หนึ่งเสียงจากคนเชียงใหม่ อยากร่วมแบ่งปันประสบการณ์แย่ ๆ ที่เราได้รับจากเมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ค่ะ
แม้ว่าเราจะเฝ้ารอเอสเอฟมาอย่างยาวนาน จนกระทั่งเอสเอฟเปิดที่พรอมเมนาดา แต่ก็ไกลบ้านเราเหลือเกิน ดูหนังรอบดึก ๆ ก็ไม่ค่อยสะดวกสำหรับเราเท่าไร พอเอสเอฟมาเปิดที่เมญ่าก็ดีใจ แต่เมื่อวานนี้ ด้วยความที่ต้องการเลี่ยงฝูงชนจำนวนมากที่ไปเที่ยวเมญ่า ซึ่งเพิ่งเปิดใหม่เมื่อวันที่ ๒๓ มกราคมที่ผ่านมานี้เอง ประกอบกับรอบฉายที่เมเจอร์นั้นประจวบเหมาะกับเวลาที่เราสะดวก ที่สำคัญเราตั้งใจจะไปชมนิทรรศการ "ย่างพระบาทที่ยาตรา" ที่เซ็นทรัลเฟสติวัล จึงเลือกไปดูหนังที่เมเจอร์ เซ็นทรัลเฟสติวัล
เมื่อไปถึงโรงหนัง ปรากฏว่าจากเดิมที่เคยมีพนักงานแค่ ๑ คนในช่องจำหน่ายตั๋ว เมื่อวานนี้ช่องจำหน่ายตั๋วกลับกลายสภาพเป็นเคาน์เตอร์ร้าง ๆ ที่สร้างมาเพื่อแค่ป้องกัน สคบ. ตรวจสอบหรือเปล่า เพราะช่องทางการจำหน่ายตั๋วทั้งหมดไปอยู่ที่ตู้จำหน่ายตั๋วอัตโนมัติที่ต้องจ่ายเงินด้วยบัตรเอ็มแคชเท่านั้น ที่ตลกกว่าคือช่องจำหน่ายตั๋วที่มีพนักงานบริการตลอดเวลานั้น ต้องชำระเงินด้วยบัตรเอ็มแคชเท่านั้น (เราต้องเติมเงิน ๑,๐๐๐ บาทขึ้นไป ถึงจะไม่ต้องเสียค่าทำบัตร บัตรมีอายุ ๑ ปี แต่เมเจอร์มีสิทธิ์ยกเลิกบัตรหรือเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขเมื่อไรก็ได้ เพื่อนเราเคยเจอมาแล้ว บัตรถูกยกเลิก ใช้ไม่ได้ เพราะมันเปลี่ยนบัตรใหม่ เงินที่เติมไปก็ไม่ได้คืน) เดิมทีบัตรเอ็มแคชถูกโฆษณาว่าสะดวกสบายไม่ต้องยืนรอคิวนาน แต่ ณ วันนี้ ไม่มีคิว? ทำไมต้องบังคับให้ใช้บัตรเอ็มแคชอยู่อีก
เดชะบุญที่มันยังเปิดให้ช่องขายป๊อปคอร์น (บางช่อง) สามารถขายและออกตั๋วหนังได้ เราเลยเดินไปซื้อตั๋วที่พนักงานป๊อปคอร์น ซึ่งถามว่ารอบไหนเป็นธรรมดา รอบไหนเป็นสามมิติก็ตอบไม่ค่อยได้ รอบไหนพากย์ไทย รอบไหนซาวนด์แทรกก็ตอบไม่ค่อยจะได้ หน้าจอที่บอกรอบฉาย ข้อมูลก็ล้นตกขอบจอไป ทำให้ดูข้อมูลไม่ได้ อันที่จริงโดยนิสัยเรา ก่อนจะมาที่โรงหนังเราจะเช็ครอบฉายมาก่อนล่วงหน้าแล้ว เมื่อวานนี้เราก็พยายามเช็ครอบฉายล่วงหน้ามาแล้ว
๑) โทร. ไปที่สายตรงเมเจอร์เซ็นทรัลเฟสติวัล เพื่อป้องกันข้อผิดพลาดจากการทำรายการของเราเอง เราเลยเลือกไม่ฟังรอบฉายอัตโนมัติ แต่กดศูนย์รอสอบถามโดยตรงกับพนักงาน ก็รอนานมากจนทนรอสายไม่ไหว
๒) เลยลองเช็ครอบฉายในเว็บไซต์ของเมเจอร์ผ่านมือถือ ไม่เข้าใจว่าทำไมเราเข้าไปดูรอบฉายของเมเจอร์เฟสติวัลโดยตรงไม่ได้ มันจะเด้งไปหน้ารวมทุกสาขา ที่เริ่มต้นด้วย อีจีวีบางแค คิดดูว่ากว่าเราจะเลื่อนลงมาเจอเมเจอร์เซ็นทรัลเฟสติวัลเชียงใหม่จะนานแค่ไหน เน็ตมือถือก็ช้า (สามจีแล้วค่ะ) พยายามอดทนเลื่อนลงมาได้สองสามสาขา แอพก็เด้งกลับไปหน้าจอหลักของไอโฟนทุกครั้งไป แปลกใจมาก เพราะเวลาเราเช็ครอบฉายของเมเจอร์แอร์พอร์ตก็ไม่เห็นมีปัญหาเแบบนี้ ซึ่งเราเช็ครอบฉายทางมือถือไม่ได้แบบนี้มานานแล้ว เป็นทุกครั้ง
๓) เราเลยตัดสินใจโทร.ไปสายตรงเมเจอร์เซ็นทรัลเฟสติวัลอีกครั้ง แล้วกดฟังรอบฉายจากระบบอัตโนมัติ ซึ่งไม่เข้าใจว่าทำไมไม่แยกสามมิติกับดิจิตอลธรรมดาให้เรา บอกแค่ว่าระบบดิจิตอล มีรอบ ๑๘.๓๐ น. เราก็คิดว่าระบบดิจิตอลธรรมดา แต่พอไปที่เคาน์เตอร์ขายป๊อปคอร์น พนักงานบอกว่ารอบ ๑๘.๓๐ เป็นสามมิติ (ต้องจ่ายเงินค่าแว่นเพิ่ม ๕๐ บาท ถ้าไม่อยากเสียค่าแว่นทุกครั้งก็ต้องซื้อแว่นสามมิติส่วนตัวที่โรงหนังมีจำหน่ายด้วย) ถ้าจะดูระบบดิจิตอลธรรมดาต้องรอถึง ๒๒.๐๐ น. เราถามว่าแน่ใจนะ เพราะในโทรศัพท์บอกว่าเป็นระบบดิจิตอล ไม่เห็นบอกเลยว่าดิจิตอลสามมิติ พนักงานก็ไม่แน่ใจ เราเลยเดินออกจากช่องขายป๊อปคอร์นแล้วเดินไปดูตารางโชว์ไทม์เองดีกว่า ซึ่งก็เป็นสามมิติจริง ๆ ไม่งั้นต้องเป็นรอบทุ่มกว่า ๆ ซึ่งเป็นไอแมกซ์ รวมแว่นแล้ว ๒๘๐ บาท (ถ้าดูดิจิตอลธรรมดา ราคาเอ็มเจ็น ที่นั่งธรรมดาคนละ ๑๕๐ บาท สองคนก็ ๓๐๐ บาท) ลองดูโรงอื่น ๆ ที่รอบใกล้เคียงก็เป็นสามมิติหมดเลย มีอีกโรงหนึ่งรอบทุ่มกว่า ๆ แต่ว่าเป็นโรงวีไอพี ที่นั่งละ ๕๐๐ บาท สองที่นั่งก็ ๑,๐๐๐ บาท (เงินเดือนเราเฉลี่ยต่อวัน หลังหักประกันสังคมและเงินสมทบกองทุน ก็เหลือแค่วันละ ๖๐๐ กว่าบาทเอง) ลองเช็ครอบฉายที่เมเจอร์ฉอร์พอร์ตผ่านมือถืออีกรอบ ก็มีแต่พากย์ไทยเต็มไปหมด เราเลยตัดสินใจไม่ดูหนังที่เมเจอร์แล้ว เดินลงไปดูนิทรรศการที่ชั้น ๑ แล้วก็ออกไปเมญ่า ซึ่งเช็ครอบฉายในเว็บไซต์แล้วมีรอบ ๒๐.๔๐ น. ซึ่งก็ดีกว่าต้องรอถึง ๒๒.๐๐ น. ซึ่งรอบฉายก็เข้าดูได้ง่าย จองได้ง่าย เคาน์เตอร์ขายตั๋วมีพนักงานบริการ แถมยังใช้สิทธิ์ดูฟรี ๑ ที่นั่งของดีแทคได้ด้วย (รอใช้มานานละ เพราะเมเจอร์มีแต่เอไอเอสซื้อตั๋วได้ในราคา ๑๐๐ บาท) เซ็ตป๊อปคอร์นก็ถูกกว่า มีรอบฉายหลากหลายกว่า หน้าโรงหนังมีพนักงานยิ้มแย้มคอยต้อนรับ ชี้บอกทาง ซึ่งบรรยากาศคุ้นเคยที่ห่างหายไปนาน (เราเพิ่งย้ายมาอยู่เชียงใหม่ได้ ๒-๓ ปี ก่อนหน้านี้ก็ดูหนังที่เอสเอฟ ในกรุงเทพฯ ตลอด) ก็เลยคิดว่าคงต้องบอกลาเมเจอร์จริง ๆ แล้วล่ะ พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อจะขายของ นึกถึงแต่ประโยชน์ของตัวเองมากกว่าผู้บริโภค โรงหนังเมเจอร์แอร์พอร์ต ที่นั่งฮันนีมูนนั้น เก้าอี้อาจจะกว้างกว่า แต่ว่าระยะห่างระหว่างแถวเรากับพนักเก้าอี้แถวหน้านั้นแคบกว่าที่นั่งธรรมดา เวลามีคนเดินผ่านที เราต้องยกขาขึ้นบนเก้าอี้ ไม่อย่างนั้นเขาจะเดินกันไม่ได้ หรือไม่ก็ต้องข้ามตักเราไป (แต่ราคาแพงกว่ากัน ๒๐ บาท) ทุกอย่างไม่เอื้อต่อประโยชน์ของผู้บริโภคเลย เอื้อแต่ประโยชน์ของเมเจอร์ เลยคิดว่าพอแล้วล่ะนะเมเจอร์ ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ เราคงไม่ไปดูหนังที่เมเจอร์อีกแล้วล่ะ
นี่คือหนึ่งเสียงจากผู้บริโภคที่ดูหนังแทบทุกอาทิตย์ บางอาทิตย์ดูมากกว่า ๑ เรื่อง และรักการดูหนังในโรงภาพยนตร์อย่างที่สุด เวลาดูหนังก็ซื้อป๊อปคอร์น เพราะชอบสะสมท็อปเปอร์บนแก้วน้ำ ดูหนังจบก็มาโพสต์ความคิดเห็น แนะนำให้คนไปดูหนังด้วยซ้ำ เคยดูทั้งโรงหนังกรุงเทพและต่างจังหวัด ถ้าจะบอกว่าไม่มีตังค์ดูหนังแพง ๆ ก็ดูที่บ้านไป เราไม่ได้เงินเดือนเยอะ แต่เราไม่ดื่มเหล้า ไม่เที่ยวผับ ไม่ค่อยมีเวลาไปเที่ยวต่างจังหวัด ดังนั้นเราจึงเลือกจ่ายเงินสร้างความสุขให้ตัวเองด้วยการดูหนัง นอกจากนี้เวลาอยู่กรุงเทพฯ ถ้าไม่ดูเอสเอฟ เราก็จะไปดูเอสพลานาดเพราะใกล้บ้าน ซึ่งเอสพลานาดก็แพงกว่าโรงหนังเมเจอร์อื่น ๆ ด้วยซ้ำ ถ้าเลือกได้ เราก็ดูที่นั่งฮันนีมูน เพราะทำเลดีกว่า สบายกว่า จองทางเว็บไซต์ก็ได้ด้วย เรียกได้ว่าเราเป็นลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของโรงภาพยนตร์อย่างแท้จริง ไม่ได้ไปใช้บริการโรงหนังแค่ครั้งสองครั้งแล้วมาบ่นอุบอิบ ก่อนหน้านี้ ตลอด ๒-๓ ปี เราก็เป็นลูกค้าประจำของเมเจอร์ค่ะ เพราะเชียงใหม่ยังไม่มีเอสเอฟ ดังนั้นคิดว่าเสียงของเราน่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการโรงหนังนะคะ ไม่ได้มีเจตนามาดิสเครดิต หรือเป็นหน้าม้าเอสเอฟมาโจมตีค่ะ แต่ถ้าเอสเอฟจะให้เราเป็นหน้าม้าก็ยินดีเชียร์ฟรี ๆ ด้วยความเต็มใจ เพราะประทับใจมาตั้งแต่ที่กรุงเทพฯ แล้ว ลูกค้าบางคนอาจมีประสบการณ์ที่ดีต่อเมเจอร์ หรือประสบการณ์แย่ ๆ ต่อเอสเอฟ แต่สำหรับเรา เมเจอร์ทำให้เรารู้สึกแย่ แต่เอสเอฟทำให้เรารู้สึกดีค่ะ ^^
คงได้เวลาโบกมือลาเมเจอร์ซีนีเพล็กซ์อย่างเป็นทางการละ
แม้ว่าเราจะเฝ้ารอเอสเอฟมาอย่างยาวนาน จนกระทั่งเอสเอฟเปิดที่พรอมเมนาดา แต่ก็ไกลบ้านเราเหลือเกิน ดูหนังรอบดึก ๆ ก็ไม่ค่อยสะดวกสำหรับเราเท่าไร พอเอสเอฟมาเปิดที่เมญ่าก็ดีใจ แต่เมื่อวานนี้ ด้วยความที่ต้องการเลี่ยงฝูงชนจำนวนมากที่ไปเที่ยวเมญ่า ซึ่งเพิ่งเปิดใหม่เมื่อวันที่ ๒๓ มกราคมที่ผ่านมานี้เอง ประกอบกับรอบฉายที่เมเจอร์นั้นประจวบเหมาะกับเวลาที่เราสะดวก ที่สำคัญเราตั้งใจจะไปชมนิทรรศการ "ย่างพระบาทที่ยาตรา" ที่เซ็นทรัลเฟสติวัล จึงเลือกไปดูหนังที่เมเจอร์ เซ็นทรัลเฟสติวัล
เมื่อไปถึงโรงหนัง ปรากฏว่าจากเดิมที่เคยมีพนักงานแค่ ๑ คนในช่องจำหน่ายตั๋ว เมื่อวานนี้ช่องจำหน่ายตั๋วกลับกลายสภาพเป็นเคาน์เตอร์ร้าง ๆ ที่สร้างมาเพื่อแค่ป้องกัน สคบ. ตรวจสอบหรือเปล่า เพราะช่องทางการจำหน่ายตั๋วทั้งหมดไปอยู่ที่ตู้จำหน่ายตั๋วอัตโนมัติที่ต้องจ่ายเงินด้วยบัตรเอ็มแคชเท่านั้น ที่ตลกกว่าคือช่องจำหน่ายตั๋วที่มีพนักงานบริการตลอดเวลานั้น ต้องชำระเงินด้วยบัตรเอ็มแคชเท่านั้น (เราต้องเติมเงิน ๑,๐๐๐ บาทขึ้นไป ถึงจะไม่ต้องเสียค่าทำบัตร บัตรมีอายุ ๑ ปี แต่เมเจอร์มีสิทธิ์ยกเลิกบัตรหรือเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขเมื่อไรก็ได้ เพื่อนเราเคยเจอมาแล้ว บัตรถูกยกเลิก ใช้ไม่ได้ เพราะมันเปลี่ยนบัตรใหม่ เงินที่เติมไปก็ไม่ได้คืน) เดิมทีบัตรเอ็มแคชถูกโฆษณาว่าสะดวกสบายไม่ต้องยืนรอคิวนาน แต่ ณ วันนี้ ไม่มีคิว? ทำไมต้องบังคับให้ใช้บัตรเอ็มแคชอยู่อีก
เดชะบุญที่มันยังเปิดให้ช่องขายป๊อปคอร์น (บางช่อง) สามารถขายและออกตั๋วหนังได้ เราเลยเดินไปซื้อตั๋วที่พนักงานป๊อปคอร์น ซึ่งถามว่ารอบไหนเป็นธรรมดา รอบไหนเป็นสามมิติก็ตอบไม่ค่อยได้ รอบไหนพากย์ไทย รอบไหนซาวนด์แทรกก็ตอบไม่ค่อยจะได้ หน้าจอที่บอกรอบฉาย ข้อมูลก็ล้นตกขอบจอไป ทำให้ดูข้อมูลไม่ได้ อันที่จริงโดยนิสัยเรา ก่อนจะมาที่โรงหนังเราจะเช็ครอบฉายมาก่อนล่วงหน้าแล้ว เมื่อวานนี้เราก็พยายามเช็ครอบฉายล่วงหน้ามาแล้ว
๑) โทร. ไปที่สายตรงเมเจอร์เซ็นทรัลเฟสติวัล เพื่อป้องกันข้อผิดพลาดจากการทำรายการของเราเอง เราเลยเลือกไม่ฟังรอบฉายอัตโนมัติ แต่กดศูนย์รอสอบถามโดยตรงกับพนักงาน ก็รอนานมากจนทนรอสายไม่ไหว
๒) เลยลองเช็ครอบฉายในเว็บไซต์ของเมเจอร์ผ่านมือถือ ไม่เข้าใจว่าทำไมเราเข้าไปดูรอบฉายของเมเจอร์เฟสติวัลโดยตรงไม่ได้ มันจะเด้งไปหน้ารวมทุกสาขา ที่เริ่มต้นด้วย อีจีวีบางแค คิดดูว่ากว่าเราจะเลื่อนลงมาเจอเมเจอร์เซ็นทรัลเฟสติวัลเชียงใหม่จะนานแค่ไหน เน็ตมือถือก็ช้า (สามจีแล้วค่ะ) พยายามอดทนเลื่อนลงมาได้สองสามสาขา แอพก็เด้งกลับไปหน้าจอหลักของไอโฟนทุกครั้งไป แปลกใจมาก เพราะเวลาเราเช็ครอบฉายของเมเจอร์แอร์พอร์ตก็ไม่เห็นมีปัญหาเแบบนี้ ซึ่งเราเช็ครอบฉายทางมือถือไม่ได้แบบนี้มานานแล้ว เป็นทุกครั้ง
๓) เราเลยตัดสินใจโทร.ไปสายตรงเมเจอร์เซ็นทรัลเฟสติวัลอีกครั้ง แล้วกดฟังรอบฉายจากระบบอัตโนมัติ ซึ่งไม่เข้าใจว่าทำไมไม่แยกสามมิติกับดิจิตอลธรรมดาให้เรา บอกแค่ว่าระบบดิจิตอล มีรอบ ๑๘.๓๐ น. เราก็คิดว่าระบบดิจิตอลธรรมดา แต่พอไปที่เคาน์เตอร์ขายป๊อปคอร์น พนักงานบอกว่ารอบ ๑๘.๓๐ เป็นสามมิติ (ต้องจ่ายเงินค่าแว่นเพิ่ม ๕๐ บาท ถ้าไม่อยากเสียค่าแว่นทุกครั้งก็ต้องซื้อแว่นสามมิติส่วนตัวที่โรงหนังมีจำหน่ายด้วย) ถ้าจะดูระบบดิจิตอลธรรมดาต้องรอถึง ๒๒.๐๐ น. เราถามว่าแน่ใจนะ เพราะในโทรศัพท์บอกว่าเป็นระบบดิจิตอล ไม่เห็นบอกเลยว่าดิจิตอลสามมิติ พนักงานก็ไม่แน่ใจ เราเลยเดินออกจากช่องขายป๊อปคอร์นแล้วเดินไปดูตารางโชว์ไทม์เองดีกว่า ซึ่งก็เป็นสามมิติจริง ๆ ไม่งั้นต้องเป็นรอบทุ่มกว่า ๆ ซึ่งเป็นไอแมกซ์ รวมแว่นแล้ว ๒๘๐ บาท (ถ้าดูดิจิตอลธรรมดา ราคาเอ็มเจ็น ที่นั่งธรรมดาคนละ ๑๕๐ บาท สองคนก็ ๓๐๐ บาท) ลองดูโรงอื่น ๆ ที่รอบใกล้เคียงก็เป็นสามมิติหมดเลย มีอีกโรงหนึ่งรอบทุ่มกว่า ๆ แต่ว่าเป็นโรงวีไอพี ที่นั่งละ ๕๐๐ บาท สองที่นั่งก็ ๑,๐๐๐ บาท (เงินเดือนเราเฉลี่ยต่อวัน หลังหักประกันสังคมและเงินสมทบกองทุน ก็เหลือแค่วันละ ๖๐๐ กว่าบาทเอง) ลองเช็ครอบฉายที่เมเจอร์ฉอร์พอร์ตผ่านมือถืออีกรอบ ก็มีแต่พากย์ไทยเต็มไปหมด เราเลยตัดสินใจไม่ดูหนังที่เมเจอร์แล้ว เดินลงไปดูนิทรรศการที่ชั้น ๑ แล้วก็ออกไปเมญ่า ซึ่งเช็ครอบฉายในเว็บไซต์แล้วมีรอบ ๒๐.๔๐ น. ซึ่งก็ดีกว่าต้องรอถึง ๒๒.๐๐ น. ซึ่งรอบฉายก็เข้าดูได้ง่าย จองได้ง่าย เคาน์เตอร์ขายตั๋วมีพนักงานบริการ แถมยังใช้สิทธิ์ดูฟรี ๑ ที่นั่งของดีแทคได้ด้วย (รอใช้มานานละ เพราะเมเจอร์มีแต่เอไอเอสซื้อตั๋วได้ในราคา ๑๐๐ บาท) เซ็ตป๊อปคอร์นก็ถูกกว่า มีรอบฉายหลากหลายกว่า หน้าโรงหนังมีพนักงานยิ้มแย้มคอยต้อนรับ ชี้บอกทาง ซึ่งบรรยากาศคุ้นเคยที่ห่างหายไปนาน (เราเพิ่งย้ายมาอยู่เชียงใหม่ได้ ๒-๓ ปี ก่อนหน้านี้ก็ดูหนังที่เอสเอฟ ในกรุงเทพฯ ตลอด) ก็เลยคิดว่าคงต้องบอกลาเมเจอร์จริง ๆ แล้วล่ะ พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อจะขายของ นึกถึงแต่ประโยชน์ของตัวเองมากกว่าผู้บริโภค โรงหนังเมเจอร์แอร์พอร์ต ที่นั่งฮันนีมูนนั้น เก้าอี้อาจจะกว้างกว่า แต่ว่าระยะห่างระหว่างแถวเรากับพนักเก้าอี้แถวหน้านั้นแคบกว่าที่นั่งธรรมดา เวลามีคนเดินผ่านที เราต้องยกขาขึ้นบนเก้าอี้ ไม่อย่างนั้นเขาจะเดินกันไม่ได้ หรือไม่ก็ต้องข้ามตักเราไป (แต่ราคาแพงกว่ากัน ๒๐ บาท) ทุกอย่างไม่เอื้อต่อประโยชน์ของผู้บริโภคเลย เอื้อแต่ประโยชน์ของเมเจอร์ เลยคิดว่าพอแล้วล่ะนะเมเจอร์ ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ เราคงไม่ไปดูหนังที่เมเจอร์อีกแล้วล่ะ
นี่คือหนึ่งเสียงจากผู้บริโภคที่ดูหนังแทบทุกอาทิตย์ บางอาทิตย์ดูมากกว่า ๑ เรื่อง และรักการดูหนังในโรงภาพยนตร์อย่างที่สุด เวลาดูหนังก็ซื้อป๊อปคอร์น เพราะชอบสะสมท็อปเปอร์บนแก้วน้ำ ดูหนังจบก็มาโพสต์ความคิดเห็น แนะนำให้คนไปดูหนังด้วยซ้ำ เคยดูทั้งโรงหนังกรุงเทพและต่างจังหวัด ถ้าจะบอกว่าไม่มีตังค์ดูหนังแพง ๆ ก็ดูที่บ้านไป เราไม่ได้เงินเดือนเยอะ แต่เราไม่ดื่มเหล้า ไม่เที่ยวผับ ไม่ค่อยมีเวลาไปเที่ยวต่างจังหวัด ดังนั้นเราจึงเลือกจ่ายเงินสร้างความสุขให้ตัวเองด้วยการดูหนัง นอกจากนี้เวลาอยู่กรุงเทพฯ ถ้าไม่ดูเอสเอฟ เราก็จะไปดูเอสพลานาดเพราะใกล้บ้าน ซึ่งเอสพลานาดก็แพงกว่าโรงหนังเมเจอร์อื่น ๆ ด้วยซ้ำ ถ้าเลือกได้ เราก็ดูที่นั่งฮันนีมูน เพราะทำเลดีกว่า สบายกว่า จองทางเว็บไซต์ก็ได้ด้วย เรียกได้ว่าเราเป็นลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของโรงภาพยนตร์อย่างแท้จริง ไม่ได้ไปใช้บริการโรงหนังแค่ครั้งสองครั้งแล้วมาบ่นอุบอิบ ก่อนหน้านี้ ตลอด ๒-๓ ปี เราก็เป็นลูกค้าประจำของเมเจอร์ค่ะ เพราะเชียงใหม่ยังไม่มีเอสเอฟ ดังนั้นคิดว่าเสียงของเราน่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการโรงหนังนะคะ ไม่ได้มีเจตนามาดิสเครดิต หรือเป็นหน้าม้าเอสเอฟมาโจมตีค่ะ แต่ถ้าเอสเอฟจะให้เราเป็นหน้าม้าก็ยินดีเชียร์ฟรี ๆ ด้วยความเต็มใจ เพราะประทับใจมาตั้งแต่ที่กรุงเทพฯ แล้ว ลูกค้าบางคนอาจมีประสบการณ์ที่ดีต่อเมเจอร์ หรือประสบการณ์แย่ ๆ ต่อเอสเอฟ แต่สำหรับเรา เมเจอร์ทำให้เรารู้สึกแย่ แต่เอสเอฟทำให้เรารู้สึกดีค่ะ ^^