเงิน
และเงินที่จะต้องมีจะต้องกล่าวกันเป็นพันล้านบาท
อย่าแปลกใจ หากเงินที่จะป้อนออกมาง่ายๆ จะออกมาจากนักการธนาคารที่หวังจะส่งคนของตัวเองเข้ามาเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ทุนเกษตรและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการเกษตรและการค้าปลีก ที่ขอเพียงแต่ขอให้คนของตัวเองเข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการหรือรัฐมนตรีช่วยว่าการ เพื่อเอาความลับจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อมาต่อยอดและช่วงชิงความได้เปรียบทางการค้า
ทุนจากกลุ่มประกันภัยที่หวังจะให้คนของตัวเองเข้าไปเป็นรัฐมนตรีช่วยเพื่อดูแลและคุ้มครองกิจการของตัวเอง ทุนจากกลุ่มของมึนเมาที่ส่งเข้ามาเพื่อหวังจะให้ลูกหลานของตัวเองมีตำแหน่งหน้าที่ทางการเมืองเพื่อช่วยกำกับดูแลกิจการของตัวเองไม่ให้กระทบกระเทือนจากภาษีบ้าง จากอื่นๆบ้าง
อดีตขุนทหารที่เคยมีตำแหน่งระดับมหาเสนาบดีจึงเป็นคนทำหน้าที่ในการประสานเชื่อมทุนเหล่านี้เพื่อขับเคลื่อนทางการเมืองนอกสภาผู้แทนราษฏรหวังจะล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เพื่อหวังสถาปนาตัวเองขึ้นมาเป็นมหาเสนาบดีอย่างเช่นในอดีตที่เคยเรียนลัดและเข้ามาโดยไม่ต้องไปผ่านการทดสอบในสนามเลือกตั้งจากใครทั้งสิ้น
กลายเป็นคนกลุ่มเก่าที่เคยมีอำนาจและอำนาจ บารมี เงินตราหดหายไป จึงเกิดความกระหายอยากจะได้เงินตราและบารมีรวมถึงงบประมาณเพื่อไปต่อยอดให้กับตัวเอง
ปากก็ด่าหาว่าคนโน้นโกง คนนี้โกง แต่ลับหลังปากนั่นแหละบอกให้คนอื่นทำโครงการเพื่อโกงให้กับตัวเองในรูปแบบของส่วนต่างจากต้นทุนที่บวกกำไรแล้ว
วันนี้การก่อม็อบแต่ละครั้งจะต้องไปว่าจ้างแกนนำในพื้นที่ทั้งภาคอิสาน ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ เพื่อรวบรวมกำลังคน โดยจะมีการส่งสายออกไป ส่วนใหญ่จะเป็นหัวคะแนนของนักการเมืองที่สอบได้บ้าง สอบตกบ้าง โดยจะว่าจ้างกันที่หัวละ 500 บาทต่อวัน พร้อมข้าวกล่องทุกมื้อและน้ำดื่ม จะมีการตกลงกันว่า จ่ายวันต่อวันเพราะไม่มีใครไว้วางใจกัน
แต่ระยะหลังจะมีการต่อรองกันว่า กลุ่มโน้นจ้าง 500 บาท หากกลุ่มนี้จ้างแค่ 500 บาท จะไปกลุ่มโน้นดีกว่าเพราะเสี่ยเขาอุดหนุนจุนเจือเวลาขาดเงินขาดทองในการทำไร่ทำนาทำสวน ทำให้ต้องผลักดันขึ้นมาเป็นหัวละ 800 บาทบ้าง 1,000 บาทบ้างตามแต่ศักยภาพในการแสดงออกของกลุ่มที่จะขนออกมาว่า มีการแสดงและท่าทีที่ท้าทายอำนาจรัฐจนน่ากลัวหรือไม่
มีการตกลงกันว่าจ้างรถยนต์ที่จะขนคนเข้ามายังกรุงเทพฯ จะต้องว่ากันเป็นเที่ยวและเป็นจำนวนกี่วัน หากจะต้องการให้ม็อบยืดเยื้อถึง 7 วัน ส่วนมากจะว่าจ้างรถให้มาส่งแล้วตีรถเปล่ากลับไป นั่นย่อมเสียค่าใช้จ่ายในการจ้างเหมารถทัวร์ปรับอากาศสองชั้นแค่วันละไม่เกิน 20,000 บาทรวมค่าน้ำมัน หากจะเช่ารถประจำทางอย่าง บขส.ร่วมเอกชนไม่น่าจะเกินวันละ 10,000 บาทที่เจ้าของรถหักค่าน้ำมันและค่าจ้างคนขับแล้วจะเหลือประมาณ 4,000 บาทต่อเที่ยว
ม็อบที่ขนมาอย่างไม่มีจะต้องจ่ายวันต่อวัน หากใครขนมา 100 คน แกนนำจะได้เงินหัวละ 500-1,000 บาท หากหัวละ 500 บาท แกนนำจะหักหัวคิวออกมา 200 บาท หากหัวละ 1,000 บาทแกนนำจะหักหัวคิวออกมา 500 บาท โดยแกนนำจะรับค่าข้าวกล่องมื้อละ 100 กล่องในอัตรากล่องละ 50 บาทหรือวันละ 3 กล่อง ที่ราคา 150 บาท แต่แกนนำจะไปซื้อข้าวกล่องที่ราคากล่องละ 30 บาทเพื่อฟันกำไรกล่องละ 20 บาทหรือวันละ 60 บาทต่อหัว นั่นเท่ากับว่าหากขนมาวันละ 100 หัว แกนนำจะได้ค่าส่วนต่างข้าวหัวละ 60 บาท หรือวันละ 6,000 บาทที่จะเอามาซื้อน้ำดื่มหรือน้ำแข็ง โดยค่าจ้างแรงงานจะใส่ในกล่องข้าว เงินจะถูกใส่ในถุงพลาสติก และปิดปากถุงด้วยเข็มเย็บ ภายใต้การว่าจ้างรถเครื่องรับจ้างไปรับจากร้านอาหารที่รับจ้างทำ
รายได้ของร้านอาหาร ที่รับจ้างทำกล่องละ 30 บาทจะใส่กับข้าวอย่างเดียว แต่ละมื้อจะทำกับข้าวสามอย่าง ใส่ในกล่องพร้อมกับถุงพลาสติกห่อเงินเอาไว้ เจ้าของร้านอาหารจะได้กำไรจากการขายกล่องละประมาณ 10 บาท หรือมื้อละ 1,000 บาทรวมสามมื้อ 3,000 บาทต่อวัน พออยู่ได้
นั่นหมายความว่า ในแต่ละวัน แกนนำขนม็อบมา 100 คนจากต่างจังหวัด ทุนที่ก่อม็อบล้มรัฐบาลจะต้องจ่ายให้แกนนำค่าอาหารวันละ 150 บาทต่อหัวต่อวัน หนึ่งวันมีสามมื้อ ต้องจ่ายค่าอาหารวันละ 15,000 บาท ค่าจ้างคนมานั่งประท้วงวันละ 500 บาท ต้องจ่าย 50,000 บาทหากจ่ายคนละ 1,000 บาทจะต้องจ่ายถึง 100,000 บาทต่อกลุ่ม แกนนำจะได้ค่าจ้างเหมาโดยปกติจะประมาณ 100,000 บาทในระยะเวลา 3 วัน ไม่นับค่าเช่ารถบัสมาส่ง หากมีเครื่องเสียงด้วยจะต้องจ่ายอีกต่างหาก
หากต้องขนคนมาจากต่างจังหวัด 10,000 คนจะต้องจ่ายเงินค่าจ้างเข้ามา เฉพาะค่าอาหารวันละ 3 มื้อวันละ 5 ล้านบาท เฉพาะค่าจ้างแรงงานม็อบที่จ่ายวันละ 500 บาทต่อคน จะต้องจ่ายสูงถึงวันละ 5 ล้านบาท แต่หากจ้างมาวันละ 1,000 บาทจะต้องจ่ายวันละ 10 ล้านบาท นั่นหมายถึงวันละ 15 ล้านบาทสำหรับคนจำนวน 10,000 คนที่ไม่รวมค่าไฮปาร์ค ค่าเช่าเครื่องเสียง ค่าการ์ดคุ้มกัน
หากจ้างคนไฮปาร์คจะต้องว่าจ้างกันเป็นรายหัว ถ้ามีชื่อเสียงเป็นแกนนำในการตัดสินใจจะจ่ายกันที่ 50-100 ล้านบาท ต่อการก่อม็อบหนึ่งครั้ง ส่วนการ์ด จะว่าจ้างกันคนละ 1,000 บาทสำหรับการ์ดปกติ แต่แกนนำการ์ดจะต้องจ่ายวันละ 3,000 บาทต่อคน ปกติแล้วในการชุมนุมหนึ่งครั้งจะต้องจ้างการ์ดที่ประมาณ 500 คนเพื่อแทรกปะปนและดูแลความปลอดภัยจากหน่วยแทรกซึม หากจ่ายการ์ดปกติวันละ 1,000 บาท ถ้าประเภทการ์ดปกติ 400 คนจะต้องจ่ายวันละ 400,000 บาท ส่วนแกนนำการ์ดจะต้องจ่าย 100 คนตกแล้ววันละ 300,000 บาท แต่ละวันจะมีรายจ่ายไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาท ไม่นับค่าเช่าเครื่องเสียงและแกนนำที่ขึ้นไปไฮปาร์ค
อย่าลืมเป็นอันขาดว่า หากชนะและล้มรัฐบาลได้เข้าไปเป็นรัฐบาล เป็นนายกรัฐมนตรีและเป็นรัฐมนตรีจะได้อะไรบ้าง
การแทรกแซงยางพาราแต่ละปีจะมีเงินเหลือทอนเข้ากระเป๋าไม่ต่ำกว่าครั้งละ 3,000ล้านบาท หากครองอำนาจ 4 ปีจะได้เงินเข้ากระเป๋าไม่ต่ำกว่า 12,000 ล้านบาท
การแทรกแซงน้ำมันปาล์มแต่ละครั้งจะมีเงินเข้ากระเป๋าไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท
การแทรกแซงมันสำปะหลัง จะมีเงินเข้ากระเป๋าครั้งละไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท
การแทรกแซงมะนาว จะมีเงินเข้ากระเป๋าครั้งละไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท
การแทรกแซงหอมหัวแดงจะมีเงินเข้ากระเป๋าไม่ต่ำกว่าครั้งละ 100 ล้านบาท
การแทรกแซงราคาข้าวทุกระดับจะมีเงินเข้ากระเป๋าไม่ต่ำกว่าครั้งละ 5,000 ล้านบาทรวมถึงการนำข้าวต่างชาติเข้ามาสวมสัญชาติไทยด้วย
การแต่งตั้งข้าราชการทุกระดับทุกสี จะต้องมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท
ไม่นับการก่อสร้างที่จะได้เงินส่วนต่างไม่ต่ำกว่าร้อยละ 30 ที่จะได้ไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านบาทต่อปี
จึงทำให้อำนาจหอมหวล ต้องสร้างอิทธิพล ก่อกวนสังคมริมถนน กลางถนน ไม่ใส่ใจความเดือดร้อนของใคร ถูกจับก็อ้างทำเพื่อประชาชน ปิดถนนก็อ้างทำเพื่อประชาชน ปิดสนามบินก็อ้างทำเพื่อประชาชน เรียกร้องให้ประชาชนไปถอนจนกระทั่งธนาคารกรุงเทพพาณิชยการล้มจนพนักงานตกงานหมดธนาคารก็อ้างเพื่อประชาธิปไตย
ทำผิดไม่เคยยอมรับผลของการกระทำผิด อ้างหมดอายุความ
เหล่านี้ล้วนแล้วแต่อำนาจที่ได้มาด้วยความไม่ชอบธรรม เล่นการเมืองตามภาวะประชาธิปไตยที่ตัวเองเรียกร้องไม่เคยชนะ จึงต้องเล่นการเมืองใต้ดินโดยใช้ค่ายทหารเป็นที่ตั้งและฟอร์มคณะรัฐมนตรี เพื่อให้คนของตัวเองเข้าไปมีอำนาจหน้าที่
บริหารจัดการจนกระทั่งน้ำมันเถื่อนดีเซลไหลทะลักเข้าทางภาคใต้ไม่ต่ำกว่าวันละ 10 ล้านลิตรที่สร้างกำไรจากส่วนต่างค่าน้ำมันถึงลิตรละ 10 บาทหรือวันละไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท
บริหารจัดการจนกระทั่งสุราและบุหรี่ต่างประเทศหนีภาษีเข้ามาจนร่ำรวยไปตามๆกัน
อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทยแต่ติดขัดตรงองค์กรอิสระที่เข้ามาทำหน้าที่เกินกว่าอำนาจขอบเขตอธิปไตยกำหนดเอาไว้ ทั้งที่กินเงินเดือนคนละไม่น้อยกว่าสองแสนบาทต่อเดือน แต่ไม่เคยทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เลือกฝ่ายช่วย เลือกฝ่ายเล่นงานกลายเป็นความปรองดองบนความแตกแยกและปั่นป่วนของประเทศ
หวังปลุกระดมให้กองทัพออกมาล้มระบอบประชาธิปไตยภายใต้เงื่อนไขที่ไม่สุกงอม หนก่อนไปหลอกพลเอกสนธิ บุณยรัตกลินให้ทำการปฏิวัติเพียงเพราะเหตุผลเดียวก็คือ มีคำสั่งปลดผู้บัญชาการทหารบก หาต่างไปจากการล้มระบอบประชาธิปไตยด้วยการปฏิวัติพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ด้วยเหตุผลสั้นๆว่ามีคำสั่งปลดผู้บัญชาการทหารบกในมือของพลเอกอาทิตย์ กำลังเอก แต่วันนี้กองทัพกำลังมีความสุขกับการทำงานที่ใม่มีใครมาก้าวก่าย
ฤา หน้าเก่า ทุนเดิม จะต้องจ่ายเงินฟรีเหมือนม็อบสนามม้าหนก่อนที่หมดไปพันกว่าล้านบาทพร้อมกับโดนนวดจนเจ็บแถมคดีติดหลังอีกต่างหาก
http://www.siangtai.com/new/index2.php?name=knowledge&file=readknowledge&id=1803