ธรรมะ สวัสดีค่ะ เพื่อน พี่ น้อง ผู้ร่วมบุญทุกท่าน และ ผู้มีเมตตาจิตร่วมกันเพื่อธรรมทาน
ก่อนอื่นขออนุญาตเล่าข้อมูลคร่าวๆก่อนนะคะ ตัว จขกท เอง เป็นคนที่สนใจเรื่องธรรม เรื่องของพุทธศาสนามาตั้งแต่เด็กค่ะ แต่ก็ไม่ใช่คนที่คร่ำเคร่งหรือเป็นคนดีนักนะคะ คือ ประมาณ 6-7 ขวบ ถูกส่งมาอยู่กับย่า ย่าก็จะพาไปบวชปีละครั้ง สองครั้ง และก็เข้าวัดทำบุญบ่อยๆ เช้าก็ต้องตื่นมาตี 4 ตี 5 ตามย่ามาสวดมนต์เช้าเย็น แต่พอย้ายบ้านไม่ได้อยู่กับย่า ประมาณสัก 10 ขวบนิดๆ ก็จะห่างเหินการสวดมนต์ไป (เพราะสภาวะแวดล้อมที่อยู่) จนกระทั่งคุณแม่เสียตอนประมาณอายุ 18 ก็จะบวชชีพารหมณ์ให้แม่ทุกๆปี ปีละ 1-2 ครั้ง แล้วก็สวดมนต์นานๆที ส่วนมากจะสวดมนต์ยาวๆเฉพาะวันพระ ส่วนวันธรรมดาก็สวดสั้นๆ บางวันขี้เกียจก็ไม่สวด
โดยปกติเป็นคนที่ถือศีล 5 โดยบังเอิญค่ะ (คือไม่ได้ยึดติดแต่ชีวิตมันเป็นแบบนี้เอง ประกอบกับตอนเด็กๆเึคยทำผิดแล้วถูกลงโทษจนไม่กล้าำทำอีกต่อไป)
- ไม่ฆ่าสัตว์ แต่ตอนเด็กมากๆ เคยจับปลาทองมาด้วยความสงสัยว่าทำไมท้องมันบวมเลยเอามารีดท้อง ไข่ทะลักจนมันตาย จากนั้น ไม่เคยทำบาปด้วยการทำร้ายสัตว์อีกเลย
- ไม่ลักทรัพย์ เพราะฝังใจ ตอน ป.4 เคยขโมยตังค์ป้ามา 40 บาทเพื่อเลี้ยงเค้กเพื่อน แล้วพ่อจับได้ โดนพ่อทำโทษรุนแรงจนเข็ดขยาด ไม่กล้าเอาของใครอีกเลย ต่อให้มีโอกาสก็ตาม
- ไม่ยุ่งกับคนมีเจ้าของ
- ไม่โกหก เพราะว่าไม่รู้เป็นอะไร โกหกไม่เคยเนียน โกหกได้ไม่เกิน 5 นาที ต้องสารภาพความจริง เหมือนใจมันร้อนๆตลอด
- ไม่ดื่มสุรา เพราะ เคยลองกินแค่อึกเดียวก็อ๊วก ทรมาน เลยไม่กินให้ตัวเองทรมาน
ที่ผ่านมาจนถึงเมื่อปีที่แล้ว ก็จะทำแบบเดิมๆ คือ สวดมนต์สั้นวันธรรมดา (บางวันขี้เกียจก็ไม่สวด) สวดมนต์ยาววันพระ พร้อมเปลี่ยนดอกไม้พระ (แต่บางทีก็ลืมวันพระ) จนกระทั่งเมื่อสิ้นปี 2555 ได้รู้จักกับผู้ชายคนนึง และ รู้จักผู้หญิงคนนึง ที่ทำให้ชีวิตกลับเข้ามาสู่หนทางธรรมอีกครั้ง แต่ก็เป็นเพียงการศึกษาธรรมที่ไม่ได้ค่ำเคร่งกับการปฏิบัตินัก
จนกระทั่งเมื่อเดือน พฤษภาคม 2556 ซึ่งเกิดวิกฤติปัญหาขึ้นกับขีวิตของคนที่เรารักมาก จึงมาเน้นด้านการปฏิบิติ คือ สวดมนต์ทุกวันประมาณวันละครึ่ง-1ชั่วโมง และนั่งสมาธิต่อ โดยค่อยๆเริ่มจาก 5 นาที เพิ่มเวลาขึ้นเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบันคือ 1 ชั่วโมง ช่วงแรกๆบางวันมีมารทำให้ขี้เกียจก็เหนื่อยนพักบ้าง หยุดทำบ้าง จนถึงช่วง ตุลาคม 2556 ตั้งใจและลั่นวาจาต่อหน้าพระพุทธรูปว่า จากนี้จะสวดมนต์ นั่งสมาธิทุกวัน ให้มากเท่าที่จะทำได้
แต่จนกระทั่งถึงปัจจุบัน ขอสารภาพตามตรงค่ะ ว่าบางทีรู้สึกท้อใจ ว่าเราไม่ได้เกิดมาเพื่อสิ่งนี้หรือเปล่า ทำไม มารมันเยอะเหลือเกิน ทั้งที่ตั้งใจและพยายามทำแล้ว แต่บางครั้งมันเหนื่อย ท้อ ขับรถกลับถึงบ้าน 2 ทุ่ม กินข้าวอาบน้ำเสร็จ 3 ทุ่มครึ่ง พอสวดมนต์เสร็จ นั่งสมาธิทีไร มันจะวูบหลับเอาทุกที บางวันยอมอดข้าวเย็น เพื่อจะได้รีบนั่งสมาธิเร็วขึ้น แต่กัยังฟุ้งบ้าง วูบบ้าง จนรู้สึกว่า ท้อจัง ทำไมไม่ก้าวหน้าเอาซะเลย เมื่อไหร่จะหยุดวูบ เมื่อไหร่จะหยุดฟุ้ง พอกำจัด นิวรณ์เรื่องฟุ้งซ่านได้ ก็มาวูบหลับเป็นถินมิธะ พอเริ่ไม่ค่อยวูบ ก็กลับมาฟุ้งอีก ... เริ่มจะท้อแล้ว แต่ก็รู้สึกว่าอยากพยายามต่อ
ทุกวันนี้ บางทีก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันถูกทางแน่หรือเปล่า เวลาขับรถทุกวันนี้ แทบไม่ได้ฟังเพลงเลย เปิดฟังแต่ซีดีธรรม กลับบ้านก็เลือกอาบน้ำสวดมนต์ นั่งสมาธิก่อน ค่อยมานั่งดูซีรีย์ หรือ เล่นเนท แต่บางทีมันเหนื่อย บางวันก็หยุดพัก ไม่ปฏิบัติเลยบ้างก็มี (อย่างเช่นทำมาเดือนนึงเต็ม จนเมื่อเสาร์อาทิตย์นี้ หยุดไปดื้อๆซะงั้น) จนบางทีก็รู้สึกกลัว ว่าที่เราไม่ก้าวหน้านี้ เป็นเพราะว่าเราแพ้มารในหลายๆครั้ง จนธรรมมะ ท่านตัดหางปล่อยวัด เราแล้วหรือเปล่า (T__T)
สิ่งหนึงที่เกิดขึ้นตอนนี้และทำให้สับสนคือ แต่ก่อนเป็นคนที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนดีแล้ว แต่ปัจจุบัน ทั้งที่เรามาทางธรรมมากขึ้น ศึกษาธรรมมะ และ ปฏิบิติธรรมมากกว่าทุกช่วงเวลาของชีวิตที่เคยทำ และ ค่อนข้างเอาจริงเอาจังด้วย แต่ทำไม มารมันถึงเยอะเหลือเกิน เช่น การที่ต้องปฏิบัติธรรมสวดมนต์นั่งสมาธิเช้าเย็นทุกวัน แต่เดิ๋วก็มีธุระต้องทำโน่นนี่ มีเรื่องให้ไม่สบายใจ ท้อไม่อยากทำซะงั๊น (แต่ก็พยายามฝืนทำให้ได้) แต่ก็รู้สึกว่า ใจไม่สงบเลย // บางทีทั้งที่เป็นคนปฏิบิติธรรมมากขึ้น แต่ทำไมถึงมองเห็นจิตข้างในตัวเอง ว่ามันรู้สึกอิจฉาในวาสนาของคนอื่น (ทั้งที่ก็รู้ว่าเป็นเพราะเค้าเคยทำกรรมดีในชาติก่อน) // คือ ทางกายกรรม วจีกรรม รู้สึกว่าตนเองเป็นคนสงบ และ ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมากๆๆๆๆ แต่ทาง มโนกรรม ทำไมรู้สึกว่า ใจชั๊นสกปรกจังหนอ
อยากสอบถามความเห็น จากประสบการณ์ ขอคำแนะนนำจาก ผู้ปฏิบัติธรรมทุกท่านค่ะ ว่า ดิฉันควรทำอย่างไร เพื่อให้มีความเจริญก้าวหน้าในทางธรรมมากกว่านี้ และ เอาชนะมารให้ได้ ทั้งเรื่องการปฏิบิติ และ เรื่องทางใจ ขอเป็นทางที่ทำแล้วน่าจะได้ผลจริงนะคะ เพราะไม่อยากให้ตัวเองเปนแบบนี้เลย อยากเป็นคนดี อยากอยู่กับธรรมมะ ไม่อยากท้อ ไม่อยากแพ้มารแบบนี้ อยากก้าวหน้าทางธรรมมากกว่านี้ อยากมีกำลังใจในการปฏิบิติให้ไม่ท้อ
ปล. สถานการณ์ปัจจุบัน
เช้า - สวดมนต์สั้น + นั่งสมาธิ 15-30 นาที แล้วแต่เวลาจะอำนวยให้ไปทำงานได้ทัน
เย็น - สวดมนต์ยาว + นั่งสมาธิ 30-60 นาที แต่บางวันไม่สบายก็จะพยายามนั่ง 5-10-15 นาทีแล้วแต่สภาพอำนวย
เสาร์อาทิตย์ - ทำบุญ ใส่บาตร สังฆทาน แล้วแต่เวลาและโอกาสจะอำนวย พยายามทำเท่าที่จะทำได้
ผลที่เกิด
1) เป็นคนที่ท่าทางสงบเสงี่ยมขึ้น ไม่พูดจาแบบไร้สติ ไม่วู่วามในการกระทำ แต่ ใจยังร้อน ยังเกิด ตัณหา อุปาทาน อิจฉา บ้าง แต่ไม่ส่งผลต่อการกระทำ
2) มารมารบกวนเยอะ ที่ทำให้เกิดอาการ ฟุ้ง วูบหลับยามปัจจุบัน บางทีมารกวน ก่อเหตุให้ไม่ได้ปฏิบิตธรรมเลยก็มี แล้วก็จะตามมาด้วยอาการรู้สึกผิด รู้สึกตัวเองเป็นคนบาป รู้สึกกลัว ธรรมมะจะตัดหางปล่อยวัด
ขออนุโมทนาบุญในบุญแห่งธรรมทาน ในการให้ข้อแนะจากทุกท่านด้วยค่ะ
สาธุ
++**___ขอคำแนะนำ และ ความเห็น การเจริญภาวนา กรรมฐาน ให้ก้าวหน้า เพื่อละกิเลส อุปาทาน และ มิจฉาทิฐิ
ก่อนอื่นขออนุญาตเล่าข้อมูลคร่าวๆก่อนนะคะ ตัว จขกท เอง เป็นคนที่สนใจเรื่องธรรม เรื่องของพุทธศาสนามาตั้งแต่เด็กค่ะ แต่ก็ไม่ใช่คนที่คร่ำเคร่งหรือเป็นคนดีนักนะคะ คือ ประมาณ 6-7 ขวบ ถูกส่งมาอยู่กับย่า ย่าก็จะพาไปบวชปีละครั้ง สองครั้ง และก็เข้าวัดทำบุญบ่อยๆ เช้าก็ต้องตื่นมาตี 4 ตี 5 ตามย่ามาสวดมนต์เช้าเย็น แต่พอย้ายบ้านไม่ได้อยู่กับย่า ประมาณสัก 10 ขวบนิดๆ ก็จะห่างเหินการสวดมนต์ไป (เพราะสภาวะแวดล้อมที่อยู่) จนกระทั่งคุณแม่เสียตอนประมาณอายุ 18 ก็จะบวชชีพารหมณ์ให้แม่ทุกๆปี ปีละ 1-2 ครั้ง แล้วก็สวดมนต์นานๆที ส่วนมากจะสวดมนต์ยาวๆเฉพาะวันพระ ส่วนวันธรรมดาก็สวดสั้นๆ บางวันขี้เกียจก็ไม่สวด
โดยปกติเป็นคนที่ถือศีล 5 โดยบังเอิญค่ะ (คือไม่ได้ยึดติดแต่ชีวิตมันเป็นแบบนี้เอง ประกอบกับตอนเด็กๆเึคยทำผิดแล้วถูกลงโทษจนไม่กล้าำทำอีกต่อไป)
- ไม่ฆ่าสัตว์ แต่ตอนเด็กมากๆ เคยจับปลาทองมาด้วยความสงสัยว่าทำไมท้องมันบวมเลยเอามารีดท้อง ไข่ทะลักจนมันตาย จากนั้น ไม่เคยทำบาปด้วยการทำร้ายสัตว์อีกเลย
- ไม่ลักทรัพย์ เพราะฝังใจ ตอน ป.4 เคยขโมยตังค์ป้ามา 40 บาทเพื่อเลี้ยงเค้กเพื่อน แล้วพ่อจับได้ โดนพ่อทำโทษรุนแรงจนเข็ดขยาด ไม่กล้าเอาของใครอีกเลย ต่อให้มีโอกาสก็ตาม
- ไม่ยุ่งกับคนมีเจ้าของ
- ไม่โกหก เพราะว่าไม่รู้เป็นอะไร โกหกไม่เคยเนียน โกหกได้ไม่เกิน 5 นาที ต้องสารภาพความจริง เหมือนใจมันร้อนๆตลอด
- ไม่ดื่มสุรา เพราะ เคยลองกินแค่อึกเดียวก็อ๊วก ทรมาน เลยไม่กินให้ตัวเองทรมาน
ที่ผ่านมาจนถึงเมื่อปีที่แล้ว ก็จะทำแบบเดิมๆ คือ สวดมนต์สั้นวันธรรมดา (บางวันขี้เกียจก็ไม่สวด) สวดมนต์ยาววันพระ พร้อมเปลี่ยนดอกไม้พระ (แต่บางทีก็ลืมวันพระ) จนกระทั่งเมื่อสิ้นปี 2555 ได้รู้จักกับผู้ชายคนนึง และ รู้จักผู้หญิงคนนึง ที่ทำให้ชีวิตกลับเข้ามาสู่หนทางธรรมอีกครั้ง แต่ก็เป็นเพียงการศึกษาธรรมที่ไม่ได้ค่ำเคร่งกับการปฏิบัตินัก
จนกระทั่งเมื่อเดือน พฤษภาคม 2556 ซึ่งเกิดวิกฤติปัญหาขึ้นกับขีวิตของคนที่เรารักมาก จึงมาเน้นด้านการปฏิบิติ คือ สวดมนต์ทุกวันประมาณวันละครึ่ง-1ชั่วโมง และนั่งสมาธิต่อ โดยค่อยๆเริ่มจาก 5 นาที เพิ่มเวลาขึ้นเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบันคือ 1 ชั่วโมง ช่วงแรกๆบางวันมีมารทำให้ขี้เกียจก็เหนื่อยนพักบ้าง หยุดทำบ้าง จนถึงช่วง ตุลาคม 2556 ตั้งใจและลั่นวาจาต่อหน้าพระพุทธรูปว่า จากนี้จะสวดมนต์ นั่งสมาธิทุกวัน ให้มากเท่าที่จะทำได้
แต่จนกระทั่งถึงปัจจุบัน ขอสารภาพตามตรงค่ะ ว่าบางทีรู้สึกท้อใจ ว่าเราไม่ได้เกิดมาเพื่อสิ่งนี้หรือเปล่า ทำไม มารมันเยอะเหลือเกิน ทั้งที่ตั้งใจและพยายามทำแล้ว แต่บางครั้งมันเหนื่อย ท้อ ขับรถกลับถึงบ้าน 2 ทุ่ม กินข้าวอาบน้ำเสร็จ 3 ทุ่มครึ่ง พอสวดมนต์เสร็จ นั่งสมาธิทีไร มันจะวูบหลับเอาทุกที บางวันยอมอดข้าวเย็น เพื่อจะได้รีบนั่งสมาธิเร็วขึ้น แต่กัยังฟุ้งบ้าง วูบบ้าง จนรู้สึกว่า ท้อจัง ทำไมไม่ก้าวหน้าเอาซะเลย เมื่อไหร่จะหยุดวูบ เมื่อไหร่จะหยุดฟุ้ง พอกำจัด นิวรณ์เรื่องฟุ้งซ่านได้ ก็มาวูบหลับเป็นถินมิธะ พอเริ่ไม่ค่อยวูบ ก็กลับมาฟุ้งอีก ... เริ่มจะท้อแล้ว แต่ก็รู้สึกว่าอยากพยายามต่อ
ทุกวันนี้ บางทีก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันถูกทางแน่หรือเปล่า เวลาขับรถทุกวันนี้ แทบไม่ได้ฟังเพลงเลย เปิดฟังแต่ซีดีธรรม กลับบ้านก็เลือกอาบน้ำสวดมนต์ นั่งสมาธิก่อน ค่อยมานั่งดูซีรีย์ หรือ เล่นเนท แต่บางทีมันเหนื่อย บางวันก็หยุดพัก ไม่ปฏิบัติเลยบ้างก็มี (อย่างเช่นทำมาเดือนนึงเต็ม จนเมื่อเสาร์อาทิตย์นี้ หยุดไปดื้อๆซะงั้น) จนบางทีก็รู้สึกกลัว ว่าที่เราไม่ก้าวหน้านี้ เป็นเพราะว่าเราแพ้มารในหลายๆครั้ง จนธรรมมะ ท่านตัดหางปล่อยวัด เราแล้วหรือเปล่า (T__T)
สิ่งหนึงที่เกิดขึ้นตอนนี้และทำให้สับสนคือ แต่ก่อนเป็นคนที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนดีแล้ว แต่ปัจจุบัน ทั้งที่เรามาทางธรรมมากขึ้น ศึกษาธรรมมะ และ ปฏิบิติธรรมมากกว่าทุกช่วงเวลาของชีวิตที่เคยทำ และ ค่อนข้างเอาจริงเอาจังด้วย แต่ทำไม มารมันถึงเยอะเหลือเกิน เช่น การที่ต้องปฏิบัติธรรมสวดมนต์นั่งสมาธิเช้าเย็นทุกวัน แต่เดิ๋วก็มีธุระต้องทำโน่นนี่ มีเรื่องให้ไม่สบายใจ ท้อไม่อยากทำซะงั๊น (แต่ก็พยายามฝืนทำให้ได้) แต่ก็รู้สึกว่า ใจไม่สงบเลย // บางทีทั้งที่เป็นคนปฏิบิติธรรมมากขึ้น แต่ทำไมถึงมองเห็นจิตข้างในตัวเอง ว่ามันรู้สึกอิจฉาในวาสนาของคนอื่น (ทั้งที่ก็รู้ว่าเป็นเพราะเค้าเคยทำกรรมดีในชาติก่อน) // คือ ทางกายกรรม วจีกรรม รู้สึกว่าตนเองเป็นคนสงบ และ ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมากๆๆๆๆ แต่ทาง มโนกรรม ทำไมรู้สึกว่า ใจชั๊นสกปรกจังหนอ
อยากสอบถามความเห็น จากประสบการณ์ ขอคำแนะนนำจาก ผู้ปฏิบัติธรรมทุกท่านค่ะ ว่า ดิฉันควรทำอย่างไร เพื่อให้มีความเจริญก้าวหน้าในทางธรรมมากกว่านี้ และ เอาชนะมารให้ได้ ทั้งเรื่องการปฏิบิติ และ เรื่องทางใจ ขอเป็นทางที่ทำแล้วน่าจะได้ผลจริงนะคะ เพราะไม่อยากให้ตัวเองเปนแบบนี้เลย อยากเป็นคนดี อยากอยู่กับธรรมมะ ไม่อยากท้อ ไม่อยากแพ้มารแบบนี้ อยากก้าวหน้าทางธรรมมากกว่านี้ อยากมีกำลังใจในการปฏิบิติให้ไม่ท้อ
ปล. สถานการณ์ปัจจุบัน
เช้า - สวดมนต์สั้น + นั่งสมาธิ 15-30 นาที แล้วแต่เวลาจะอำนวยให้ไปทำงานได้ทัน
เย็น - สวดมนต์ยาว + นั่งสมาธิ 30-60 นาที แต่บางวันไม่สบายก็จะพยายามนั่ง 5-10-15 นาทีแล้วแต่สภาพอำนวย
เสาร์อาทิตย์ - ทำบุญ ใส่บาตร สังฆทาน แล้วแต่เวลาและโอกาสจะอำนวย พยายามทำเท่าที่จะทำได้
ผลที่เกิด
1) เป็นคนที่ท่าทางสงบเสงี่ยมขึ้น ไม่พูดจาแบบไร้สติ ไม่วู่วามในการกระทำ แต่ ใจยังร้อน ยังเกิด ตัณหา อุปาทาน อิจฉา บ้าง แต่ไม่ส่งผลต่อการกระทำ
2) มารมารบกวนเยอะ ที่ทำให้เกิดอาการ ฟุ้ง วูบหลับยามปัจจุบัน บางทีมารกวน ก่อเหตุให้ไม่ได้ปฏิบิตธรรมเลยก็มี แล้วก็จะตามมาด้วยอาการรู้สึกผิด รู้สึกตัวเองเป็นคนบาป รู้สึกกลัว ธรรมมะจะตัดหางปล่อยวัด
ขออนุโมทนาบุญในบุญแห่งธรรมทาน ในการให้ข้อแนะจากทุกท่านด้วยค่ะ
สาธุ