ชื่อเรื่อง :
ถนัดศรีผู้สอดรู้
ถนัดศรีเป็นสตรีวัยผุ้ใหญ่ตอนต้น มีบุตรหนึ่งคนอายุสามปียังไม่เข้าโรงเรียน และอาศัยอยู่กับสามีคนที่สองอย่างอบอุ่น ตัวถนัดศรีนั้นมักชอบมีนิสัยสอดรู้สอดเห็นเป็นเรื่องปกติ และชอบที่จะมองหาลู่ทางในการอยู่รอดเสมอ เรียกได้ว่าเป็นคนที่ เอาตัวรอดเก่งเป็นที่สุด แต่ใครจะรู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เพราะแม้แต่สัตว์ป่าที่ยิ่งใหญ่ก็อาจเพลี้ยงพล้ำต่อนายพราน หรือสัตว์เล็กก็เป็นได้ หากไม่รู้จักประมาณตน
เช้าวันหนึ่งแดดทอแสงอันสดใสลงยังพื้น บรรยากาศรอบตัวเย็นพอให้ชื่นใจ ถนัดศรีสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดพลางเดินไปตามช่องว่างระหว่างตึกในหมู่บ้าน สายตาที่แพรวพราวนั้นสอดส่ายมองหาผู้คนอยู่เสมอ
“สวัสดีจ้า เช้านี้อากาศสดใสเนาะพี่” ถนัดศรีเอ่ยทักหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่ง รูปร่างอ้วนท้วน สมบูรณ์ แลดูล่ำซำ เธอคนนี้ชื่อ พี่สีดาเป็นคนกว้างขวางในหมู่บ้านที่พักอาศัยอยู่
“จะไปไหนล่ะถนัดศรี” พี่สีดาเอ่ยถามด้วยความรักใคร่
“ไปซื้อกับข้าวให้ไอ้หมูอ้วนลูกชายน่ะพี่ มันน่ะหัวสูง ต้มข้าวให้ธรรมดามันไม่กิน จะกินแต่ของดีๆ พ่อมันน่ะเสี้ยม” ถนัดศรีพูดถึงลูกชายของเธออย่างเอือมระอา
“แกก็ทำกับข้าวให้มันกินสิ แกไม่ทำ มันก็ไม่กินน่ะสิ” พี่สีดาติดเตียนถนัดศรี
“โอ๊ย!!!! พี่หนูหน่ะทำแล้วนะ แต่มันก็ไม่กิน มันบอกไม่อร่อย ไม่กิน
! มันพูดแบบนี้เลยนะ หนูเลยต้องออกมาซื้อให้มันกินเนี่ย ทุกวัน เปลืองก็เปลือง จะไม่มีเงินต่อทุนเลยก็เพราะมันเนี่ยแหละ!” ถนัดศรีพูดไปก็เบ๊ปาก ปัดมือ โยกตัวไปมาอย่างมีจริตจะกร้าน แล้วเดินแยกจากพี่สีดาไป
เมื่อถึงร้านขายของที่หน้าหมู่บ้าน ถนัดศรีก็มองหาอาหารที่ต้องตาต้องใจอย่างพินิจพิจารณา และตัดสินใจที่จะซื้อกลับมาสองอย่าง เธอหยิบแบงค์ร้อยและแบงค์ยี่สิบจ่ายอย่างไม่ลังเลแก่แม่ค้า ก่อนคว้าถุงกับข้าวกลับบ้านอย่างสบายใจ นั่งลงค่อยๆบรรจงแกะถุงกับข้าวกับข้าวนั้นเทใส่ถ้วย และค่อยเปิดฝาหม้อข้าวร้อนๆ ค่อยๆตักข้าวใส่จานให้ลูก และสามีกินอย่างเอร็ดอร่อย บรรยากาศอบอุ่นมีความสุขในเช้าที่สดใส
เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไปยังตอนกลางวัน ถนัดศรีก็จัดแจงพาลูกขึ้นตึกฝั่งตรงข้ามและเดินไปเคาะห้องของพี่สีดาทันที
“พี่ ผัวหนูมันไปทำงานแล้ว ไปพี่ ไปเล่นไพ่กัน” ถนัดศรีพูดอย่างกระตือรือร้น สีหน้าแสดงลักษณะหื่นกระหายการพนันเป็นอย่างมาก
“เออๆ ไปก่อน เดี๋ยวตามไป ไปตามพี่เล็กด้วย ยายของน้องแตงด้วยนะ จะได้ครบขา ขาไม่ครบเล่นไม่มันส์” พี่สีดาตอบอย่างตื่นเต้น ถนัดศรีทำหน้าพยักเพยิดใส่อย่างสนุกสนานก่อนจูงมือพาลูกไปตามหาขาไพ่
เมื่อได้ขาครบ วงไพ่ก็ถูกตั้งขึ้นในห้องเล็กๆของถนัดศรี ห้องของถนัดศรีก็เหมือนกับห้องอื่นๆในแต่ละตึกของหมู่บ้าน คือ เป็นห้องขนาดเล็กไม่กี่ตารางเมตร มีห้องน้ำในตัว มีพื้นที่ซักล้างเล็กๆพอให้วางเตาวางของทำกับข้าวได้ แต่พื้นที่ห้องก็เป็นทั้งที่นอน ที่กิน และที่แต่งตัว รวมถึงพื้นที่เล่นของลูกชายของเธอด้วย
ถนัดศรีชอบเล่นไพ่มาก เธอว่างงาน เพราะไม่มีใครยอมจ้างเธอ เธอจึงต้องเลี้ยงลูกอยู่บ้าน จริงๆแล้วถนัดศรีเป็นชาวพม่าที่มาอาศัยอยู่ในประเทศไทย มีความคาดหวังว่า ลูกชายที่เกิดนั้นจะได้สัญชาติไทย ทั้งที่สามีคนที่สอง และคนแรกของเธอก็เป็นชาวพม่าเหมือนเธอ ถนัดศรีไม่ใช่ชื่อจริงของเธอ แต่ชื่อเธอออกเสียงไทยยาก เธอจึงบอกทุกคนว่า เธอชื่อ ถนัดศรี เธอจะได้ดูเป็นคนไทย และหางานรับจ้างทำได้ง่าย แต่ทุกอย่างก็ไม่ได้ง่ายตามที่เธอคิดไว้
สามีของถนัดศรีทำงานเป็นคนงานรับเหมาของช่างทาสี มีรายได้รายวันไม่มาก แต่เนื่องจากสามีของเธอไม่ต้องจ่ายค่ากิน และค่าอยู่เมื่อติดตามนายช่างของเขาไปทำงาน จึงทำให้มีเงินให้ถนัดศรีใช้ได้สบายๆกับลูก เวลาที่ถนัดศรีเล่นไพ่ เธอจะให้ลูกนั่งอยู่ข้างๆเธอ และหยิบเอาไอแพดที่ซื้อเงินผ่อนให้ลูกของเธอเล่น ถนัดศรีบอกว่าเธออ่านภาษาไทยไม่ออก เวลาเครื่องไอแพดมีปัญหา เธอมักต้องวิ่งหาให้คนอื่นช่วยแก้ไขให้ ไม่ก็เอาไปให้ที่ร้านที่เธอซื้อเงินผ่อนนั้นช่วยแก้ให้แล้วจ่ายเงินค่าแก้ไขครั้งละสองสามร้อยบาท แต่ความจริงแล้วเรื่องที่เธออ่านเขียนไม่ได้เลยนั้นเป็นเรื่องโกหก ถนัดศรีอยู่เมืองไทยมานาน แม้เธอจะไม่ได้อ่าน และเขียนได้มากมาย แต่เธอสามารถอ่านได้ในระดับหนึ่ง หรืออ่านข้อความสั้นๆเข้าใจได้ และรู้วิธีเขียนชื่อตัวเอง ลูก และสามีเป็น แต่เพราะอะไรเธอถึงต้องบอกคนอื่นเช่นนั้น มีเพียงเธอ และสามีเท่านั้นที่รู้
ถนัดศรีเสพติดการเล่นไพ่เป็นอย่างมาก พูดได้ว่าถ้าวันไหนไม่ได้เล่น ก็จะหงุดหงิดมากทีเดียว ยิ่งเล่นแล้วเสียก็จะยิ่งแสดงอาการหงุดหงิดออกมาอย่างชัดเจน และในระหว่างที่เล่น หากลูกของเธอหิวข้าวจำเป็นต้องอดทน เพราะเธอจะไม่ลุกไปไหน หลายครั้งที่ลูกเธองอแงร้องไห้ จนขาไพ่ร่วมวงต้องไล่ให้เธอไปหาข้าวให้ลูกกิน แต่เธอก็หาให้ลูกกินอย่างลวกๆเสมอ
บ่ายโมงวันอังคารถนัดศรีรู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมาก เธอมองออกมาด้านนอกห้อง พบหญิงวัยไล่เรียงแก่กว่าเธอนิดหน่อยอยู่ด้านนอก ถนัดศรีจึงเปิดประตูเดินออกมานอกห้อง ปล่อยให้ลูกชายวัยสามขวบของเธอนอนหลับต่ออย่างสบาย
“พี่ลัดดา พาน้องอินมาเดินเล่นเหรอพี่” หญิงวัยผู้ใหญ่ตอนกลางยิ้มให้เธออย่างเป็นมิตร พลางพยักหน้า
“หมูอ้วนหลับเหรอถนัดศรี” พี่ลัดดาถามกลับพลางยิ้มให้
“ใช่พี่ หลับ หนูนะ เบื่อมันจะตาย วันๆกินแต่ขนม เปลืองมาก แต่หนูก็ไม่รู้จะทำยังไง ก็ต้องซื้อให้มันกิน ถ้าไม่ได้กินมันก็ปาของ ร้องไห้ ก็ต้องซื้อให้มันกินน่ะพี่” ถนัดศรีพูดไปก็ชักสีหน้าใส่อารมณ์ ซึ่งพี่ลัดดาก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ยิ้มให้ในขณะที่เธอเดินตามลูกชายวัยหนึ่งขวบที่กำลังหัดเดินไปรอบๆบริเวณด้านข้างตึก
เมื่อพี่ลัดดารู้สึกเมื่อย เธอนั่งลงบริเวณม้านั่งด้านข้างถนัดศรี และมองดูลูกชายตัวเล็กเล่นก้อนหินหลายก้อนบนพื้นหญ้าเขียวด้านข้างตึก
“พี่ลัดดา หนูขอปรึกษาอะไรหน่อย ถ้าหนูเพิ่งได้เงินจากผัวมาห้าร้อยเมื่อวันเสาร์ วันนี้วันอังคารแล้วโทรไปขอเงินมันตอนนี้ ดูน่าสงสัยไหมพี่” ถนัดศรีเอ่ยถาม พี่ลัดดาแสดงสีหน้าฉงนในคำถามของถนัดศรี ถนัดศรีจึงพูดเพิ่มเติมว่า
“คือหนูทำงานน่ะพี่ ก็คิดเลขนั่นแหละ กลัวมันรู้ เดี๋ยวมันจับได้มันจะด่าเอา หาว่าไม่ดูลูก เล่นแต่ไพ่ เลยต้องขอเพื่อให้ไม่ถูกสงสัย” พี่ลัดดาได้ฟังก็รู้สึกลำบากใจ เธอรู้สึกไม่ชอบใจกับคำพูดของถนัดศรีนำเรื่องโกหกสามีเพื่อขอเงินมาปรึกษา แต่ก็ไม่ได้แสดงออกไปชัดเจน พี่ลัดดาจึงบอกกับถนัดศรีไปว่า
“ถ้าถนัดศรีคิดว่าควรจะขอก็ขอ เพราะพี่ก็ไม่รู้รายจ่ายของเธอ” พี่ลัดดาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ และยิ้มให้อย่างขอไปที ถนัดศรีได้ยินดังนั้นก็พูดต่ออย่างเหนื่อยอกเหนื่อยใจถึงเรื่องของเธอ
“เนี่ยนะพี่ลัดดา หนูน่ะนะ เดี๋ยวไอ้หมูอ้วนมันก็ต้องบวชตอนเจ็ดขวบ มันเป็นประเพณีของบ้านหนูเลยนะ ต้องมีทอง มีเงินไปจัดงานให้ใหญ่โต ต้องเลี้ยงคนด้วยอาหารดีๆ ต้องหาเงิน ถ้าไม่พอไม่มีก็ต้องไปกู้เงินเขามา แล้วมาทำงานเพื่อหาไปใช้หนี้ โอ๊ย! ไม่มีเหลือเก็บเลยซักบาท ลำบากยิ่งกว่าอะไร เลือดแทบจะหมดตัว ขูดกระดูกแล้วขูดกระดูกอีกจนแห้งกรังแล้วยังไม่มีเลยพี่”
“แล้วทำไมไม่ทำให้พอดีๆกับเท่าที่มีหล่ะ” พี่ลัดดาเอ่ย
“โอ๊ยยย.... ไม่ได้หรอกพี่ ถ้าทำไม่ดีนะ เค้าจะดูถูก หาว่าอุส่าห์มาทำงานถึงกรุงเทพฯ แล้วไม่มีเงินเก็บ โอ๊ย.... เค้านินทากันจนลูกหลานเหลนเลยนะพี่ อับอายขายหน้ากันไปทั้งตระกูลเลย” ถนัดศรีพูดเสียงสูงอย่างออกรส พี่ลัดดาไม่พูดอะไร เพียงรับฟังสิ่งที่ถนัดศรีพูด และยิ้มให้ก่อนเดินไปอุ้มลูกเพื่อไปซื้อของที่อยู่ร้านค้าใกล้ๆ
ถนัดศรีรู้สึกเบื่อหน่ายจึงเดินเข้าบ้านไปดูลูกชาย ลูกชายของเธอยังคงหลับสนิท เมื่อเดินออกมาพี่ลัดดาก็หายไปแล้ว เธอรู้สึกไม่พอใจที่พี่ลัดดาเดินหายไปโดยที่ไม่ได้บอกเธอ เธอจึงเดินไปยังห้องของพี่สีดา เพื่อพูดคุยระบายความเบื่อ
“พี่สีดา พี่รู้ไหม พี่ลัดดา เขาเลิกกับผัวเค้าแล้วนะ” ถนัดศรีเอ่ยขึ้นอย่างออกรส
“โอ๊ย! รู้สิ ทำไมจะไม่รู้ ทะเลาะกันลั่นตึก ผัวเค้านอกใจ ก็ปล่อยตัวขนาดนั้น สมน้ำหน้า” พี่สีดาพูดตอบโต้ ถนัดศรีรู้สึกสนุก ตาแวววาว
“พี่รู้ไหม เมื่อกี้หนูเจอพี่ลัดดานะ ไม่เห็นเค้าพูดอะไรเลย สงสัยจะอายที่โดนผัวทิ้ง ฮิๆๆๆ” ถนัดศรีพูดพลางเอามือป้องปากหัวเราะชอบใจ
“แหม... อย่าพูดไป เค้าไม่ได้ถูกทิ้ง เค้าทิ้งผัวเค้าต่างหาก” พี่สีดาพูดพลางยักไหล่แล้วยิ้มอย่างมีเสศนัย
“แล้วมันต่างกันยังไง ผัวมีเมียใหม่ ผัวนอกใจ ต่อให้ไล่ไป ให้ไม่เอา แต่ก็โง่ เป็นควาย ให้เขาหลอก เหมือนกันแหละพี่ ฮ่าๆๆๆ” ถนัดศรีพูดเน้นเสียงไป หัวเราะไปอย่างสนุกสนานกับพี่สีดาอย่างเมามันส์
“ฉันละไม่ชอบ ท่าทีมีความรู้ของนังลัดดาเลย พูดก็พูดนะ ฉันน่ะ ยังดูฉลาดกว่ามันอีก ทำเป็นวางท่ามีความรู้ สอนลูกอย่างงั้นอย่างงี้ นี่ถนัดศรีแกรู้ไหม นังลัดดาน่ะมันชอบทิ้งลูกให้นอนคนเดียว แล้วออกไปเดินเที่ยวหาของกิน ไปคุยเป็นชั่วโมงเลยนะ ฉันละไม่ชอบ สงสารเด็ก กับคนดีๆไม่เกิด ทำไมต้องมาเกิดกับแม่เลวๆแบบนี้ด้วยก็ไม่รู้” พี่สีดาพูด ถนัดศรีก็ไม่รอช้า โต้ตอบทันที
“ใช่พี่สีดา หนูนะ ไม่ชอบเลย ทำเป็นรักลูก พูดเรื่องการศึกษา พูดเรื่องความพอดี ทุเรศ ขนาดหนูนะ ไม่ได้เรียนสูง ไม่ได้รู้อะไรเลย ยังไม่เคยทิ้งลูกเลย ขนาดเล่นไพ่ ยังไม่ยอมให้ห่างเลย”
ถนัดศรีและพี่สีดาพูดคุยถึงคนชื่อลัดดากันอย่างสนุกสนานเป็นเวลานาน จนผ่านมาสักพักถนัดศรีได้ยินเสียงลูกชายร้องหาตัว จึงขอตัวจากพี่สีดาไปดูลูกชายที่ออกมายืนร้องไห้ตามหาหน้าห้อง
รบกวนช่วยวิจารณ์ เรื่องสั้น ให้หน่อยค่ะ (แต่งครั้งแรก)
ถนัดศรีเป็นสตรีวัยผุ้ใหญ่ตอนต้น มีบุตรหนึ่งคนอายุสามปียังไม่เข้าโรงเรียน และอาศัยอยู่กับสามีคนที่สองอย่างอบอุ่น ตัวถนัดศรีนั้นมักชอบมีนิสัยสอดรู้สอดเห็นเป็นเรื่องปกติ และชอบที่จะมองหาลู่ทางในการอยู่รอดเสมอ เรียกได้ว่าเป็นคนที่ เอาตัวรอดเก่งเป็นที่สุด แต่ใครจะรู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เพราะแม้แต่สัตว์ป่าที่ยิ่งใหญ่ก็อาจเพลี้ยงพล้ำต่อนายพราน หรือสัตว์เล็กก็เป็นได้ หากไม่รู้จักประมาณตน
เช้าวันหนึ่งแดดทอแสงอันสดใสลงยังพื้น บรรยากาศรอบตัวเย็นพอให้ชื่นใจ ถนัดศรีสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดพลางเดินไปตามช่องว่างระหว่างตึกในหมู่บ้าน สายตาที่แพรวพราวนั้นสอดส่ายมองหาผู้คนอยู่เสมอ
“สวัสดีจ้า เช้านี้อากาศสดใสเนาะพี่” ถนัดศรีเอ่ยทักหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่ง รูปร่างอ้วนท้วน สมบูรณ์ แลดูล่ำซำ เธอคนนี้ชื่อ พี่สีดาเป็นคนกว้างขวางในหมู่บ้านที่พักอาศัยอยู่
“จะไปไหนล่ะถนัดศรี” พี่สีดาเอ่ยถามด้วยความรักใคร่
“ไปซื้อกับข้าวให้ไอ้หมูอ้วนลูกชายน่ะพี่ มันน่ะหัวสูง ต้มข้าวให้ธรรมดามันไม่กิน จะกินแต่ของดีๆ พ่อมันน่ะเสี้ยม” ถนัดศรีพูดถึงลูกชายของเธออย่างเอือมระอา
“แกก็ทำกับข้าวให้มันกินสิ แกไม่ทำ มันก็ไม่กินน่ะสิ” พี่สีดาติดเตียนถนัดศรี
“โอ๊ย!!!! พี่หนูหน่ะทำแล้วนะ แต่มันก็ไม่กิน มันบอกไม่อร่อย ไม่กิน ! มันพูดแบบนี้เลยนะ หนูเลยต้องออกมาซื้อให้มันกินเนี่ย ทุกวัน เปลืองก็เปลือง จะไม่มีเงินต่อทุนเลยก็เพราะมันเนี่ยแหละ!” ถนัดศรีพูดไปก็เบ๊ปาก ปัดมือ โยกตัวไปมาอย่างมีจริตจะกร้าน แล้วเดินแยกจากพี่สีดาไป
เมื่อถึงร้านขายของที่หน้าหมู่บ้าน ถนัดศรีก็มองหาอาหารที่ต้องตาต้องใจอย่างพินิจพิจารณา และตัดสินใจที่จะซื้อกลับมาสองอย่าง เธอหยิบแบงค์ร้อยและแบงค์ยี่สิบจ่ายอย่างไม่ลังเลแก่แม่ค้า ก่อนคว้าถุงกับข้าวกลับบ้านอย่างสบายใจ นั่งลงค่อยๆบรรจงแกะถุงกับข้าวกับข้าวนั้นเทใส่ถ้วย และค่อยเปิดฝาหม้อข้าวร้อนๆ ค่อยๆตักข้าวใส่จานให้ลูก และสามีกินอย่างเอร็ดอร่อย บรรยากาศอบอุ่นมีความสุขในเช้าที่สดใส
เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไปยังตอนกลางวัน ถนัดศรีก็จัดแจงพาลูกขึ้นตึกฝั่งตรงข้ามและเดินไปเคาะห้องของพี่สีดาทันที
“พี่ ผัวหนูมันไปทำงานแล้ว ไปพี่ ไปเล่นไพ่กัน” ถนัดศรีพูดอย่างกระตือรือร้น สีหน้าแสดงลักษณะหื่นกระหายการพนันเป็นอย่างมาก
“เออๆ ไปก่อน เดี๋ยวตามไป ไปตามพี่เล็กด้วย ยายของน้องแตงด้วยนะ จะได้ครบขา ขาไม่ครบเล่นไม่มันส์” พี่สีดาตอบอย่างตื่นเต้น ถนัดศรีทำหน้าพยักเพยิดใส่อย่างสนุกสนานก่อนจูงมือพาลูกไปตามหาขาไพ่
เมื่อได้ขาครบ วงไพ่ก็ถูกตั้งขึ้นในห้องเล็กๆของถนัดศรี ห้องของถนัดศรีก็เหมือนกับห้องอื่นๆในแต่ละตึกของหมู่บ้าน คือ เป็นห้องขนาดเล็กไม่กี่ตารางเมตร มีห้องน้ำในตัว มีพื้นที่ซักล้างเล็กๆพอให้วางเตาวางของทำกับข้าวได้ แต่พื้นที่ห้องก็เป็นทั้งที่นอน ที่กิน และที่แต่งตัว รวมถึงพื้นที่เล่นของลูกชายของเธอด้วย
ถนัดศรีชอบเล่นไพ่มาก เธอว่างงาน เพราะไม่มีใครยอมจ้างเธอ เธอจึงต้องเลี้ยงลูกอยู่บ้าน จริงๆแล้วถนัดศรีเป็นชาวพม่าที่มาอาศัยอยู่ในประเทศไทย มีความคาดหวังว่า ลูกชายที่เกิดนั้นจะได้สัญชาติไทย ทั้งที่สามีคนที่สอง และคนแรกของเธอก็เป็นชาวพม่าเหมือนเธอ ถนัดศรีไม่ใช่ชื่อจริงของเธอ แต่ชื่อเธอออกเสียงไทยยาก เธอจึงบอกทุกคนว่า เธอชื่อ ถนัดศรี เธอจะได้ดูเป็นคนไทย และหางานรับจ้างทำได้ง่าย แต่ทุกอย่างก็ไม่ได้ง่ายตามที่เธอคิดไว้
สามีของถนัดศรีทำงานเป็นคนงานรับเหมาของช่างทาสี มีรายได้รายวันไม่มาก แต่เนื่องจากสามีของเธอไม่ต้องจ่ายค่ากิน และค่าอยู่เมื่อติดตามนายช่างของเขาไปทำงาน จึงทำให้มีเงินให้ถนัดศรีใช้ได้สบายๆกับลูก เวลาที่ถนัดศรีเล่นไพ่ เธอจะให้ลูกนั่งอยู่ข้างๆเธอ และหยิบเอาไอแพดที่ซื้อเงินผ่อนให้ลูกของเธอเล่น ถนัดศรีบอกว่าเธออ่านภาษาไทยไม่ออก เวลาเครื่องไอแพดมีปัญหา เธอมักต้องวิ่งหาให้คนอื่นช่วยแก้ไขให้ ไม่ก็เอาไปให้ที่ร้านที่เธอซื้อเงินผ่อนนั้นช่วยแก้ให้แล้วจ่ายเงินค่าแก้ไขครั้งละสองสามร้อยบาท แต่ความจริงแล้วเรื่องที่เธออ่านเขียนไม่ได้เลยนั้นเป็นเรื่องโกหก ถนัดศรีอยู่เมืองไทยมานาน แม้เธอจะไม่ได้อ่าน และเขียนได้มากมาย แต่เธอสามารถอ่านได้ในระดับหนึ่ง หรืออ่านข้อความสั้นๆเข้าใจได้ และรู้วิธีเขียนชื่อตัวเอง ลูก และสามีเป็น แต่เพราะอะไรเธอถึงต้องบอกคนอื่นเช่นนั้น มีเพียงเธอ และสามีเท่านั้นที่รู้
ถนัดศรีเสพติดการเล่นไพ่เป็นอย่างมาก พูดได้ว่าถ้าวันไหนไม่ได้เล่น ก็จะหงุดหงิดมากทีเดียว ยิ่งเล่นแล้วเสียก็จะยิ่งแสดงอาการหงุดหงิดออกมาอย่างชัดเจน และในระหว่างที่เล่น หากลูกของเธอหิวข้าวจำเป็นต้องอดทน เพราะเธอจะไม่ลุกไปไหน หลายครั้งที่ลูกเธองอแงร้องไห้ จนขาไพ่ร่วมวงต้องไล่ให้เธอไปหาข้าวให้ลูกกิน แต่เธอก็หาให้ลูกกินอย่างลวกๆเสมอ
บ่ายโมงวันอังคารถนัดศรีรู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมาก เธอมองออกมาด้านนอกห้อง พบหญิงวัยไล่เรียงแก่กว่าเธอนิดหน่อยอยู่ด้านนอก ถนัดศรีจึงเปิดประตูเดินออกมานอกห้อง ปล่อยให้ลูกชายวัยสามขวบของเธอนอนหลับต่ออย่างสบาย
“พี่ลัดดา พาน้องอินมาเดินเล่นเหรอพี่” หญิงวัยผู้ใหญ่ตอนกลางยิ้มให้เธออย่างเป็นมิตร พลางพยักหน้า
“หมูอ้วนหลับเหรอถนัดศรี” พี่ลัดดาถามกลับพลางยิ้มให้
“ใช่พี่ หลับ หนูนะ เบื่อมันจะตาย วันๆกินแต่ขนม เปลืองมาก แต่หนูก็ไม่รู้จะทำยังไง ก็ต้องซื้อให้มันกิน ถ้าไม่ได้กินมันก็ปาของ ร้องไห้ ก็ต้องซื้อให้มันกินน่ะพี่” ถนัดศรีพูดไปก็ชักสีหน้าใส่อารมณ์ ซึ่งพี่ลัดดาก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ยิ้มให้ในขณะที่เธอเดินตามลูกชายวัยหนึ่งขวบที่กำลังหัดเดินไปรอบๆบริเวณด้านข้างตึก
เมื่อพี่ลัดดารู้สึกเมื่อย เธอนั่งลงบริเวณม้านั่งด้านข้างถนัดศรี และมองดูลูกชายตัวเล็กเล่นก้อนหินหลายก้อนบนพื้นหญ้าเขียวด้านข้างตึก
“พี่ลัดดา หนูขอปรึกษาอะไรหน่อย ถ้าหนูเพิ่งได้เงินจากผัวมาห้าร้อยเมื่อวันเสาร์ วันนี้วันอังคารแล้วโทรไปขอเงินมันตอนนี้ ดูน่าสงสัยไหมพี่” ถนัดศรีเอ่ยถาม พี่ลัดดาแสดงสีหน้าฉงนในคำถามของถนัดศรี ถนัดศรีจึงพูดเพิ่มเติมว่า
“คือหนูทำงานน่ะพี่ ก็คิดเลขนั่นแหละ กลัวมันรู้ เดี๋ยวมันจับได้มันจะด่าเอา หาว่าไม่ดูลูก เล่นแต่ไพ่ เลยต้องขอเพื่อให้ไม่ถูกสงสัย” พี่ลัดดาได้ฟังก็รู้สึกลำบากใจ เธอรู้สึกไม่ชอบใจกับคำพูดของถนัดศรีนำเรื่องโกหกสามีเพื่อขอเงินมาปรึกษา แต่ก็ไม่ได้แสดงออกไปชัดเจน พี่ลัดดาจึงบอกกับถนัดศรีไปว่า
“ถ้าถนัดศรีคิดว่าควรจะขอก็ขอ เพราะพี่ก็ไม่รู้รายจ่ายของเธอ” พี่ลัดดาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ และยิ้มให้อย่างขอไปที ถนัดศรีได้ยินดังนั้นก็พูดต่ออย่างเหนื่อยอกเหนื่อยใจถึงเรื่องของเธอ
“เนี่ยนะพี่ลัดดา หนูน่ะนะ เดี๋ยวไอ้หมูอ้วนมันก็ต้องบวชตอนเจ็ดขวบ มันเป็นประเพณีของบ้านหนูเลยนะ ต้องมีทอง มีเงินไปจัดงานให้ใหญ่โต ต้องเลี้ยงคนด้วยอาหารดีๆ ต้องหาเงิน ถ้าไม่พอไม่มีก็ต้องไปกู้เงินเขามา แล้วมาทำงานเพื่อหาไปใช้หนี้ โอ๊ย! ไม่มีเหลือเก็บเลยซักบาท ลำบากยิ่งกว่าอะไร เลือดแทบจะหมดตัว ขูดกระดูกแล้วขูดกระดูกอีกจนแห้งกรังแล้วยังไม่มีเลยพี่”
“แล้วทำไมไม่ทำให้พอดีๆกับเท่าที่มีหล่ะ” พี่ลัดดาเอ่ย
“โอ๊ยยย.... ไม่ได้หรอกพี่ ถ้าทำไม่ดีนะ เค้าจะดูถูก หาว่าอุส่าห์มาทำงานถึงกรุงเทพฯ แล้วไม่มีเงินเก็บ โอ๊ย.... เค้านินทากันจนลูกหลานเหลนเลยนะพี่ อับอายขายหน้ากันไปทั้งตระกูลเลย” ถนัดศรีพูดเสียงสูงอย่างออกรส พี่ลัดดาไม่พูดอะไร เพียงรับฟังสิ่งที่ถนัดศรีพูด และยิ้มให้ก่อนเดินไปอุ้มลูกเพื่อไปซื้อของที่อยู่ร้านค้าใกล้ๆ
ถนัดศรีรู้สึกเบื่อหน่ายจึงเดินเข้าบ้านไปดูลูกชาย ลูกชายของเธอยังคงหลับสนิท เมื่อเดินออกมาพี่ลัดดาก็หายไปแล้ว เธอรู้สึกไม่พอใจที่พี่ลัดดาเดินหายไปโดยที่ไม่ได้บอกเธอ เธอจึงเดินไปยังห้องของพี่สีดา เพื่อพูดคุยระบายความเบื่อ
“พี่สีดา พี่รู้ไหม พี่ลัดดา เขาเลิกกับผัวเค้าแล้วนะ” ถนัดศรีเอ่ยขึ้นอย่างออกรส
“โอ๊ย! รู้สิ ทำไมจะไม่รู้ ทะเลาะกันลั่นตึก ผัวเค้านอกใจ ก็ปล่อยตัวขนาดนั้น สมน้ำหน้า” พี่สีดาพูดตอบโต้ ถนัดศรีรู้สึกสนุก ตาแวววาว
“พี่รู้ไหม เมื่อกี้หนูเจอพี่ลัดดานะ ไม่เห็นเค้าพูดอะไรเลย สงสัยจะอายที่โดนผัวทิ้ง ฮิๆๆๆ” ถนัดศรีพูดพลางเอามือป้องปากหัวเราะชอบใจ
“แหม... อย่าพูดไป เค้าไม่ได้ถูกทิ้ง เค้าทิ้งผัวเค้าต่างหาก” พี่สีดาพูดพลางยักไหล่แล้วยิ้มอย่างมีเสศนัย
“แล้วมันต่างกันยังไง ผัวมีเมียใหม่ ผัวนอกใจ ต่อให้ไล่ไป ให้ไม่เอา แต่ก็โง่ เป็นควาย ให้เขาหลอก เหมือนกันแหละพี่ ฮ่าๆๆๆ” ถนัดศรีพูดเน้นเสียงไป หัวเราะไปอย่างสนุกสนานกับพี่สีดาอย่างเมามันส์
“ฉันละไม่ชอบ ท่าทีมีความรู้ของนังลัดดาเลย พูดก็พูดนะ ฉันน่ะ ยังดูฉลาดกว่ามันอีก ทำเป็นวางท่ามีความรู้ สอนลูกอย่างงั้นอย่างงี้ นี่ถนัดศรีแกรู้ไหม นังลัดดาน่ะมันชอบทิ้งลูกให้นอนคนเดียว แล้วออกไปเดินเที่ยวหาของกิน ไปคุยเป็นชั่วโมงเลยนะ ฉันละไม่ชอบ สงสารเด็ก กับคนดีๆไม่เกิด ทำไมต้องมาเกิดกับแม่เลวๆแบบนี้ด้วยก็ไม่รู้” พี่สีดาพูด ถนัดศรีก็ไม่รอช้า โต้ตอบทันที
“ใช่พี่สีดา หนูนะ ไม่ชอบเลย ทำเป็นรักลูก พูดเรื่องการศึกษา พูดเรื่องความพอดี ทุเรศ ขนาดหนูนะ ไม่ได้เรียนสูง ไม่ได้รู้อะไรเลย ยังไม่เคยทิ้งลูกเลย ขนาดเล่นไพ่ ยังไม่ยอมให้ห่างเลย”
ถนัดศรีและพี่สีดาพูดคุยถึงคนชื่อลัดดากันอย่างสนุกสนานเป็นเวลานาน จนผ่านมาสักพักถนัดศรีได้ยินเสียงลูกชายร้องหาตัว จึงขอตัวจากพี่สีดาไปดูลูกชายที่ออกมายืนร้องไห้ตามหาหน้าห้อง