บางคนอาจจะเห็นข่าว นี้ตามเว็บข่าวต่างๆ แล้ว แต่เพื่อความชัดเจน เราจะมาเล่าให้ฟังผ่านปากของเรา ซึ่งเป็นผู้เสียหายโดยตรงเลยค่ะ จะได้รับทราบตรงกัน
เหตุการณ์ครั้งแรกเกิดขึ้นย้อนไปเมื่อเดือนมกราปี 55 ค่ะ ครั้งนั้นสุนัขของแพนเค้กเข้ามาในบ้านและกัดไก่แจ้เราแล้วคาบไปที่บ้านของเค้าค่ะและก็ไม่ได้บาดเจ็บเล็กน้อยนะค่ะ เขี้ยวหมานะค่ะ แต่ยังดีที่ไก่เราไม่ตาย ฝ่ายนั้นขอโทษเราพร้อมกับให้น้ำหวานมาหนึ่งขวดเพื่อให้ไก่กินตามคำแนะนำของสัตวแพทย์ พร้อมทั้งยืนยันกับเราว่าจะดูแลไม่ให้สุนัขหลุดออกมารบกวนอีกเด็ดขาด และจะไม่ปล่อยให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก ครั้งนั้นทางเราได้ให้ไข่ไก่แจ้เขาไป 12 ฟองด้วย ซึ่งเรื่องก็จบลงด้วยดี
ต่อมาครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. 56 สุนัขตัวเดิมของแพนเค้กก็เข้ามาที่บ้านเราอีกค่ะ (แต่ครั้งนี้ไม่มีไก่แจ้แล้ว เพราะเราย้ายไปเลี้ยงที่ต่างจังหวัดเรียบร้อย) วันนั้นเราอบขนมอยู่ข้างนอก เพราะเตาอบเราอยู่นอกตัวบ้าน จังหวะที่เราเปิดประตูหลังบ้านเพื่อเอาถาดขนมเข้าไปเก็บ อยู่ดีๆ สุนัขของแพนเค้กก็วิ่งจู๊ดเข้ามาในบ้านเรา ตัวบ้านเลยนะคะ ไม่ใช่แค่ในรั้วบ้าน แล้วก็วิ่งขึ้นไปถึงชั้นสองโดยที่เรายังไม่ทันได้ไล่ตามไป ตอนนั้นคุณแม่เราเปิดประตูออกมาจากห้องพอดี คุณแม่เรามีปัญหาเรื่องหัวใจอยู่แล้วค่ะ เคยไปตรวจมาหมอบอกว่า ลิ้นหัวใจผิดปกติ และคุณแม่กลัวสุนัขด้วย พอเห็นสุนัขคุณแม่ตกใจมาก จากนั้นสุนัขของแพนเค้กก็วิ่งหนีกลับลงมาข้างล่าง แม่บ้านของแพนเค้กมาจับตัวมันไปพร้อมกับขอโทษเรา วันรุ่งขึ้นแพนเค้กกับคุณพ่อก็มาพบเราที่บ้านและได้ฝากขอโทษคุณแม่ พร้อมกับนำส้มเขียวหวานหนึ่งตะกร้ามาให้และรับปากว่าจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์ เช่นนี้อีก ซึ่งทางเราก็ไม่ได้ติดใจเอาความอะไร และได้ตักเตือนว่า อย่ามีครั้งที่สามอีก
ต่อมาครั้งที่สาม วันที่ 14 ม.ค. 57 ห่างจากเหตุการณ์ครั้งก่อนแค่เดือนเดียว สุนัขตัวเดิมของแพนเค้กก็เข้ามาในบ้านเราอีกค่ะ ตอนนั้นคุณแม่อยู่ในบ้านและกำลังจะออกไปเลื่อนรถ คุณแม่เลยกดเปิดประตูรั้วบ้าน (บ้านเราเป็นรั้วอัตโนมัติ สั่งเปิดจากในบ้านได้) พอประตูรั้วเปิดได้แป๊บนึง คุณแม่ก็เดินไปจะเปิดประตูมุ้งลวดออกไปเพื่อจะไปเลื่อนรถ ปรากฏว่าเจอสุนัขแพนเค้กดักอยู่หน้าประตูมุ้งลวดเลย (มันทำมุ้งลวดเสียหายด้วย แต่พ่อเราก็พอซ่อมได้) อย่างที่บอกไปแล้วค่ะว่าคุณแม่เรามีปัญญาด้านหัวใจและกลัวสุนัข คุณแม่เราตกใจมากจนจะเป็นลม ดีที่เราวิ่งไปรับไว้ทันและให้คุณแม่นอนพัก หลังจากนั้นก็ได้มีการโทรศัพท์คุยกับคุณหน่อย แม่คุณแพนเค้ก ครั้งนี้เราก็ได้รับคำขอโทษอีกเหมือนเคยค่ะ พร้อมกับสัญญาลมปากที่บอกว่า “จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก” ประโยคเดิมเด๊ะๆ แต่เราไม่ทนแล้วค่ะ เรายอมรับเหตุการณ์นี้ไม่ได้แล้วจริงๆ เพราะที่ผ่านมาก็ได้แต่พูดว่าขอโทษๆ แต่ก็ไม่คิดจะดูแลสัตว์เลี้ยงตัวเองให้ดีเลย เพราะฉะนั้นเราเลยขอเรียกเงินค่าเสียหายเป็นจำนวนหนึ่งแสนบาทค่ะ
ถามว่าเยอะไปมั้ย บอกเลยว่าถ้าแม่เราเป็นอะไรไป หนึ่งแสนก็ไม่คุ้มค่ะ ที่เราเรียกเยอะขนาดนี้เพราะอยากให้เขาดูแลกวดขันสุนัขของเขาอย่างเข้มงวด ไม่ให้มันหลุดออกมาระรานบ้านคนอื่นเขาอีก ส่วนเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ได้มา เรากับแม่จะนำไปบริจาคเพื่อการกุศลที่เกี่ยวข้องกับสุนัขทั้งหมด และจะเชิญสื่อไปเป็นพยานด้วยค่ะเพื่อความบริสุทธิ์ใจว่าเราไม่ได้เห็นแก่ เงินและเอามาใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตนจริงๆ
กลับมาต่อนะคะ คุณหน่อยรับข้อเสนอไปและบอกว่าจะติดต่อกลับมาภายใน 15 นาที ผ่านไปชั่วโมงนึง คุณหน่อยก็แจ้งกลับมาว่าคงทำตามข้อเสนอไม่ได้ เพราะเราเรียกร้องสูงไป ทั้งยังบอกว่าทางเราประมาทเองและโวยวายเกินเหตุ เขาบอกว่าสงสัยเราจะคุยกันไม่รู้เรื่อง คงต้องส่งคุณพ่อแพนเค้กมาคุยจะดีกว่า ณ จุดจุดนี้เราตอบกลับไปตรงๆ เลยค่ะว่า “คุณใช้สมองส่วนไหนคิดที่ว่าเราประมาท หมาคุณเข้าบ้านเราถึงสามครั้ง ใครกันแน่ที่ประมาท กรุณาไตร่ตรองก่อนพูดด้วย” เราไม่เคยคิดจะแจ้งความมาก่อนเลย ถ้าเราจะแจ้ง เราทำไปตั้งแต่ครั้งแรกที่สุนัขเข้าบ้านเราแล้วค่ะ แต่ด้วยคำพูดคุณหน่อยทำให้เราตัดสินใจว่าต้องทำอะไรเสียที
ตอนที่ไปแจ้งความเป็นเวลาหกโมงเย็น หลังแจ้งความแล้วก็มีการนัดไกล่เกลี่ยกัน ณ บ้านที่เกิดเหตุ ซึ่งก็คือบ้านเราในวันที่ 15 ม.ค. 57 (ซึ่งก็คือเมื่อวาน) เวลาเก้าโมงเช้า จนกระทั่งเก้าโมงครึ่ง คู่กรณีคือแพนเค้กก็ยังไม่มา จนต้องให้ตำรวจไปเชิญมา ปรากฏว่าคนที่มาเป็นเป็นคุณพ่อแพนเค้กกับหมวดหมี แฟนแพนเค้กค่ะ แต่ยังไม่ทันได้เจรจาไกล่เกลี่ย คุณพ่อแพนเค้กก็เปิดฉากพูดจาหาเรื่องเราเลย เพราะคุณแม่ไปทักแฟนเพนเค้กค่ะว่า “สวัสดีหรือยังคะ” คุณพ่อของเธอก็เปิดฉากฉะว่า “คุณมารยาทดีๆ หน่อย ทำอย่างงี้ไม่ถูก” คุณแม่ก็แจงไปว่า “มันเป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้ใหญ่จะทักเด็ก คุณเปิดประเด็นมาก็หาเรื่องฉันเลยนะ” ด้านคุณพ่อแพนเค้กก็ตอบกลับมาว่า "ใช่ ผมหาเรื่อง มีปัญหาไหม" และพูดต่อด้วยว่า "ตลก"
พอได้ยินคำพูดนั้น คุณแม่เราฉุนมากค่ะ เลยตอบกลับไปว่า “คุณว่าเรื่องนี้มันตลกเหรอ ทั้งๆ ที่เราเป็นผู้เสียหาย การที่หมาเข้ามาในบ้าน ทำคนตกใจจะเป็นลม มันคือเรื่องตลกสำหรับคุณหรือไง” คุณตำรวจเห็นท่าไม่ดีเลยเชิญพวกเราไปที่ สน. มีนบุรี เมื่อไปถึงเราได้ให้ปากคำตำรวจ ฝ่ายคู่กรณีมีหมวดหมีกับคุณพ่อแพนเค้ก ฝ่ายนั้นบอกตำรวจว่า "ไม่ขอเจรจาไกล่เลี่ยกับเรา" ตำรวจจึงแนะนำให้เราลงบันทึกประจำวันแจ้งความไว้อีกครั้งหนึ่งจากคำพูดที่เขาบอกว่า “ใช่ ผมหาเรื่อง มีปัญหาไหม” เราเกรงว่าจะไม่ปลอดภัยทั้งชีวิตและทรัพย์สิน เลยลงบันทึกประจำวันเรื่องนี้ไปเลย พร้อมกับลงบันทึกไปด้วยค่ะว่าหากเกิดอะไรกับครอบครัวและทรัพย์สินของเรา ให้สันนิษฐานว่าเป็นการกระทำของคู่กรณี เพราะเราไม่เคยมีเรื่องบาดหมาดกับใคร ทั้งนี้เราได้แจ้งสื่อต่างๆ เพื่อขอความเป็นธรรมแล้ว ส่วนเรื่องคู่กรณีไม่ยอมไกล่เกลี่ย ก็คงต้องปรึกษาทนายและฟ้องร้องกันต่อไปค่ะ
บอกเล่าจาก อุบลรัตน์ แพเจริญชัย และคุณแม่ อัมภิกา แพเจริญชัย ผู้เสียหายโดยตรง
ป.ล. ตอนนี้คุณแม่แอดมิตอยู่ เพราะหลังเกิดเรื่องนี้ทำให้ความดันขึ้นสูงมาก และเมื่อคืนต้องคอยดูคลื่นหัวใจ ตามคำแนะนำของหมอค่ะ
หมาแพนเค้กบุกบ้านสามรอบแล้ว สุดทนแล้วค่ะ
เหตุการณ์ครั้งแรกเกิดขึ้นย้อนไปเมื่อเดือนมกราปี 55 ค่ะ ครั้งนั้นสุนัขของแพนเค้กเข้ามาในบ้านและกัดไก่แจ้เราแล้วคาบไปที่บ้านของเค้าค่ะและก็ไม่ได้บาดเจ็บเล็กน้อยนะค่ะ เขี้ยวหมานะค่ะ แต่ยังดีที่ไก่เราไม่ตาย ฝ่ายนั้นขอโทษเราพร้อมกับให้น้ำหวานมาหนึ่งขวดเพื่อให้ไก่กินตามคำแนะนำของสัตวแพทย์ พร้อมทั้งยืนยันกับเราว่าจะดูแลไม่ให้สุนัขหลุดออกมารบกวนอีกเด็ดขาด และจะไม่ปล่อยให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก ครั้งนั้นทางเราได้ให้ไข่ไก่แจ้เขาไป 12 ฟองด้วย ซึ่งเรื่องก็จบลงด้วยดี
ต่อมาครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. 56 สุนัขตัวเดิมของแพนเค้กก็เข้ามาที่บ้านเราอีกค่ะ (แต่ครั้งนี้ไม่มีไก่แจ้แล้ว เพราะเราย้ายไปเลี้ยงที่ต่างจังหวัดเรียบร้อย) วันนั้นเราอบขนมอยู่ข้างนอก เพราะเตาอบเราอยู่นอกตัวบ้าน จังหวะที่เราเปิดประตูหลังบ้านเพื่อเอาถาดขนมเข้าไปเก็บ อยู่ดีๆ สุนัขของแพนเค้กก็วิ่งจู๊ดเข้ามาในบ้านเรา ตัวบ้านเลยนะคะ ไม่ใช่แค่ในรั้วบ้าน แล้วก็วิ่งขึ้นไปถึงชั้นสองโดยที่เรายังไม่ทันได้ไล่ตามไป ตอนนั้นคุณแม่เราเปิดประตูออกมาจากห้องพอดี คุณแม่เรามีปัญหาเรื่องหัวใจอยู่แล้วค่ะ เคยไปตรวจมาหมอบอกว่า ลิ้นหัวใจผิดปกติ และคุณแม่กลัวสุนัขด้วย พอเห็นสุนัขคุณแม่ตกใจมาก จากนั้นสุนัขของแพนเค้กก็วิ่งหนีกลับลงมาข้างล่าง แม่บ้านของแพนเค้กมาจับตัวมันไปพร้อมกับขอโทษเรา วันรุ่งขึ้นแพนเค้กกับคุณพ่อก็มาพบเราที่บ้านและได้ฝากขอโทษคุณแม่ พร้อมกับนำส้มเขียวหวานหนึ่งตะกร้ามาให้และรับปากว่าจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์ เช่นนี้อีก ซึ่งทางเราก็ไม่ได้ติดใจเอาความอะไร และได้ตักเตือนว่า อย่ามีครั้งที่สามอีก
ต่อมาครั้งที่สาม วันที่ 14 ม.ค. 57 ห่างจากเหตุการณ์ครั้งก่อนแค่เดือนเดียว สุนัขตัวเดิมของแพนเค้กก็เข้ามาในบ้านเราอีกค่ะ ตอนนั้นคุณแม่อยู่ในบ้านและกำลังจะออกไปเลื่อนรถ คุณแม่เลยกดเปิดประตูรั้วบ้าน (บ้านเราเป็นรั้วอัตโนมัติ สั่งเปิดจากในบ้านได้) พอประตูรั้วเปิดได้แป๊บนึง คุณแม่ก็เดินไปจะเปิดประตูมุ้งลวดออกไปเพื่อจะไปเลื่อนรถ ปรากฏว่าเจอสุนัขแพนเค้กดักอยู่หน้าประตูมุ้งลวดเลย (มันทำมุ้งลวดเสียหายด้วย แต่พ่อเราก็พอซ่อมได้) อย่างที่บอกไปแล้วค่ะว่าคุณแม่เรามีปัญญาด้านหัวใจและกลัวสุนัข คุณแม่เราตกใจมากจนจะเป็นลม ดีที่เราวิ่งไปรับไว้ทันและให้คุณแม่นอนพัก หลังจากนั้นก็ได้มีการโทรศัพท์คุยกับคุณหน่อย แม่คุณแพนเค้ก ครั้งนี้เราก็ได้รับคำขอโทษอีกเหมือนเคยค่ะ พร้อมกับสัญญาลมปากที่บอกว่า “จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก” ประโยคเดิมเด๊ะๆ แต่เราไม่ทนแล้วค่ะ เรายอมรับเหตุการณ์นี้ไม่ได้แล้วจริงๆ เพราะที่ผ่านมาก็ได้แต่พูดว่าขอโทษๆ แต่ก็ไม่คิดจะดูแลสัตว์เลี้ยงตัวเองให้ดีเลย เพราะฉะนั้นเราเลยขอเรียกเงินค่าเสียหายเป็นจำนวนหนึ่งแสนบาทค่ะ
ถามว่าเยอะไปมั้ย บอกเลยว่าถ้าแม่เราเป็นอะไรไป หนึ่งแสนก็ไม่คุ้มค่ะ ที่เราเรียกเยอะขนาดนี้เพราะอยากให้เขาดูแลกวดขันสุนัขของเขาอย่างเข้มงวด ไม่ให้มันหลุดออกมาระรานบ้านคนอื่นเขาอีก ส่วนเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ได้มา เรากับแม่จะนำไปบริจาคเพื่อการกุศลที่เกี่ยวข้องกับสุนัขทั้งหมด และจะเชิญสื่อไปเป็นพยานด้วยค่ะเพื่อความบริสุทธิ์ใจว่าเราไม่ได้เห็นแก่ เงินและเอามาใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตนจริงๆ
กลับมาต่อนะคะ คุณหน่อยรับข้อเสนอไปและบอกว่าจะติดต่อกลับมาภายใน 15 นาที ผ่านไปชั่วโมงนึง คุณหน่อยก็แจ้งกลับมาว่าคงทำตามข้อเสนอไม่ได้ เพราะเราเรียกร้องสูงไป ทั้งยังบอกว่าทางเราประมาทเองและโวยวายเกินเหตุ เขาบอกว่าสงสัยเราจะคุยกันไม่รู้เรื่อง คงต้องส่งคุณพ่อแพนเค้กมาคุยจะดีกว่า ณ จุดจุดนี้เราตอบกลับไปตรงๆ เลยค่ะว่า “คุณใช้สมองส่วนไหนคิดที่ว่าเราประมาท หมาคุณเข้าบ้านเราถึงสามครั้ง ใครกันแน่ที่ประมาท กรุณาไตร่ตรองก่อนพูดด้วย” เราไม่เคยคิดจะแจ้งความมาก่อนเลย ถ้าเราจะแจ้ง เราทำไปตั้งแต่ครั้งแรกที่สุนัขเข้าบ้านเราแล้วค่ะ แต่ด้วยคำพูดคุณหน่อยทำให้เราตัดสินใจว่าต้องทำอะไรเสียที
ตอนที่ไปแจ้งความเป็นเวลาหกโมงเย็น หลังแจ้งความแล้วก็มีการนัดไกล่เกลี่ยกัน ณ บ้านที่เกิดเหตุ ซึ่งก็คือบ้านเราในวันที่ 15 ม.ค. 57 (ซึ่งก็คือเมื่อวาน) เวลาเก้าโมงเช้า จนกระทั่งเก้าโมงครึ่ง คู่กรณีคือแพนเค้กก็ยังไม่มา จนต้องให้ตำรวจไปเชิญมา ปรากฏว่าคนที่มาเป็นเป็นคุณพ่อแพนเค้กกับหมวดหมี แฟนแพนเค้กค่ะ แต่ยังไม่ทันได้เจรจาไกล่เกลี่ย คุณพ่อแพนเค้กก็เปิดฉากพูดจาหาเรื่องเราเลย เพราะคุณแม่ไปทักแฟนเพนเค้กค่ะว่า “สวัสดีหรือยังคะ” คุณพ่อของเธอก็เปิดฉากฉะว่า “คุณมารยาทดีๆ หน่อย ทำอย่างงี้ไม่ถูก” คุณแม่ก็แจงไปว่า “มันเป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้ใหญ่จะทักเด็ก คุณเปิดประเด็นมาก็หาเรื่องฉันเลยนะ” ด้านคุณพ่อแพนเค้กก็ตอบกลับมาว่า "ใช่ ผมหาเรื่อง มีปัญหาไหม" และพูดต่อด้วยว่า "ตลก"
พอได้ยินคำพูดนั้น คุณแม่เราฉุนมากค่ะ เลยตอบกลับไปว่า “คุณว่าเรื่องนี้มันตลกเหรอ ทั้งๆ ที่เราเป็นผู้เสียหาย การที่หมาเข้ามาในบ้าน ทำคนตกใจจะเป็นลม มันคือเรื่องตลกสำหรับคุณหรือไง” คุณตำรวจเห็นท่าไม่ดีเลยเชิญพวกเราไปที่ สน. มีนบุรี เมื่อไปถึงเราได้ให้ปากคำตำรวจ ฝ่ายคู่กรณีมีหมวดหมีกับคุณพ่อแพนเค้ก ฝ่ายนั้นบอกตำรวจว่า "ไม่ขอเจรจาไกล่เลี่ยกับเรา" ตำรวจจึงแนะนำให้เราลงบันทึกประจำวันแจ้งความไว้อีกครั้งหนึ่งจากคำพูดที่เขาบอกว่า “ใช่ ผมหาเรื่อง มีปัญหาไหม” เราเกรงว่าจะไม่ปลอดภัยทั้งชีวิตและทรัพย์สิน เลยลงบันทึกประจำวันเรื่องนี้ไปเลย พร้อมกับลงบันทึกไปด้วยค่ะว่าหากเกิดอะไรกับครอบครัวและทรัพย์สินของเรา ให้สันนิษฐานว่าเป็นการกระทำของคู่กรณี เพราะเราไม่เคยมีเรื่องบาดหมาดกับใคร ทั้งนี้เราได้แจ้งสื่อต่างๆ เพื่อขอความเป็นธรรมแล้ว ส่วนเรื่องคู่กรณีไม่ยอมไกล่เกลี่ย ก็คงต้องปรึกษาทนายและฟ้องร้องกันต่อไปค่ะ
บอกเล่าจาก อุบลรัตน์ แพเจริญชัย และคุณแม่ อัมภิกา แพเจริญชัย ผู้เสียหายโดยตรง
ป.ล. ตอนนี้คุณแม่แอดมิตอยู่ เพราะหลังเกิดเรื่องนี้ทำให้ความดันขึ้นสูงมาก และเมื่อคืนต้องคอยดูคลื่นหัวใจ ตามคำแนะนำของหมอค่ะ