สงครามประชาชน...สงครามข้างถนน ใครโดนใครหลอกใช้?

กระทู้สนทนา
อย่าลืมเป็นอันขาดว่า อำนาจรัฐเป็นอำนาจที่หอมหวล ยิ่งกว่ายาเสพติดประเภทเฮโรอีน กัญชา ยาบ้า  ฝิ่นผสม  ใครได้ลิ้มรสถึงกับเสพติดในอำนาจ เคยกลับบ้านอย่างโดดเดี่ยวได้ พอลิ้มรสอำนาจมีรถตำรวจพาไปส่งบ้าน  นานเข้ากลายเป็นกลับบ้านที่เกิดมานับแต่ลืมตาไม่ถูก ต้องให้ตำรวจนำทาง

                บางคนไม่เคยมีอาชีพเป็นหลักเป็นแหล่ง  ชาติตระกูลยากจนเป็นชาวสวน  ไม่ทำมาหากินอะไรนอกจากเล่นการเมือง  หาเสียง  เข้าสภาผู้แทนราษฏรแต่กลับรวยอย่างมหาศาล บ้างก็อ้างเมียรวย  บ้างก็อ้างได้รับมรดกจากพ่อตาแม่ยายที่โอนให้  กลายเป็นร่ำรวยมหาศาล  จากเคยปั่นจักรยาน เคยขี่รถเก่าๆ กลายเป็นร่ำรวยขนาดลูกหลานขับขี่รถยุโรปที่ราคานับสิบล้าน

                เพราะอำนาจ  บารมี เงินตราเป็นสิ่งหอมหวล ทำให้การได้มาของเงินตราที่ไม่สุจริต ถูกนำไปซื้อประชาชนให้เข้าคูหากาเลือกตัวเองเข้าสู่สภาทุกระดับ  นำไปซื้อประชาชนออกมาเรียกร้องชุมนุมข้างถนน เพื่อให้ตัวเองได้สมประโยชน์ และสมหวังในสิ่งที่ตัวเองต้องการ

                บางคนเคยเสพสุขถึงขนาดขึ้นตำแหน่งบริหารสูงสุดของประเทศ  ลุ่มหลงในอำนาจถึงขนาดตั้งด่านปิดทางเข้า  ทำให้ธุรกิจชาวบ้านในละแวกตกต่ำ  ถึงขั้นขึ้นป้าย ขับไล่ก็ยังมี บางคนทำให้สินค้าทางเกษตรราคาตกต่ำ แล้วค่อยว่าจ้างและเกณฑ์ชาวบ้านออกมาปิดถนนเพื่อเรียกร้องให้รัฐเทเงินจากภาษีประชาชนและเงินกู้ เพื่อเข้าไปแทรกแซงราคา  รับจำนำ หรือ อุดหนุน เพื่อหวังส่วนต่างจากราคาตลาดกับราคาต้นทุนที่ไปกว้านซื้อในช่วงที่ราคาตกต่ำ  ถึงขั้นบางคนได้เงินนับพันล้านบาทจากกรณีการแทรกแซงยางพารา  จากกรณีการแทรกแซงปาล์มน้ำมัน  เล่าขานกันเป็นตำนานว่าแทรกแซงครั้งหนึ่งจะมีคนได้เงินหล่นไม่น้อยกว่าสามพันล้าน

                และวันนี้เงินเหล่านี้กำลังมาจ้างประชาชนเพื่อทำการขับไล่คนที่มีอำนาจเพื่อให้ตัวเองเข้าไปเสวยสุขในอำนาจและใช้กองทัพปราบปรามประชาชน

                อย่าลืมเป็นอันขาดว่า วันนี้การจะก่อม็อบอะไรสักอย่างเพื่อล้มล้างรัฐบาล จะต้องมีเงิน

                และเงินที่จะต้องมีจะต้องกล่าวกันเป็นพันล้านบาท

                อย่าแปลกใจ หากเงินที่จะป้อนออกมาง่ายๆ จะออกมาจากนักการธนาคารที่หวังจะส่งคนของตัวเองเข้ามาเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง  ทุนเกษตรและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการเกษตรและการค้าปลีก  ที่ขอเพียงแต่ขอให้คนของตัวเองเข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการหรือรัฐมนตรีช่วยว่าการ  เพื่อเอาความลับจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อมาต่อยอดและช่วงชิงความได้เปรียบทางการค้า

                ทุนจากกลุ่มประกันภัยที่หวังจะให้คนของตัวเองเข้าไปเป็นรัฐมนตรีช่วยเพื่อดูแลและคุ้มครองกิจการของตัวเอง  ทุนจากกลุ่มของมึนเมาที่ส่งเข้ามาเพื่อหวังจะให้ลูกหลานของตัวเองมีตำแหน่งหน้าที่ทางการเมืองเพื่อช่วยกำกับดูแลกิจการของตัวเองไม่ให้กระทบกระเทือนจากภาษีบ้าง จากอื่นๆบ้าง

                อดีตขุนทหารที่เคยมีตำแหน่งระดับมหาเสนาบดีจึงเป็นคนทำหน้าที่ในการประสานเชื่อมทุนเหล่านี้เพื่อขับเคลื่อนทางการเมืองนอกสภาผู้แทนราษฏรหวังจะล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เพื่อหวังสถาปนาตัวเองขึ้นมาเป็นมหาเสนาบดีอย่างเช่นในอดีตที่เคยเรียนลัดและเข้ามาโดยไม่ต้องไปผ่านการทดสอบในสนามเลือกตั้งจากใครทั้งสิ้น

                กลายเป็นคนกลุ่มเก่าที่เคยมีอำนาจและอำนาจ บารมี เงินตราหดหายไป จึงเกิดความกระหายอยากจะได้เงินตราและบารมีรวมถึงงบประมาณเพื่อไปต่อยอดให้กับตัวเอง

                ปากก็ด่าหาว่าคนโน้นโกง  คนนี้โกง  แต่ลับหลังปากนั่นแหละบอกให้คนอื่นทำโครงการเพื่อโกงให้กับตัวเองในรูปแบบของส่วนต่างจากต้นทุนที่บวกกำไรแล้ว

                วันนี้การก่อม็อบแต่ละครั้งจะต้องไปว่าจ้างแกนนำในพื้นที่ทั้งภาคอิสาน  ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ เพื่อรวบรวมกำลังคน โดยจะมีการส่งสายออกไป ส่วนใหญ่จะเป็นหัวคะแนนของนักการเมืองที่สอบได้บ้าง  สอบตกบ้าง  โดยจะว่าจ้างกันที่หัวละ 500 บาทต่อวัน พร้อมข้าวกล่องทุกมื้อและน้ำดื่ม จะมีการตกลงกันว่า จ่ายวันต่อวันเพราะไม่มีใครไว้วางใจกัน

                แต่ระยะหลังจะมีการต่อรองกันว่า กลุ่มโน้นจ้าง 500 บาท หากกลุ่มนี้จ้างแค่ 500 บาท จะไปกลุ่มโน้นดีกว่าเพราะเสี่ยเขาอุดหนุนจุนเจือเวลาขาดเงินขาดทองในการทำไร่ทำนาทำสวน ทำให้ต้องผลักดันขึ้นมาเป็นหัวละ 800  บาทบ้าง  1,000 บาทบ้างตามแต่ศักยภาพในการแสดงออกของกลุ่มที่จะขนออกมาว่า มีการแสดงและท่าทีที่ท้าทายอำนาจรัฐจนน่ากลัวหรือไม่

                มีการตกลงกันว่าจ้างรถยนต์ที่จะขนคนเข้ามายังกรุงเทพฯ จะต้องว่ากันเป็นเที่ยวและเป็นจำนวนกี่วัน  หากจะต้องการให้ม็อบยืดเยื้อถึง 7 วัน ส่วนมากจะว่าจ้างรถให้มาส่งแล้วตีรถเปล่ากลับไป  นั่นย่อมเสียค่าใช้จ่ายในการจ้างเหมารถทัวร์ปรับอากาศสองชั้นแค่วันละไม่เกิน 20,000 บาทรวมค่าน้ำมัน  หากจะเช่ารถประจำทางอย่าง บขส.ร่วมเอกชนไม่น่าจะเกินวันละ 10,000 บาทที่เจ้าของรถหักค่าน้ำมันและค่าจ้างคนขับแล้วจะเหลือประมาณ 4,000 บาทต่อเที่ยว

                ม็อบที่ขนมาอย่างไม่มีจะต้องจ่ายวันต่อวัน  หากใครขนมา 100  คน แกนนำจะได้เงินหัวละ 500-1,000 บาท  หากหัวละ 500 บาท แกนนำจะหักหัวคิวออกมา 200 บาท หากหัวละ 1,000  บาทแกนนำจะหักหัวคิวออกมา 500 บาท โดยแกนนำจะรับค่าข้าวกล่องมื้อละ  100  กล่องในอัตรากล่องละ 50  บาทหรือวันละ 3 กล่อง ที่ราคา 150 บาท แต่แกนนำจะไปซื้อข้าวกล่องที่ราคากล่องละ 30  บาทเพื่อฟันกำไรกล่องละ 20  บาทหรือวันละ 60  บาทต่อหัว  นั่นเท่ากับว่าหากขนมาวันละ 100 หัว แกนนำจะได้ค่าส่วนต่างข้าวหัวละ 60 บาท หรือวันละ 6,000 บาทที่จะเอามาซื้อน้ำดื่มหรือน้ำแข็ง  โดยค่าจ้างแรงงานจะใส่ในกล่องข้าว เงินจะถูกใส่ในถุงพลาสติก และปิดปากถุงด้วยเข็มเย็บ ภายใต้การว่าจ้างรถเครื่องรับจ้างไปรับจากร้านอาหารที่รับจ้างทำ

                รายได้ของร้านอาหาร ที่รับจ้างทำกล่องละ 30  บาทจะใส่กับข้าวอย่างเดียว แต่ละมื้อจะทำกับข้าวสามอย่าง ใส่ในกล่องพร้อมกับถุงพลาสติกห่อเงินเอาไว้  เจ้าของร้านอาหารจะได้กำไรจากการขายกล่องละประมาณ 10 บาท หรือมื้อละ 1,000  บาทรวมสามมื้อ 3,000 บาทต่อวัน พออยู่ได้

                นั่นหมายความว่า ในแต่ละวัน แกนนำขนม็อบมา 100  คนจากต่างจังหวัด ทุนที่ก่อม็อบล้มรัฐบาลจะต้องจ่ายให้แกนนำค่าอาหารวันละ 150  บาทต่อหัวต่อวัน  หนึ่งวันมีสามมื้อ ต้องจ่ายค่าอาหารวันละ  15,000  บาท ค่าจ้างคนมานั่งประท้วงวันละ 500 บาท ต้องจ่าย 50,000 บาทหากจ่ายคนละ 1,000  บาทจะต้องจ่ายถึง  100,000 บาทต่อกลุ่ม  แกนนำจะได้ค่าจ้างเหมาโดยปกติจะประมาณ  100,000  บาทในระยะเวลา 3 วัน  ไม่นับค่าเช่ารถบัสมาส่ง  หากมีเครื่องเสียงด้วยจะต้องจ่ายอีกต่างหาก

                หากต้องขนคนมาจากต่างจังหวัด  10,000  คนจะต้องจ่ายเงินค่าจ้างเข้ามา เฉพาะค่าอาหารวันละ 3  มื้อวันละ 5  ล้านบาท  เฉพาะค่าจ้างแรงงานม็อบที่จ่ายวันละ 500 บาทต่อคน จะต้องจ่ายสูงถึงวันละ 5  ล้านบาท แต่หากจ้างมาวันละ 1,000  บาทจะต้องจ่ายวันละ 10  ล้านบาท นั่นหมายถึงวันละ 15 ล้านบาทสำหรับคนจำนวน 10,000 คนที่ไม่รวมค่าไฮปาร์ค  ค่าเช่าเครื่องเสียง ค่าการ์ดคุ้มกัน

                หากจ้างคนไฮปาร์คจะต้องว่าจ้างกันเป็นรายหัว  ถ้ามีชื่อเสียงเป็นแกนนำในการตัดสินใจจะจ่ายกันที่ 50-100  ล้านบาท ต่อการก่อม็อบหนึ่งครั้ง  ส่วนการ์ด จะว่าจ้างกันคนละ 1,000  บาทสำหรับการ์ดปกติ แต่แกนนำการ์ดจะต้องจ่ายวันละ 3,000  บาทต่อคน ปกติแล้วในการชุมนุมหนึ่งครั้งจะต้องจ้างการ์ดที่ประมาณ 500 คนเพื่อแทรกปะปนและดูแลความปลอดภัยจากหน่วยแทรกซึม หากจ่ายการ์ดปกติวันละ  1,000  บาท ถ้าประเภทการ์ดปกติ 400  คนจะต้องจ่ายวันละ 400,000 บาท ส่วนแกนนำการ์ดจะต้องจ่าย 100 คนตกแล้ววันละ 300,000 บาท แต่ละวันจะมีรายจ่ายไม่น้อยกว่า  100 ล้านบาท ไม่นับค่าเช่าเครื่องเสียงและแกนนำที่ขึ้นไปไฮปาร์ค

                อย่าลืมเป็นอันขาดว่า หากชนะและล้มรัฐบาลได้เข้าไปเป็นรัฐบาล  เป็นนายกรัฐมนตรีและเป็นรัฐมนตรีจะได้อะไรบ้าง

                การแทรกแซงยางพาราแต่ละปีจะมีเงินเหลือทอนเข้ากระเป๋าไม่ต่ำกว่าครั้งละ 3,000ล้านบาท หากครองอำนาจ 4 ปีจะได้เงินเข้ากระเป๋าไม่ต่ำกว่า  12,000 ล้านบาท

                การแทรกแซงน้ำมันปาล์มแต่ละครั้งจะมีเงินเข้ากระเป๋าไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท

                การแทรกแซงมันสำปะหลัง จะมีเงินเข้ากระเป๋าครั้งละไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท

                การแทรกแซงมะนาว จะมีเงินเข้ากระเป๋าครั้งละไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท

                การแทรกแซงหอมหัวแดงจะมีเงินเข้ากระเป๋าไม่ต่ำกว่าครั้งละ 100 ล้านบาท

                การแทรกแซงราคาข้าวทุกระดับจะมีเงินเข้ากระเป๋าไม่ต่ำกว่าครั้งละ 5,000 ล้านบาทรวมถึงการนำข้าวต่างชาติเข้ามาสวมสัญชาติไทยด้วย

                การแต่งตั้งข้าราชการทุกระดับทุกสี จะต้องมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท

                ไม่นับการก่อสร้างที่จะได้เงินส่วนต่างไม่ต่ำกว่าร้อยละ 30  ที่จะได้ไม่น้อยกว่า 10,000  ล้านบาทต่อปี

                จึงทำให้อำนาจหอมหวล ต้องสร้างอิทธิพล ก่อกวนสังคมริมถนน กลางถนน ไม่ใส่ใจความเดือดร้อนของใคร ถูกจับก็อ้างทำเพื่อประชาชน  ปิดถนนก็อ้างทำเพื่อประชาชน  ปิดสนามบินก็อ้างทำเพื่อประชาชน  เรียกร้องให้ประชาชนไปถอนจนกระทั่งธนาคารกรุงเทพพาณิชยการล้มจนพนักงานตกงานหมดธนาคารก็อ้างเพื่อประชาธิปไตย

                ทำผิดไม่เคยยอมรับผลของการกระทำผิด อ้างหมดอายุความ

                เหล่านี้ล้วนแล้วแต่อำนาจที่ได้มาด้วยความไม่ชอบธรรม  เล่นการเมืองตามภาวะประชาธิปไตยที่ตัวเองเรียกร้องไม่เคยชนะ จึงต้องเล่นการเมืองใต้ดินโดยใช้ค่ายทหารเป็นที่ตั้งและฟอร์มคณะรัฐมนตรี เพื่อให้คนของตัวเองเข้าไปมีอำนาจหน้าที่

                บริหารจัดการจนกระทั่งน้ำมันเถื่อนดีเซลไหลทะลักเข้าทางภาคใต้ไม่ต่ำกว่าวันละ 10 ล้านลิตรที่สร้างกำไรจากส่วนต่างค่าน้ำมันถึงลิตรละ 10 บาทหรือวันละไม่ต่ำกว่า 100  ล้านบาท

                บริหารจัดการจนกระทั่งสุราและบุหรี่ต่างประเทศหนีภาษีเข้ามาจนร่ำรวยไปตามๆกัน

                อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทยแต่ติดขัดตรงองค์กรอิสระที่เข้ามาทำหน้าที่เกินกว่าอำนาจขอบเขตอธิปไตยกำหนดเอาไว้ ทั้งที่กินเงินเดือนคนละไม่น้อยกว่าสองแสนบาทต่อเดือน แต่ไม่เคยทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เลือกฝ่ายช่วย เลือกฝ่ายเล่นงานกลายเป็นความปรองดองบนความแตกแยกและปั่นป่วนของประเทศ

                หวังปลุกระดมให้กองทัพออกมาล้มระบอบประชาธิปไตยภายใต้เงื่อนไขที่ไม่สุกงอม หนก่อนไปหลอกพลเอกสนธิ  บุณยรัตกลินให้ทำการปฏิวัติเพียงเพราะเหตุผลเดียวก็คือ มีคำสั่งปลดผู้บัญชาการทหารบก  หาต่างไปจากการล้มระบอบประชาธิปไตยด้วยการปฏิวัติพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ด้วยเหตุผลสั้นๆว่ามีคำสั่งปลดผู้บัญชาการทหารบกในมือของพลเอกอาทิตย์ กำลังเอก แต่วันนี้กองทัพกำลังมีความสุขกับการทำงานที่ใม่มีใครมาก้าวก่าย

                ฤา หน้าเก่า ทุนเดิม จะต้องจ่ายเงินฟรีเหมือนม็อบสนามม้าหนก่อนที่หมดไปพันกว่าล้านบาทพร้อมกับโดนนวดจนเจ็บแถมคดีติดหลังอีกต่างหาก

http://www.siangtai.com/new/index2.php?name=knowledge&file=readknowledge&id=1803
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่