หน้าด้านใจดำ !!!

น้ำตาจากคนใจดำอำมหิตจะเชื่อได้แค่ไหน

ใจดำขนาดไหน?

ขนาดที่สั่งทหารจากกาญจฯ จากภาคตะวันออก และจากถิ่นอื่นมาแทนทหารอีสานและเหนือเมื่อการประท้วงปี 2553 เพราะทหารจากอีสานนั้นมืออ่อนทำพี่น้องกันไม่ลง เลยต้องเอาที่เหี้ยมกว่านั้นมา

ขนาดที่สั่งให้ตำรวจให้ใช้เอ็ม 16 จัดการกับผู้ชุมนุมเมื่อปี 53 แต่ตำรวจไม่ทำจึงกดดันให้ทหารทำแทน อนุพงศ์ดื้อไม่ยอมลงนามสั่งปราบ จึงดึงเรื่องมาลงนามเอง โดยให้ใช้อาวุธจริงและไม่สนว่าจะมีผู้เจ็บตาย

อำมหิตจริง ๆ
คนที่อำมหิตได้ขนาดนี้ไม่คำนึงถึงการสูญเสียหรอก คนลักษณะนี้ทำทุกอย่างได้โดยไม่เลือกวิธีใช้ น้ำตาของคนประเภทนี้ก็แค่ น้ำตาจระเข้

มีคำกล่าวของจีนที่ว่า  "มีเมตตาไม่อาจคุมกำลังพล"  หมายความว่าคนที่นำทัพต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ชัยชนะ แม้จะต้องสังเวยด้วยชีวิตไพร่พลฝ่ายตนก็ตาม และจะไม่ใจอ่อนมืออ่อน

ดูจากประวัติของคนหน้าด้านใจดำคนนี้แล้ว มันทำได้สบายมาก ..
สลายการชุมปี 53 คนตายเป็นร้อย พิการทุพลภาพอีกมากมาย มันไม่ยี่หระเลย
มาเสียน้ำตาครั้งเดียวตอนที่ทำท่าจะแพ้เลือกตั้ง (ปราศัยที่ราชประสงค์ ซึ่งคนมีประสบการณ์ชีวิตหน่อยก็จะดูออกว่าเสแสร้งทั้งเพ)

สั่งผู้ชุมนุมปิดล้อมสถานที่รับเลือกตั้ง ซึ่งต้องรู้อยู่แล้วว่าสุ่มเสี่ยงต่อการสูญเสีย
การปิดล้อมที่นั่นที่นี่ เคลื่อนขบวนฝูงชนไปมา ... เรื่องพวกนี้คนที่ไม่มีความรู้ด้านยุทธการเลยก็มองออกว่ามันเสี่ยงต่อการปะทะและเหตุการณ์ไม่คาดฝันเพียงใด

ผู้ชุมนุมตายแล้วก็ร้องไห้ออกสื่อ แต่ไม่เคยมีการทบทวนหรือเปลี่ยนแผนการณ์เพื่อป้องกันความเสี่ยงและลดความสูญเสีย มีแต่จะปลุกเร้ามากขึ้น พฤติกรรมแบบนี้วิเคราะห์สักนิดก็จะรู้ได้ว่ามีความจริงใจแค่ไหน

ยิ่งความคาดหวังเรื่องการปฏิวัติยิ่งมายิ่งริบหรี่เพราะชาติมหาอำนาจรอแทรกแซง
ประชาชนผู้ร่วมชุมนุมยิ่งเสี่ยงต่อความสูญเสียมากขึ้น
เพราะเหลือเพียงวิธีเดียวเท่านั้นที่จะทำให้อำนาจรัฐหมดความชอบธรรมได้ก็คือการเจ็บตายของประชาชน


ซึ่งดูจากประวัติที่ผ่านมา "มัน"  ทำได้อย่างสบายมากโดยแทบไม่ต้องกระพริบตา

น้ำตาของคนแบบนี้เชื่อได้ขนาดไหน พิเคราะห์ดูเอาเถิด
การมีอุดมการณ์ทางการเมืองเป็นเรื่องดี แต่ไม่จำเป็นต้องไปเป็นเครื่องมือเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเพื่อนักการเมืองคนหนึ่ง
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่