เรื่องของทุกคน

กระทู้สนทนา
กำเนิดรัฐ
ปัญหาความแปลกแยกของอำนาจรัฐ
การต่อต้านอำนาจรัฐ
การปฏิวัติโดยปชช

กำเนิดรัฐ ...
รุสโซว่า   บุคคลหลายคนมารวมตัวกัน แล้วมอบเสรีภาพให้กับ บุคคลคนหนึ่งหรือคณะบุคคลกลุ่มหนึ่ง  
ไปดำเนินการตามเจตนารมณ์ร่วมของประชาคม  ให้ทำตามสัญญาประชาคม  
เพื่อ  ปกป้องและพิทักษ์สิทธิและเสรีภาพของพวกเขาอย่างเสมอภาค อันยังการอยู่ดีมีสุขโดยเฉลี่ยถ้วนทั่วกันทั้งสังคม

ปัญหาความแปลกแยกของอำนาจรัฐ ...
รัฐบาล เมื่อได้อำนาจจากปชช. จากการเลือกตั้งแล้ว   ถ้าดำเนินนโยบายตามสัญญาประชาคมที่ได้ประกาศไว้กับปชช.อย่างเคร่งครัดและมีประสิทธิภาพ  ก็ย่อมจักนำมาซึ่งประสิทธิพลอันยังความพึงพอใจมาสู่ปชช.ตามสมควร หรือเป็นที่นิยม

แต่รัฐสมัยใหม่   ที่มีความหลากหลาย  บ่อยครั้ง ที่คณะบุคคลผู้มาทำหน้าที่บริหารบ้านเมือง  กลับไม่ได้ดำเนินการตามสัญญาประชาคม
หรือนโยบายที่ได้ประกาศไว้ตอนหาเสียง    แต่กลับแสวงหาประโยชน์ที่แปลกแยกจากอำนาจ หน้าที่และการสนองตอบความต้องการของ
ปชช.หรือสังคมโดยรวม   ด้วยการทุจริต หรือคอร์รัปชั่นทางนโยบาย  และกฏหมายก็ไล่ไม่ทัน หรือไม่อาจเอื้อมไปเอาผิดได้
ประกอบกับการพยายามขยายอำนาจแผ่ซ่านไปยังอำนาจอธิปไตยส่วนอื่นๆ    เกิดการครอบงำอำนาจนิติบัญญัติ  อำนาจตุลาการ
ซึ่งเป็นการทำลายดุลยภาพของระบอบประชาธิปไตย  กลายเป็นเผด็จการโดยรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเสียเองได้

การต่อต้านอำนาจรัฐ....
โทมัส  เจฟเฟอร์สันได้กล่าวว่า     เมื่ออำนาจรัฐเป็นเผด็จการ    ประชาชนย่อมมีสิทธิและเป็นหน้าที่ที่ต้องออกมาต่อต้าน
ความหมายก็คือ     เมื่อรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งที่มีความชอบธรรมแต่แรก    แต่กลับดำรงอยู่  ดำเนินไปอย่างทรยศต่อความไว้วางใจ
ของประชาชนเสียเเล้ว    ประชาชนย่อมมีหน้าที่ และมีสิทธิโดยชอบที่จะออกมาต่อต้าน  ขัดขืน และขับไล่ให้พ้นไปจาก
สภาพไร้ความหมายตามสารัตถะแห่งอำนาจรัฐที่ได้รับเลือกตั้งมาได้     ซึ่งเท่ากับ ปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ

การปฏิวัติโดยปชช. ...
เมื่อรัฐโดยรัฐบาลเผด็จการได้บังเกิดขึ้น  แทนที่รัฐโดยรัฐบาลที่ผดุงความเป็นประชาธิปไตย
ดังนั้น  รัฐบาลที่ดำรงอยู่เช่นว่า  จึงไม่อาจถือเป็นสัญญลักษณ์ประชาธิปไตยได้  เพราะ  ได้กลายพันธุ์ หรือแปลกแยกจากต้นกำเนิด

ย่อมมีแนวโน้มสร้างปฏิกิริยาสะสมของแรงต้านทานขัดขืน   ผุดบังเกิด มวลชนขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ  แล้วไปสร้างคุณภาพใหม่
ของ จิตสำนึกปฏิวัติเพื่อการยกระดับการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ในสังคม  ผลักดันและเป็นแนวหน้าการเปลี่ยนแปลงขึ้น

ฝ่ายที่พยายามรักษาอำนาจไว้   ย่อมอ้างกฏกติกา หรือ กฏหมายอย่างเคร่งครัด    เพื่อการบังคับควบคุมให้หนักมือขึ้น
เพื่อกดทับการเปลี่ยนแปลงนั้น     อาจมีการสร้างสถานการณ์รุนแรงอย่างจงใจ  เพื่อให้เกิดการสูญเสีย และความกลัว
ในกรณีรัฐบาลไม่อาจทานทนต่อ ความไม่ชอบธรรมที่ตัวเองเป็นผู้ก่อขึ้นเองได้   แล้วใช้การยุบสภาหนีความผิด
เพื่อโยนไปสู่มายาคติ การเลือกตั้งเพื่อฟอกตัวกลับมาใหม่  ในนามเสียงข้างมากเลือกฉันมา
ย่อมนำไปสู่  การคัดค้านการเลือกตั้งใต้เงาปุโรหิตผู้ประกอบพิธีกรรมเลือกตั้งนั้น อยู่ดี    เพราะ  ภายใต้กฏกติกาและตัวเลือกนั้น
ไม่ได้ดำรงไว้ซึ่งคุณภาพการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่แตกต่างไปจากเดิม   ก็เท่ากับ  การยอมจำนนต่อแนวโน้มสิ่งที่การปฏิวัติปชช.ปฏิเสธ

การปฏิวัติโดยปชช.นั้น  ได้มองข้ามพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งไปแล้ว    พวกเขาต้องการความหลากหลายซึ่งแทนองค์ประกอบ
ของสถานะทางชนชั้นของตนอย่างถ้วนทั่ว   ที่จักไปสถาปนาเจตจำนงร่วมแห่งรัฐอย่างมีบูรณาการ  ซึงจักไม่แปลแยกจากพวกเขาอีกต่อไป

ประเด็นคือ
1 การเลือกตั้ง   ในสถานการณ์วิกฤติ   ย่อมนำไปสู่วงรอบเดิมของวิกฤติอยู่ดี  หรือไม่?
2 การปฏิวัติโดยปชช.  ถือเป็นการต่อสู้เพื่อการยกระดับการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยยะ   ความชอบธรรมจึงไม่ทั่วพร้อมทั้งสังคม
เพราะ จะต้องมีฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย หรือคัดค้าน อยู่แล้วจำนวนหนึ่ง (โดยเฉพาะจากฝ่ายอนุรักษ์นิยมปชต.)  
สถานะการต่อสู้เช่นนี้   จะหลีกเลี่ยงความรุนแรงได้อย่างไร?
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่