(บทความ) วิพากษ์ราชดำเนินกับวิญญูชนตัวจริงและจอมปลอมตามบริบท”กระบี่เย้ยยุทธจักร”

.
        บทเพลง  "ยิ้มเย้ยยุทธจักร" เคยถูกขานขับโดยหนึ่งธรรมะหนึ่งอธรรม อย่าง หลินเจิ้นฟง กับ ชวีหยาง มันเคยดังก้องสะท้านขุนเขา นั่นย่อมแสดงให้เห็นว่า มิตรภาพที่ก่อเกิดจากมุมมองและทัศนะคติที่เกลียดชัง “การแก่งแย่งชิงอำนาจ” ที่เหมือนๆกันของสองสหายต่างที่มานี้ ยิ่งใหญ่และลึกซึ้งเพียงใด และทั้งคู่ก็ได้มอบบทเพลงนี้ให้กับ เล่งฮูชง ก่อนจะสิ้นใจด้วยภัยพาลจากโลกการช่วงชิงอำนาจ ที่ยังตามหลอกหลอนไม่ยอมให้ถอนตัวจากยุทธภพอย่างที่ทั้งคู่ตั้งความหวัง

        ซึ่งเปรียบได้ดั่งการส่งมอบปนิธานจากล็อคอินรุ่นเก่าหลายๆท่าน ที่เคยฝากฝีมือไว้ในกะทู้คุณภาพที่เต็มไปด้วยสาระ ความรู้มากมายในกะทู้ ณ.ราชดำเนินแห่งนี้ในอดีต ปนิธานยังอยู่ แม้คนลับหาย จะด้วยการปลิดปลิวอย่างไร้เหตุผล หรือความเบื่อหน่ายจนต้องยอมถอนตัวลาวงการออกไป ทิ้งอุดมการณ์ไว้ให้คนรุ่นหลังสืบต่อ ดังเช่น หลินเจิ้นฟง กับ ชวีหยาง


คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ





*โคลงสี่สุภาพบทนี้ บางส่วนแต่งมาจากเนื้อเพลงที่แปลเป็นไทย และอาจแปลผิดพลาดคลาดเคลื่อนไป อีกทั้งบางส่วนก็แต่งเสริมเติมใส่เนื้อหาบางอย่างเข้าไป เพื่อให้ได้ใจความตามที่ผมเองต้องการ ซึ่งอาจผิดเพี้ยนจากความหมายที่แท้จริงของเนื้อเพลง ก็ขอภัยท่านผู้รู้ทั้งหลายมา ณ.ที่นี้ด้วยครับ

        กระบี่เย้ยยุทธจักร เป็นวรรณกรรมเพชรน้ำเอกภายใต้ปลายปากกาของ “กิมย้ง”  โดยบทแรกตอนต้นนำเสนอเรื่องราวผ่านบทเพลง  "ยิ้มเย้ยยุทธจักร" กับการสืบทอดปนิธานสู่อนุชนรุ่นหลัง สะท้อนภาพการเมืองฟอนเฟะในสังคมตามท้องเรื่อง จากผู้มีปัญญา มีพละกำลัง แต่มากมักทะเยอทะยาน ทำได้ทุกสิ่งเพื่อจะไปให้ถึงจุดที่ตนเองมุ่งหวัง ทำทุกอย่างโดยไม่เลือกวิธีการ และไม่สนใจว่าการกระทำของตนเองนั้นจะสร้างความเดือดร้อนเสียหายให้กับผู้อื่นหรือสังคมเพียงใด

       นวนิยายเรื่องนี้ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านตัวละคร ที่แบ่งฝักฝ่ายและแบ่งข้างเรียกขานตัวเองว่า ฝ่ายธรรมะ กับ ฝ่ายอธรรม ซึ่งก็เป็นเพียงคำเรียกขานที่ไร้ความหมาย หากมองให้ลึกลงไปที่ตัวละครทั้งสองฝ่ายในเรื่อง ก็จะพบว่า มีดีเลวคละเคล้ากันไปทั้งสองกลุ่ม ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับราชดำเนิน ที่แบ่งฝักฝ่ายหวังทำลายซึ่งกันและกัน โดยไม่เลือกวิธี

        และคงต้องพอสักทีกับการวิพากษ์ทั้งบทวรรณกรรม เพราะเป้าหมายของการตั้งกะทู้นี้ของ จขกท. คือการวิพากษ์ตัวละครที่ปรากฏในนิยายเรื่องนี้เป็นรายบุคลคล และก็ขอบอกก่อนว่าคงไม่ได้หยิบยกมาวิพากษ์ทุกตัวละคร และไม่มีกฎเกณฑ์ใดๆที่ใช้เลือกตัวละครใดมาวิพากษ์วิจารณ์ นอกจากเลือกตามความต้องการของตัว จขกท.เอง

ซึ่งขอเรื่มจาก
        เยิ่นหวอสิง มารร้ายที่ถูกตราหน้าจากฝ่าย ธรรมะ ผู้ซึ่งสำเร็จวิชชา "มหาเวทย์ดูดดาว" ซึ่งมองจากตัวลักษณะของเคล็ดวิชา ก็จะพบว่ามันซ่อนเงื่อนงำของความชั่วร้ายเอาไว้ เพราะเป็นวิชาที่ใช้เพื่อขโมย"ลมปราน"ของคนอื่น ก่อนจะใช้ลมปราณนั้นมาประหัตประหารฝ่ายตรงข้าม

        ซึ่งลักษณะเช่นนี้ หากเปรียบเทียบกับบริบทในราชดำเนิน ก็เหมือนกับการ "ตีกิน" บิดเบือนข้อความของคนอื่นเพื่อหวังทำร้ายทำลายฝ่ายตรงข้าม ตามท้องเรื่อง กระบี่เย้ยยุทธจักร เยิ่นหวอสิง ติดคุกหรือถูกจองจำนานถึง 12 ปี แต่ก็ไม่มีสักนาทีเลยที่มารร้ายตนนี้จะสำนึกตนเองและคิดเลิกก่อกรรมทำเข็ญ ดังนั้นก็คงไม่แปลกอะไร กับพฤติกรรมการตีกินแบบมหาเวทย์ดูดดาว จะไม่สูญหายไปจากราชดำเนิน

และต่อกันด้วย
        ลิ้มเพ้งจือ เด็กหนุ่มที่เติมโตมาด้วยแรงริษยาของวงค์ตระกูล ต้องบ้านแตกสาแหรกขาดเพราะคัมภีร์เพลงกระบี่ปราบมาร อันเป็น “มรดกเลือดบนความริษยา” ที่ได้มาโดยไม่ถูกต้อง โดยบรรพบุรุษของลิ้มเพ็งจือขโมยคัมภีร์มาจากวัดเส้าหลิน เพื่อหวังขยับฐานะวงค์ตระกูลของตนเองจากตระกูลเล็กๆ ให้มีหน้ามีตาทัดเทียมหรือเหนือกว่าผู้อื่นในยุทธภพ แต่ก็วาสนาไม่ถึงต้องประสบเคราะห์กรรมล่มสลายทั้งวงค์ตระกูล

        ชะตากรรมของลิ้มเพ้งจือหลังจากบ้านแตกหนีตายมาได้ ก็ไม่ได้ดีขึ้นเพราะเชื่อถือศรัทธาคนผิดอย่าง งักปุ๊กคุ้ง ที่เข้ามาทำทีอุ้มชูอุปการะ แต่แท้ที่จริงหวังแย่งชิง มรดกเลือดคัมภีร์เพลงกระบี่ปราบมาร เหมือนกับชาวยุทธอื่นๆที่เข่นฆ่าตระกูลลิ้ม  งักปุ๊กคุ้ง ลงมือทำร้ายลิ้มเพ้งจือจนตกลงไปในเหว เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการ แต่ลิ้มเพ้งจือ รอดไปได้ กลายเป็นคนที่ใช้ชีวิตอยู่โดยมีความริษยาเป็นแรงผลักดัน หวังจะกลับมาแก้แค้นทุกคนที่เหนือกว่าตระกูลของตัวเอง

       ซึ่งเปรียบไปแล้ว ก็คงเหมือนบางกลุ่มในราชดำเนินที่ก่อตั้งขึ้นด้วยวัตถุประสงค์ที่ไม่ดี ถูกหลอกลวงโดยผู้นำกลุ่ม ใช้การเคลื่อนไหวนี้สร้างอำนาจให้ตนเอง แม้ที่สุดปัจจุบันนี้ก็กลุ่มแตกสาแหรกขาดเหลือเพียงไม่กี่คนที่ดิ้นรนกลับสู่ความมีหน้ามีตาในสังคมราชดำเนินอีกครั้ง อาศัยความอิจฉาริษยาของตนเองที่ยอมทำทุกทางเพื่อให้ตนเองยังดำรงบทบาทอยู่ได้ ตั้งกะทู้ขึ้นมาโดยใช้แรงอิจฉาริษยาเป็นตัวขับเคลื่อน คิดแต่จะทำลายฝ่ายตรงข้ามโดยไม่เลือกวิธี

        บทสรุปท้ายเรื่อง ลิ้มเพ้งจือ ตาบอดสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งก็คงเหมือนที่ดวงตาของเขาไม่เคยเห็นแสงธรรมเลย ทั้งๆที่มีผู้อุปถัมธ์ที่ดีอย่าง งักฮูหยิน และงักเล้งซัง ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจที่ทำไมท่าทีของคนจากกลุ่มที่แตกสลายไปแล้ว ถึงประพฤติปฏิบัติตนเช่นนี้เรื่อยมาในบอร์ดราชดำเนิน ก็คงเป็นเพราะว่า ดวงตาของเขาเหล่านั้น ไม่เคยเห็นแสงธรรมเช่นเดียวกับ ลิ้มเพ้งจือ นั้นเอง

ต่อกันด้วยตัวร้ายที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้
        งักปุ๊กคุ้ง เจ้าของฉายา “กระบี่วิญญูชน” ปรมาจารย์สำนักฮัวซานที่ได้รับการยกย่องด้านคุณธรรมจากเคยดำรงตนด้วยสมถะ มานะฝึกฝนจนสำเร็จลมปราณรัศมีม่วง โดดเด่นขึ้นมาในฐานะจอมยุทธชั้นแนวหน้าของฝ่ายธรรมะ แต่กระนั้นพลังฝีมือของตนเองก็ดูจะไม่เป็นที่พอใจของเจ้าตัวนัก เพราะสิ่งที่เขาต้องการคือครอบครองยุทธภพ

        จึงได้ทำการทรยศหักหลัง ลูกศิษย์ตัวเอง อย่างลิ้มเพ้งจือ เพื่อหวังครอบครองสุดยอดเคล็ดวิชา “เพลงกระบี่ปราบมาร” กลายเป็นคนที่โดนความทะเยอทะยานครอบงำ จนสลายความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่เคยมีอยู่ไปจนหมดสิ้น กลายเป็น “วิญญูชนจอมปลอม” ที่อาศัยคุณธรรมบังหน้าเพื่อแสวงหาชื่อเสียงและอำนาจเท่านั้น สุดท้ายมิเพียงทำร้ายตนเองยังทำร้ายครอบครัวจนพินาศย่อยยับ

        งักปุ๊กคุ้ง เป็นตัวอย่างที่ดีที่สะท้อนภาพของคนในสังคมสวมหน้ากาก ไม่เปิดเผยตัวตน ซึ่งหยิบยกมาเปรียบเทียบกับบริบทของสังคมออนไลน์อย่างราชดำเนินได้ง่ายได้ที่สุด จนไม่ต้องยกกรณีใดๆมาเปรียบเทียบเลย เพราะการที่สังคมราชดำเนินเป็นสังคมเสมือนจริง นั้นก็เป็นเรื่องง่ายมากหากคิดจะสวมหน้ากากอยู่ในสังคมแห่งนี้ เพียงแต่ใครจะย่อยยับอัปราชัย ใครจะหยั่งยืนอยู่ต่อไปได้ เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์

มาวิพากษ์อีกหนึ่งตัวละครที่แทบเป็นสัญลักษณ์ของวรรณกรรมเรื่องนี้
        ตงฟางปุ๊ป้าย อัจฉริยะบุคคลของพรรคมาร ผู้ซึ่งเลือกที่จะซุ่มเงียบเมื่อโอกาสของตัวเองยังมาไม่ถึง ยอมเป็นรอง เยิ่นหวอสิง ในยามที่ตัวเองยังไม่พร้อม จนเมื่อตัวเองสำเร็จวิชาทานตะวัน ประกาศศักดา ว่าตนเองคือ “บูรพาไม่แพ้” โค่นอำนาจของ เยิ่นหวอสิง ลง ก้าวขึ้นเป็นประมุขพรรคมารคนใหม่ แม้ภาพลักษณ์ที่ติดตาของคนทั่วไป คือ เรื่องราวของความรักที่ถ่ายทอดผ่านบทบาท ชายไม่จริงหญิงไม่แท้ แต่โดยเนื้อแท้แล้ว ตงฟางปุ๊ป้าย เป็นหนึ่งบุคคลที่ยึดติดกับความลุ่มหลงงมงาย หลงใหลกับคำสอพลอ คิดแต่จะพิชิตผู้อื่นเพื่อประกาศศักดา แต่ถึงจะยิ่งใหญ่เพียงใดสุดท้ายก็พลาดท่าผ่ายต้องตกตายภายใต้คมกระบี่เช่นเดียวกัน

        ซึ่งหากมองตามบริบทนี้แล้ว ก็พบเจอได้จากสังคมราชดำเนินจำนวนไม่น้อย ที่โลดแล่นวนเวียนอยู่ด้วยความหลงใหล อยากเป็นใหญ่อยากมีชื่อเสียง รอคอยโอกาสของตนเพื่อจะประกาศศักดา แต่ว่าอัจฉริยะบุคคล ไม่ได้เกิดกันง่ายๆ ดังนั้นจึงไปไม่ถึงจุดหมายได้ประกาศสักดาของตัวเองเช่นเดียวกับ ตงฟางปุ๊ป้าย

สุดท้าย กับตัวละครที่ไม่หยิบยกมากล่าวถึงไม่ได้ (เพราะอาจจะหาทางสรุปจบกะทู้นี้แบบสวยงามไม่ได้)
        เล่งฮูชง จอมยุทธเสเพล ด้วยภาพลักษณ์ไม่อินังขังขอบใดๆ เป็นศิษย์เอกของพรรคใหญ่อย่างพรรค ฮัวซาน แต่ไม่ต้องการตกอยู่ในวังวนการแย่งชิงอำนาจ ใช้ชีวิตสำมะเลเทเมาแต่ไม่เพิกเฉยต่อความไม่ยุติธรรม แม้ถูกอบรมสั่งสอนโดยคนชั่วอย่างอาจารย์ของตนเอง งักปุกคุ้ง ให้วางตัวและเพาะสร้างบารมีในยุทธภพ แต่ก็ไม่เคยซึมซับ เพราะหัวใจอยากขานขับบทเพลงท่องตระเวนไปทั่วหล้าใช้ชีวิตอย่างเสรี พบรักกับหยิ้นอิ๋งอิ๋ง ธิดาเทพแห่งพรรคมาร ตามบทประพันธ์ หลังจาก เล่งฮูชง ที่ได้กอบกู้ยุทธภพให้สงบสุขสิ้นสุดความวุ่นวาย ได้ปลีกตัวไปอยู่สันโดษกับ หยิ้นอิ๋งอิ๋ง

        ในทัศนะของ จขกท.  เมื่อนำบริบทของเล่งฮูชงมาทบทวนย้อนมองดูสภาพความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในสังคมราชดำเนิน อยากให้ "วิญญูชนที่แท้จริง" เช่นเล่งฮู้ชงไม่เคยสิ้นไปจากที่แห่งนี้ ไม่ว่าจะเมื่อ 10 ปีที่แล้วตอนเริ่มเข้าในสังคมราชดำเนินใหม่ๆ หรือจะต่อไปในอีก 10 ปีข้างหน้า ก็ยังมีบุคคลเช่นนี้อยู่

        แต่ความอยากก็เป็นความอยาก เพราะความเป็นจริงนั้นน่าเสียดายที่ชนชั้น “ผู้สันโดษ” ซึ่งชืดชาต่ออำนาจวาสนาเพียงมุ่งหวังจะนำความสงบชอบธรรมให้กลับคืนสู่สังคมราชดำเนิน อย่างเล่งฮูชง หรือยอดคนรุ่นก่อน อย่าง  ปรามาจารย์ฟงชิงหยาง หรือ ฟางเจิ้นไต้ซือ   ที่ปรากฏตัวเข้ามาให้ความช่วยเหลือเช่นในหนังสือนวนิยาย กลับคล้ายว่าจอมยุทธทั้งหลายสูญสลายหายไปจากสังคมนี้เสียแล้ว คงเหลือแต่เพียงคนธรรมดาที่ยืนหยัดต่อสู้กับความอยุติธรรม

ดังนั้นแล้ว ท่านทั้งหลายที่เข้ามาอ่านกะทู้นี้ ฝึก”เก้ากระบี่ต๊กโกว”กันเถอะครับ เราจะได้มีแรงกำลังผดุงคุณธรรม


*เขียนมาซะดี แต่จบแบบนี้นะ ไอ้พระรอง



ป.ล.สำหรับท่านที่ออกอาการ"ร้อนตัว" อดรนทนไม่ได้กับเนื้อหาในกะทู้ และพยายามแสดงความเห็นสำแดงฤทธิ์เดชที่ตนมี เหมือนอย่างที่พยายามทำในกะทู้ก่อนหน้านี้ ผมให้สิทธิ์นั้นกับท่านครับ ตามสบายเลย ผมจะไม่ตอบโต้อะไร นอกจากแผ่เมตตาให้ เพื่อท่านจะพบพานสิ่งที่ดีจากข้อเขียนที่ท่านจะมีโอกาศอ่านต่อไปบ้างนะครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่