สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 2
ถ้าอ่านเป็นคำๆโดดน่ะ ใช้วิธีการตาม คคห 1 ก็โอเคนะ
แต่ถ้าพูดเร็วๆ แบบที่เค้าเรียกว่า connected speech น่ะ กฎเกณฑ์มีมากจนน่าเวียนหัว ยกตัวอย่างเช่น เวลาพูดเร็วๆตามธรรมชาตินะ จะมีปรากฏการณ์ 3 อย่างเกิดขึ้นคือ 1 sounds disappear 2 sounds change 3 sounds join together
^
แค่บรรยายปรากฏการณ์ 3 อย่างนี้นะ สอนเป็น class สงสัยว่าเดือนหนึ่งยังบรรยายไม่หมดเลยอ้ะ ถ้าจะเอาแบบให้นักเรียนรู้จริงนะ แต่จะไม่พูดถึงมัน
ลองมาดูหลุมพรางในการทำให้คนไทยออกเสียงภาษาอังกฤษผิดกัน แบบที่มีเยอะมากๆกันจะดีกว่า
เรามาดูตัวอย่าง "สระหลอก" กับ "พยัญชนะหลอก" กัน (เราบัญญัติศัพท์ขึ้นมาเอง) ที่มันหลอกก็เพราะไม่ได้เขียนเป็น IPA นั่นเอง แต่เวลาเขียนเป็น IPA มันหลอกไม่ได้
และเราคิดขึ้นมาได้ว่า
"กลุ่มพยัญชนะและสระชุดเดียวกันในภาษาอังกฤษไม่คงเสียงเดิมเสมอไป ในขณะที่ภาษาไทยคงเสียงเดิมเสียเป็นส่วนใหญ่"
ยกตัวอย่างเช่น
กาน ดาน ฟาน ตาน ลาน
เสียง -าน คงเดิมหมด
สระหลอกกับพยัญชนะหลอกคือกลุ่มคำที่ปรากฎในศัพท์ตัวหนึ่งออกเสียงอย่างหนึ่ง แต่เวลาปรากฎในคำศัพท์อีกตัวหนึ่งออกเสียงอีกอย่างหนึ่ง (ซึ่งกลุ่มคำพวกนี้ทำให้คนเรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ 2 ถึงกับเสียศูนย์ไปเลย) เช่น
ยกตัวอย่าง กลุ่มพยัญชนะสระ age
age ตัว a ออกเสียงเป็น เอ
manage ตัว a ตัวที่ 2 ออกเสียงเป็น อิ
sabotage ตัว a ตัวที่ 2 ออกเสียงเป็น อา
rest ตัว e ออกเสียงเป็น เอ
forest ตัว e ออกเสียงเป็น อิ ก็ได้ ออกเสียงเป็น schwa (เสียงเออะสั้นๆ) ก็ได้
garage ตัว a ตัวแรก คนอังกฤษออกเสียงเป็น แอ แต่คนอเมริกันออกเสียงเป็น schwa ตัว a ตัวที่ 2 คนอังกฤษบางคนออกเสียง อา บางคนออกเสียงเป็น อิ
ลองมาดู ch กับ sh กัน
chip
ship
ทั้ง 2 อัน ออกเสียง ch กับ sh ตรงตัว
แต่
ch ใน chef ออกเสียงเป็น sh
ch ใน machine ออกเสียงเป็น sh
ch ใน yacht ไม่ออกเสียง
แม้กระทั่ง voiced consonants กับ unvoiced consonants ก็สร้างความแตกต่างได้มากมาย
ยกตัวอย่างเช่น
s กับ z เวลาออกเสียง อวัยวะที่ออกเสียงอยู่ในตำแหน่งเดียวกันขยับเหมือนกัน แต่ s เป็น unvoiced consonant (vocal cords จะไม่สั่น (ให้ลองจับคอด้านหน้าดู) แต่ z เป็น voiced consonant (vocal cords จะสั่น (ให้ลองจับคอด้านหน้าดู))
คราวนี้มาดูความยุ่งยากของมันกัน
bit พอเติม s เป็น bits เสียง s ยังคงเป็น unvoiced เพราะ t ก็ unvoiced
แต่ bus พอเติม es เป็น buses เสียง s ตัวสุดท้ายจะต้องเปลี่ยนเป็นเสียง z ซึ่งเป็น voiced นั่นก็คือมันเขียน es แต่มันออกเสียงเป็น ez เพราะ e ข้างหน้าซึ่งเป็น vowel มันเป็น voiced อย่างแน่นอนเนื่องจาก vowels ทั้งหมดเป็นเสียง voiced vowels หมด ไม่มีมนุษย์คนไหนที่จะเปล่งเสียง vowel ให้มันเป็น unvoiced ได้อย่างเด็ดขาด
ลองมาดู f กับ v กัน
consonants ทั้ง 2 ตัวนี้ใช้ปากขยับแบบเดียวกัน แต่ f เป็น unvoiced และ v เป็น voiced
แต่มันก็ยังดันมีข้อยกเว้นให้ปวดกบาลอีก นั่นก็คือ เวลา f ไปอยู่ใน of อย่างเช่น The Statue of Liberty ตัว f ใน of จะกลายเป็น voiced ไป คือสะกด of แต่ออกเสียงเป็น ov ซะงั้น!
ข้อยกเว้นปลีกย่อย ยังมีอีก เช่น
s ใน sure ออกเสียงเป็น sh
s ใน sugar ออกเสียงเป็น sh
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไอ้ s ที่อยู่ตรงกลางๆคำศัพท์นี่มัน "เป็นตัวเจ็บแสบสุดๆ" อย่างเช่น mission ตัว ss มันดันออกเสียงเป็น sh ไปซะงั้น!
และ i ก็ใช่ย่อยซะเมื่อไหร่ล่ะ อย่างเช่น destiny ตัว i ฝรั่งบางคนออกเสียงเป็น อิ แต่ฝรั่งบางคนออกเสียงเป็น schwa คือเสียง "เออะ" สั้นๆ
th นี่ยิ่งตัวเจ็บแสบหนักเข้าไปใหญ่ เพราะมันมีทั้ง th ที่เป็น unvoiced และ th ที่เป็น voiced ซึ่งสร้างความแตกต่างกันมากๆ
อีกทั้งยังมีข้อยกเว้นอีก เช่น th ใน Thomas ดันทลึ่งออกเสียงเป็น t ไปซะงั้น!
การศึกษาความเป็นไปได้ให้มากที่สุด และเอาความรู้เรื่องสระหลอกกับพยัญชนะหลอก มาผสานกับความรู้เรื่อง connected speech (ยกตัวอย่างเช่น with a เวลาพูดเร็วๆ a กลายเป็นเสียง schwa จะออกเสียง th ให้ link กับ schwa ยังไงให้ถูกต้อง do it เวลาพูดเร็วๆ จะต้องรู้ว่ามีเสียง w โผล่มาได้? see it เวลาพูดเร็วๆจะต้องรู้ว่ามีเสียง y (ตัว IPA คือ j) โผล่มาได้ และอื่นๆอีกมากมาย) จะช่วยให้ผู้เรียนพูดได้ชัดมากขึ้น
ในการสอน pronunciation ผู้สอนจำเป็นต้องคิด dialogues ใน situations ต่างๆ ให้มากความเป็นไปได้ที่สุดเพื่อมาสอนนักเรียนให้เรียนรู้หลุมพรางต่างๆที่จะทำให้ออกเสียงผิดๆ เมื่อผู้เรียนพูดชัดมากขึ้นก็จะฟังได้รู้เรื่องมากขึ้น เพราะคนที่พูดชัดขึ้นจะคาดหวังได้ถูกต้องมากขึ้นว่า native speaker น่าจะออกเสียงแบบไหน
นี่แค่ยกตัวอย่างมาให้ดูเพียงแค่รายการปลีกย่อย เล็กๆน้อยๆ เท่านั้น แต่ในการสอนจริงแบบครบสูตรหมด เนื้อหามันมีเยอะมากๆ แบบว่าถ้าเขียนเป็นตำราออกมาน่าจะได้หนังสือยาวนับเป็นพันๆหน้า!
แต่ถ้าพูดเร็วๆ แบบที่เค้าเรียกว่า connected speech น่ะ กฎเกณฑ์มีมากจนน่าเวียนหัว ยกตัวอย่างเช่น เวลาพูดเร็วๆตามธรรมชาตินะ จะมีปรากฏการณ์ 3 อย่างเกิดขึ้นคือ 1 sounds disappear 2 sounds change 3 sounds join together
^
แค่บรรยายปรากฏการณ์ 3 อย่างนี้นะ สอนเป็น class สงสัยว่าเดือนหนึ่งยังบรรยายไม่หมดเลยอ้ะ ถ้าจะเอาแบบให้นักเรียนรู้จริงนะ แต่จะไม่พูดถึงมัน
ลองมาดูหลุมพรางในการทำให้คนไทยออกเสียงภาษาอังกฤษผิดกัน แบบที่มีเยอะมากๆกันจะดีกว่า
เรามาดูตัวอย่าง "สระหลอก" กับ "พยัญชนะหลอก" กัน (เราบัญญัติศัพท์ขึ้นมาเอง) ที่มันหลอกก็เพราะไม่ได้เขียนเป็น IPA นั่นเอง แต่เวลาเขียนเป็น IPA มันหลอกไม่ได้
และเราคิดขึ้นมาได้ว่า
"กลุ่มพยัญชนะและสระชุดเดียวกันในภาษาอังกฤษไม่คงเสียงเดิมเสมอไป ในขณะที่ภาษาไทยคงเสียงเดิมเสียเป็นส่วนใหญ่"
ยกตัวอย่างเช่น
กาน ดาน ฟาน ตาน ลาน
เสียง -าน คงเดิมหมด
สระหลอกกับพยัญชนะหลอกคือกลุ่มคำที่ปรากฎในศัพท์ตัวหนึ่งออกเสียงอย่างหนึ่ง แต่เวลาปรากฎในคำศัพท์อีกตัวหนึ่งออกเสียงอีกอย่างหนึ่ง (ซึ่งกลุ่มคำพวกนี้ทำให้คนเรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ 2 ถึงกับเสียศูนย์ไปเลย) เช่น
ยกตัวอย่าง กลุ่มพยัญชนะสระ age
age ตัว a ออกเสียงเป็น เอ
manage ตัว a ตัวที่ 2 ออกเสียงเป็น อิ
sabotage ตัว a ตัวที่ 2 ออกเสียงเป็น อา
rest ตัว e ออกเสียงเป็น เอ
forest ตัว e ออกเสียงเป็น อิ ก็ได้ ออกเสียงเป็น schwa (เสียงเออะสั้นๆ) ก็ได้
garage ตัว a ตัวแรก คนอังกฤษออกเสียงเป็น แอ แต่คนอเมริกันออกเสียงเป็น schwa ตัว a ตัวที่ 2 คนอังกฤษบางคนออกเสียง อา บางคนออกเสียงเป็น อิ
ลองมาดู ch กับ sh กัน
chip
ship
ทั้ง 2 อัน ออกเสียง ch กับ sh ตรงตัว
แต่
ch ใน chef ออกเสียงเป็น sh
ch ใน machine ออกเสียงเป็น sh
ch ใน yacht ไม่ออกเสียง
แม้กระทั่ง voiced consonants กับ unvoiced consonants ก็สร้างความแตกต่างได้มากมาย
ยกตัวอย่างเช่น
s กับ z เวลาออกเสียง อวัยวะที่ออกเสียงอยู่ในตำแหน่งเดียวกันขยับเหมือนกัน แต่ s เป็น unvoiced consonant (vocal cords จะไม่สั่น (ให้ลองจับคอด้านหน้าดู) แต่ z เป็น voiced consonant (vocal cords จะสั่น (ให้ลองจับคอด้านหน้าดู))
คราวนี้มาดูความยุ่งยากของมันกัน
bit พอเติม s เป็น bits เสียง s ยังคงเป็น unvoiced เพราะ t ก็ unvoiced
แต่ bus พอเติม es เป็น buses เสียง s ตัวสุดท้ายจะต้องเปลี่ยนเป็นเสียง z ซึ่งเป็น voiced นั่นก็คือมันเขียน es แต่มันออกเสียงเป็น ez เพราะ e ข้างหน้าซึ่งเป็น vowel มันเป็น voiced อย่างแน่นอนเนื่องจาก vowels ทั้งหมดเป็นเสียง voiced vowels หมด ไม่มีมนุษย์คนไหนที่จะเปล่งเสียง vowel ให้มันเป็น unvoiced ได้อย่างเด็ดขาด
ลองมาดู f กับ v กัน
consonants ทั้ง 2 ตัวนี้ใช้ปากขยับแบบเดียวกัน แต่ f เป็น unvoiced และ v เป็น voiced
แต่มันก็ยังดันมีข้อยกเว้นให้ปวดกบาลอีก นั่นก็คือ เวลา f ไปอยู่ใน of อย่างเช่น The Statue of Liberty ตัว f ใน of จะกลายเป็น voiced ไป คือสะกด of แต่ออกเสียงเป็น ov ซะงั้น!
ข้อยกเว้นปลีกย่อย ยังมีอีก เช่น
s ใน sure ออกเสียงเป็น sh
s ใน sugar ออกเสียงเป็น sh
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไอ้ s ที่อยู่ตรงกลางๆคำศัพท์นี่มัน "เป็นตัวเจ็บแสบสุดๆ" อย่างเช่น mission ตัว ss มันดันออกเสียงเป็น sh ไปซะงั้น!
และ i ก็ใช่ย่อยซะเมื่อไหร่ล่ะ อย่างเช่น destiny ตัว i ฝรั่งบางคนออกเสียงเป็น อิ แต่ฝรั่งบางคนออกเสียงเป็น schwa คือเสียง "เออะ" สั้นๆ
th นี่ยิ่งตัวเจ็บแสบหนักเข้าไปใหญ่ เพราะมันมีทั้ง th ที่เป็น unvoiced และ th ที่เป็น voiced ซึ่งสร้างความแตกต่างกันมากๆ
อีกทั้งยังมีข้อยกเว้นอีก เช่น th ใน Thomas ดันทลึ่งออกเสียงเป็น t ไปซะงั้น!
การศึกษาความเป็นไปได้ให้มากที่สุด และเอาความรู้เรื่องสระหลอกกับพยัญชนะหลอก มาผสานกับความรู้เรื่อง connected speech (ยกตัวอย่างเช่น with a เวลาพูดเร็วๆ a กลายเป็นเสียง schwa จะออกเสียง th ให้ link กับ schwa ยังไงให้ถูกต้อง do it เวลาพูดเร็วๆ จะต้องรู้ว่ามีเสียง w โผล่มาได้? see it เวลาพูดเร็วๆจะต้องรู้ว่ามีเสียง y (ตัว IPA คือ j) โผล่มาได้ และอื่นๆอีกมากมาย) จะช่วยให้ผู้เรียนพูดได้ชัดมากขึ้น
ในการสอน pronunciation ผู้สอนจำเป็นต้องคิด dialogues ใน situations ต่างๆ ให้มากความเป็นไปได้ที่สุดเพื่อมาสอนนักเรียนให้เรียนรู้หลุมพรางต่างๆที่จะทำให้ออกเสียงผิดๆ เมื่อผู้เรียนพูดชัดมากขึ้นก็จะฟังได้รู้เรื่องมากขึ้น เพราะคนที่พูดชัดขึ้นจะคาดหวังได้ถูกต้องมากขึ้นว่า native speaker น่าจะออกเสียงแบบไหน
นี่แค่ยกตัวอย่างมาให้ดูเพียงแค่รายการปลีกย่อย เล็กๆน้อยๆ เท่านั้น แต่ในการสอนจริงแบบครบสูตรหมด เนื้อหามันมีเยอะมากๆ แบบว่าถ้าเขียนเป็นตำราออกมาน่าจะได้หนังสือยาวนับเป็นพันๆหน้า!
แสดงความคิดเห็น
หลักการออกเสียงในภาษา English ? (สงสัยนิดหน่อยค่ะ)
มีกฏข้อไหนให้จำมั้ยคะ ไม่รู้ว่าต้องเน้นตัวไหน คำไหน ให้มากๆ
ออ.. แล้ว American กับ บริทิช ต่างกันยังไง แยกออกยังไง แล้วทั้ง 2 อย่างนี้อันไหน ใช้กันมากที่สุด(ประมาณว่าอันไหนจำเป็นในการทำงานน่ัะค่ะ)
ขอบคุณคะ