ดูหนังจีน “กระบี่เย้ยยุทธจักร” แล้วย้อนมามองภาพในสังคมไทยปัจจุบัน

เนื่องจากช่วงวันหยุดที่ผ่านมา ได้ดูหนังจีนเรื่อง “กระบี่เย้ยยุทธจักร 2013”มา เพราะว่าเหมือนจำได้ว่าในหนังเรื่องนี้ แม้ว่ามีประเด็นในเชิงเสียดสีกับการเมืองช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรม (Cultural Revolution, ปี ค.ศ. 1966-1976) ของจีน ซึ่งเป็นการต่อสู้ภายในเพื่อแย่งชิงอำนาจของพรรคคอมมิวนิสต์อยู่พอประมาณ แต่ก็หาได้ขาดอรรถรสของนวนิยายกำลังภายในไปแต่อย่างใด ในขณะที่เรื่องดำเนินไป จะเกิดคำถามขึ้นตลอดเวลา ถึงเรื่องของความถูกผิดในพฤติกรรมของตัวละครแต่ละตัว และเมื่อได้ดูจนจบก็ตรงตามที่ผมได้คิดไว้จริงๆ โดยมีประเด็นที่ค่อ นข้างจะตรงมาก อยู่เหมือนกัน แต่จะขอยกประเด็นใหญ่ๆ มาเพียง 3 ประเด็นเท่านันนะครับ แต่จะไม่เขียนเปรียบเทียบอะไรลงไปนะครับ เพื่อหลีกเลี่ยงการโดนผลักไส ไปอยู่กับฝ่ายนั้น ฝ่ายนี้เช่นเดียวกับพระเอกของเรื่อง 555+

     1.    การแบ่งพรรคแบ่งข้างกัน ว่าเป็นพรรคฝ่ายอธรรม กับ พรรคฝ่ายธรรมะ เมื่อ 2 ฝ่ายมาเจอกัน ก็เกิดการเข่นฆ่ากัน โดยไม่ต้องมีการพูดจากัน โดยไม่สนว่า คนที่ฝ่ายตนฆ่าจะเป็นใครมาจากไหน เป็นคนเช่นไร ยิ่งฝ่ายที่เรียกตนเองว่าฝ่ายธรรมะ ยิ่งแล้วใหญ่ ใครมีความคิดเห็นไม่เหมือนพวกตน เช่น เจอฝ่ายอธรรมแล้วไม่ยอมเข่นฆ่า ก็ผลักไสให้กลายเป็นฝ่ายอธรรมไปในทันที เหมือนกรณีของ พระเอกของเรื่อง ที่เป็นคนมีคุณธรรม จิตใจกว้างขวาง ไม่เห็นด้วยกับการเข่นฆ่าผู้อื่นที่ไม่มีความผิด ไม่ว่าฝ่ายนั้นจะเป็นฝ่ายอธรรมก็ตาม เพราะไม่ใช่ทุกคนในฝ่ายอธรรม จะเป็นคนเลวไปทั้งหมด บางคนยังมีคุณธรรม มากกว่า คนที่อ้างว่าอยู่ฝ่ายธรรมะด้วยซ้ำ แต่ก็โดนขับไล่ออกจากสำนัก และโดนยัดเยียดให้เป็นคนทรยศ และเป็นฝ่ายอธรรมไปทันที

     2.    การแย่งชิงอำนาจกัน เพื่อที่จะเป็นจ้าวยุทธจักร ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายธรรมะหรือ อธรรม ก็ตาม ต่างล้วนต้องการแย่งชิงอำนาจ เพื่อที่จะขึ้นมาเป็นใหญ่เหนือคนอื่น สามารถกระทำได้ทุกวิถีทาง ไม่ว่าสิ่งนั้นจะผิดศีลธรรมอันดีงานหรือไม่ จนมีการประดิษฐ์ วาทกรรม ที่ว่า “วิญญูชนจอมปลอม” ขึ้นมา เช่นเดียวกับ อาจารย์ของตัวเอกของเรื่อง คนอื่นมองภายนอกว่าเป็นคนดี เที่ยงธรรม ยุติธรรม แต่แท้จริงแล้วโกหกปลิ้นปล้อนหลอกลวง เพื่อให้ตัวเองเป็นใหญ่ในยุทธจักร

     3.    การแสดงมุมมอง ที่ว่าสุดท้าย การมีอำนาจ หรือวรยุทธ์สูงส่งเพียงใด ก็ไม่ได้เป็นความ ปราถนาของทุกคนเสมอไป การใช้ชีวิตที่เรียบง่าย อยู่ในกระท่อมไม้ไผ่ ในป่ากว้าง มีเพียงสุรา กับเสียงดนตรี เคียงคู่คนรู้ใจก็เป็นสิ่งที่เพียงพอแล้ว เช่นเดียวกับ พระเอกของเรื่อง


     สิ่งที่ตัวผมต้องการจะสื่อก็คือ ในสภาพที่สังคมมีการแก่งแย่งชิงอำนาจกัน มีการแบ่งพรรคแบ่งพวกกันชัดเจน สุดท้ายไม่ว่าใครจะได้มีอำนาจสูงสุดไป ก็คงไม่ต่างกันเท่าไร แล้วเหตุใด ทำไมต้องใส่ใจนำสิ่งเหล่านั้นมาคิด หรือเข้าร่วมกับฝ่ายนั้น ฝ่ายโน้น หรือฝ่ายไหนก็ตาม ในตอนนี้สิ่งที่ผมหวังไว้เพียงอย่างเดียวตอนนี้คือ การได้กลับไปใช้ชีวิตตามปกติ อย่างที่ควรจะเป็นก็เท่านั้น เช่นเดียวกับพระเอกของเรื่องที่ แม้ว่าจะมีวรยุทธ์ที่สูงส่ง แต่สิ่งที่ต้องการคือ การได้กลับไปเป็น ปีศาจสุรา เร้นกายในกระท่อมไม้ไผ่ บนเขาหานซาน และบรรเลงเพลง “ยิ้มเย้ยยุทธจักร” เคียงคู่คนรู้ใจ เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่