มวลมหาประชาชนทำการต่อสู้ขับเคี่ยวกับระบอบทักษิณต่อเนื่องยาวนานมาถึงสิบปีแล้ว ต่างฝ่ายต่างก็สั่งสมบทเรียนและประสบการณ์ในการต่อสู้ ดังนั้นการต่อสู้ทางสังคมและทางการเมืองที่ดำเนินอยู่ในประเทศไทยในวันนี้ จึงมีความแหลมคมและยิ่งใหญ่กว่าการต่อสู้ของภาคประชาชนกับเผด็จการทุกแห่งหนในโลกนี้
ต่างฝ่ายต่างก็ใช้กลยุทธ์ กลศึก ที่เป็นราวประหนึ่งว่า พี่น้องร่วมชาติเดียวกันของตนเป็นข้าศึกที่จะต้องทำลายล้างให้หมดสิ้นไปจากโลกนี้ ซึ่งเป็นความโหดเหี้ยมอำมหิตแต่ฝ่ายเดียว ที่เผด็จการกระทำต่อประชาชนอันเป็นพลเมืองของประเทศ
ความเหี้ยมโหดนี้ปรากฏมาตั้งแต่เหตุการณ์ทำสงครามปราบปรามยาเสพติด ต่อเนื่องมาจนถึงปฏิบัติการโหดที่มัสยิดกรือเซะและที่ตากใบ จนทำให้ 3-4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ลุกเป็นไฟอยู่จนถึงวันนี้
รัฐบาลเผด็จการได้ใช้กลยุทธ์ในการบริหารราชการแผ่นดินที่สำคัญสองประการคือ
ประการแรก เอาแต่สมัครพรรคพวกเข้าไปบริหารราชการแผ่นดินทั้งในส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ กำจัดข้าราชการและผู้บริหารรัฐวิสาหกิจมืออาชีพทั้งหลายที่ไม่ใช่พวกตัวออกจากอำนาจ ก่อตั้งระบบบูรณาการคนชั่วช้าสารเลวทั้งแผ่นดินที่ยอมตนเป็นผีโม่แป้งเข้ามาเป็นผีโม่แป้งเข้ามาโกงบ้านกินเมืองทำลายระบบราชการจนยับเยิน
ประการที่สอง โกงบ้านกินเมืองชนิดหน้าไม่อาย โกงทุกเรื่อง โกงทุกโครงการ เอาคนทั้งโคตรมาโกงและโกงกันทั้งโคตรด้วยวิธีโคตรโกง หวังที่จะรวบรวมเอาทรัพยากรของชาติทั้งหมดมาไว้ในกำมือ แล้วใช้เศษเล็กเศษน้อยเบี่ยงหว่านไปซื้อจิตวิญญาณคนไทยให้ยอมเป็นทาส ทำคนให้เป็นผีโม่แป้งหรือเป็นควายสุดแท้แต่จะใช้สอยแต่ประการใด
จากกลยุทธ์ทั้งสองนี้ จึงทำให้ระบอบเผด็จการทุนสามานย์หยั่งรากลึกลงในระบบราชการ รัฐวิสาหกิจ ที่มีบทบาทครอบงำผลประโยชน์แห่งชาติและทรัพยากรทั้งหมดของประเทศ
ส่วนภาคประชาชนก็ได้แต่โหวกเหวกโวยวาย แสดงความไม่พอใจและต้องเผชิญกับความโหดเหี้ยมอำมหิตในการปราบปรามที่กระทำอย่างต่อเนื่องไม่ไว้หน้าใคร
รูปแบบอันใดหรือการกระทำใดที่ศัตรูคู่ศึกสงครามกระทำกันก็นำมาใช้กระทำต่อพลเมือง นับเป็นความโหดร้ายทารุณที่สุด นับแต่มีการก่อตั้งประเทศชาติอันมีนามว่าประเทศไทยนี้เป็นต้นมา
เพราะพฤติกรรมอธรรมเยี่ยงนี้ เมื่อมาถึงจุดหนึ่งคือจุดที่เป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้วัวหลังหัก มวลมหาประชาชนก็ลุกฮือขึ้นไม่ยอมให้เผด็จการปกครองอีกต่อไป ก่อตัวรวมกันเข้าทำการขับไล่โค่นล้มเพื่อจะกวาดล้างระบอบเผด็จการให้หมดสิ้นแผ่นดินไทย โดยมี กปปส.เป็นองค์กรนำ
เผด็จการทั้งหลายคือ
ระดาษ และข้างในกลวงทั้งสิ้น นี่คือสัจธรรมของประวัติศาสตร์สังคมอันเป็นจริงอยู่ทุกเมื่อ
ดังนั้นเมื่อประชาชนลุกฮือขึ้นต่อสู้ เผด็จการทรราชจึงตื่นตระหนกถอยร่นไม่เป็นขบวน จนกระทั่งถึงขั้นที่ยุบสภาหลอกให้ไปเลือกตั้ง แล้วหลบหนีไปอยู่ในต่างจังหวัด หรือเตรียมที่จะตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น
มวลมหาประชาชนได้พร้อมเพรียงใจกันลุกฮือขับไล่อย่างต่อเนื่อง และทำให้กลไกการบริหารทั้งสิ้น พิกลพิการทำงานไม่ได้ สภาพความเป็นรัฐบาลที่ล้มเหลวปรากฏให้เห็นเป็นเด่นชัด ความล่มสลายกำลังเกิดขึ้นอย่างสันติ อำนาจกำลังถ่ายเทมายังมวลมหาประชาชนอย่างสันติ
ในสภาพเช่นนี้ เผด็จการจึงใช้กลยุทธ์โบราณ นั่นก็คืออุบายเมืองร้าง สร้างภาพหลอกลวงโกหกไปวันๆ หลอกให้เห็นหรือเข้าใจว่า ยังมีอำนาจบริหารราชการแผ่นดิน ยังควบคุมสถานการณ์ทั้งปวงได้ ซึ่งเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ
ข้อแรก ทั้งรักษาการนายกรัฐมนตรีและรักษาการรัฐมนตรีทั้งหลายถูกยึดที่ทำงานไปจนหมดสิ้นแล้ว ต้องร่อนเร่ไปแอบประชุมที่นั่นที่นี่ เหมือนกับคนกลัวผีที่ต้องการเพื่อนฉะนั้น กระทั่งบ้านช่องห้องหอที่เคยอยู่กินหลับนอนก็ไม่กล้าไปพักไปนอน ต้องหลบซ่อนอยู่ตามเซฟเฮ้าส์และโรงแรม ตะวันพลบลงคราใด ก็ถอนใจใหญ่ว่าค่ำนี้จะนอนที่ไหนเอย?
ข้อสอง การสร้างภาพสั่งให้ส่วนราชการต่าง ๆ ที่ถูกยึดหรือถูกปิดที่ทำการว่าให้ไปทำงานที่นั่นที่นี่ แท้จริงไปไม่ได้ เพราะที่ใหม่ไม่มีโต๊ะเก้าอี้ ไม่มีที่ทำการให้ใช้ ไม่มีเครื่องมือและอุปกรณ์ในการทำงานเลย มันเป็นเพียงแค่การสร้างภาพหลอกลวงเท่านั้น
ข้อสาม การสั่งราชการเพื่อให้เห็นว่ายังมีอำนาจถูกความจริงตบหน้าว่าไม่มีคนปฏิบัติตาม แม้กระทั่งโครงการและงบประมาณต่างๆ ก็ขัดสน แม้กระทั่งการโกงค่าข้าวชาวนาก็ไม่สามารถหาเงินมาชำระหนี้ได้
ล่มสลายถึงขั้นที่ข้าราชการกระทรวงสาธารณสุขร่วมกันยึดอำนาจจากรัฐมนตรีบริหารจัดการกระทรวงกันเอง แล้วขับไล่ทั้งรัฐมนตรีและรองปลัดขี้ข้าออกนอกกระทรวงไปแล้ว ก็ยังได้แต่บ้าใบ้ทำอะไรไม่ถูก
แล้วอย่างนี้จะนั่งอยู่ต่อไปให้บ้านเมืองพินาศ
มากกว่านี้ไปทำไมกัน?
ที่มา:
http://www.naewna.com/politic/columnist/10591
ปล.อีกไม่นาน หรอกครับ...นางปู...เอิ๊ก ๆ ๆ
จับตากลยุทธ์ลวงโลก...อุบายเมืองร้าง
ต่างฝ่ายต่างก็ใช้กลยุทธ์ กลศึก ที่เป็นราวประหนึ่งว่า พี่น้องร่วมชาติเดียวกันของตนเป็นข้าศึกที่จะต้องทำลายล้างให้หมดสิ้นไปจากโลกนี้ ซึ่งเป็นความโหดเหี้ยมอำมหิตแต่ฝ่ายเดียว ที่เผด็จการกระทำต่อประชาชนอันเป็นพลเมืองของประเทศ
ความเหี้ยมโหดนี้ปรากฏมาตั้งแต่เหตุการณ์ทำสงครามปราบปรามยาเสพติด ต่อเนื่องมาจนถึงปฏิบัติการโหดที่มัสยิดกรือเซะและที่ตากใบ จนทำให้ 3-4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ลุกเป็นไฟอยู่จนถึงวันนี้
รัฐบาลเผด็จการได้ใช้กลยุทธ์ในการบริหารราชการแผ่นดินที่สำคัญสองประการคือ
ประการแรก เอาแต่สมัครพรรคพวกเข้าไปบริหารราชการแผ่นดินทั้งในส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ กำจัดข้าราชการและผู้บริหารรัฐวิสาหกิจมืออาชีพทั้งหลายที่ไม่ใช่พวกตัวออกจากอำนาจ ก่อตั้งระบบบูรณาการคนชั่วช้าสารเลวทั้งแผ่นดินที่ยอมตนเป็นผีโม่แป้งเข้ามาเป็นผีโม่แป้งเข้ามาโกงบ้านกินเมืองทำลายระบบราชการจนยับเยิน
ประการที่สอง โกงบ้านกินเมืองชนิดหน้าไม่อาย โกงทุกเรื่อง โกงทุกโครงการ เอาคนทั้งโคตรมาโกงและโกงกันทั้งโคตรด้วยวิธีโคตรโกง หวังที่จะรวบรวมเอาทรัพยากรของชาติทั้งหมดมาไว้ในกำมือ แล้วใช้เศษเล็กเศษน้อยเบี่ยงหว่านไปซื้อจิตวิญญาณคนไทยให้ยอมเป็นทาส ทำคนให้เป็นผีโม่แป้งหรือเป็นควายสุดแท้แต่จะใช้สอยแต่ประการใด
จากกลยุทธ์ทั้งสองนี้ จึงทำให้ระบอบเผด็จการทุนสามานย์หยั่งรากลึกลงในระบบราชการ รัฐวิสาหกิจ ที่มีบทบาทครอบงำผลประโยชน์แห่งชาติและทรัพยากรทั้งหมดของประเทศ
ส่วนภาคประชาชนก็ได้แต่โหวกเหวกโวยวาย แสดงความไม่พอใจและต้องเผชิญกับความโหดเหี้ยมอำมหิตในการปราบปรามที่กระทำอย่างต่อเนื่องไม่ไว้หน้าใคร
รูปแบบอันใดหรือการกระทำใดที่ศัตรูคู่ศึกสงครามกระทำกันก็นำมาใช้กระทำต่อพลเมือง นับเป็นความโหดร้ายทารุณที่สุด นับแต่มีการก่อตั้งประเทศชาติอันมีนามว่าประเทศไทยนี้เป็นต้นมา
เพราะพฤติกรรมอธรรมเยี่ยงนี้ เมื่อมาถึงจุดหนึ่งคือจุดที่เป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้วัวหลังหัก มวลมหาประชาชนก็ลุกฮือขึ้นไม่ยอมให้เผด็จการปกครองอีกต่อไป ก่อตัวรวมกันเข้าทำการขับไล่โค่นล้มเพื่อจะกวาดล้างระบอบเผด็จการให้หมดสิ้นแผ่นดินไทย โดยมี กปปส.เป็นองค์กรนำ
เผด็จการทั้งหลายคือระดาษ และข้างในกลวงทั้งสิ้น นี่คือสัจธรรมของประวัติศาสตร์สังคมอันเป็นจริงอยู่ทุกเมื่อ
ดังนั้นเมื่อประชาชนลุกฮือขึ้นต่อสู้ เผด็จการทรราชจึงตื่นตระหนกถอยร่นไม่เป็นขบวน จนกระทั่งถึงขั้นที่ยุบสภาหลอกให้ไปเลือกตั้ง แล้วหลบหนีไปอยู่ในต่างจังหวัด หรือเตรียมที่จะตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น
มวลมหาประชาชนได้พร้อมเพรียงใจกันลุกฮือขับไล่อย่างต่อเนื่อง และทำให้กลไกการบริหารทั้งสิ้น พิกลพิการทำงานไม่ได้ สภาพความเป็นรัฐบาลที่ล้มเหลวปรากฏให้เห็นเป็นเด่นชัด ความล่มสลายกำลังเกิดขึ้นอย่างสันติ อำนาจกำลังถ่ายเทมายังมวลมหาประชาชนอย่างสันติ
ในสภาพเช่นนี้ เผด็จการจึงใช้กลยุทธ์โบราณ นั่นก็คืออุบายเมืองร้าง สร้างภาพหลอกลวงโกหกไปวันๆ หลอกให้เห็นหรือเข้าใจว่า ยังมีอำนาจบริหารราชการแผ่นดิน ยังควบคุมสถานการณ์ทั้งปวงได้ ซึ่งเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ
ข้อแรก ทั้งรักษาการนายกรัฐมนตรีและรักษาการรัฐมนตรีทั้งหลายถูกยึดที่ทำงานไปจนหมดสิ้นแล้ว ต้องร่อนเร่ไปแอบประชุมที่นั่นที่นี่ เหมือนกับคนกลัวผีที่ต้องการเพื่อนฉะนั้น กระทั่งบ้านช่องห้องหอที่เคยอยู่กินหลับนอนก็ไม่กล้าไปพักไปนอน ต้องหลบซ่อนอยู่ตามเซฟเฮ้าส์และโรงแรม ตะวันพลบลงคราใด ก็ถอนใจใหญ่ว่าค่ำนี้จะนอนที่ไหนเอย?
ข้อสอง การสร้างภาพสั่งให้ส่วนราชการต่าง ๆ ที่ถูกยึดหรือถูกปิดที่ทำการว่าให้ไปทำงานที่นั่นที่นี่ แท้จริงไปไม่ได้ เพราะที่ใหม่ไม่มีโต๊ะเก้าอี้ ไม่มีที่ทำการให้ใช้ ไม่มีเครื่องมือและอุปกรณ์ในการทำงานเลย มันเป็นเพียงแค่การสร้างภาพหลอกลวงเท่านั้น
ข้อสาม การสั่งราชการเพื่อให้เห็นว่ายังมีอำนาจถูกความจริงตบหน้าว่าไม่มีคนปฏิบัติตาม แม้กระทั่งโครงการและงบประมาณต่างๆ ก็ขัดสน แม้กระทั่งการโกงค่าข้าวชาวนาก็ไม่สามารถหาเงินมาชำระหนี้ได้
ล่มสลายถึงขั้นที่ข้าราชการกระทรวงสาธารณสุขร่วมกันยึดอำนาจจากรัฐมนตรีบริหารจัดการกระทรวงกันเอง แล้วขับไล่ทั้งรัฐมนตรีและรองปลัดขี้ข้าออกนอกกระทรวงไปแล้ว ก็ยังได้แต่บ้าใบ้ทำอะไรไม่ถูก
แล้วอย่างนี้จะนั่งอยู่ต่อไปให้บ้านเมืองพินาศมากกว่านี้ไปทำไมกัน?
ที่มา:http://www.naewna.com/politic/columnist/10591