มอง INTUCH, TRUE, BEC, GRAMMY, RS, WORK, NMG

ผมจะพูดถึงกรณี INTUCH กับการประมูลทีวีดิจิตอลที่ผ่าน เห็นได้ชัดว่าเป็นการยอมถอยเพื่อก้าวต่อไป
หลายคนคงสงสัยคล้ายกันว่าระดับ INTUCH ถ้าจะทุ่มเงินลงไปสัก 4-5 พันล้าน
คงไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร กับบริษัทที่มีเงินทุนมหาศาล เทียบไม่ติดกับบริษัทต่างๆ ที่ประมูลได้ช่องกันไป
แล้วอะไรที่เป็นสาเหตุทำให้ INTUCH ไม่สู้ราคาและขอหยุดด้วยตัวเอง

VISION อย่างผู้นำ

เมื่อต้นทุนการประมูลเลยจุดๆ นึงที่บริษัทมองว่าจะสามารถทำกำไรได้ เขาก็หยุด เมื่อโอกาสทางแผนธุรกิจเหลือน้อยลง
การหยุดจึงเป็นการจำกัดความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต นี่คือวิธีคิดของผู้นำในโลกธุรกิจ

แล้วทำไมบริษัทอื่นๆ กลับทุ่มสุดตัว?

บริษัทอื่นๆ ที่ประมูลได้ช่องกันไปล้วนแต่เป็นบริษัทที่ผลิตคอนเทนต์เองอยู่แล้ว ส่วนใหญ่มีทีวีดาวเทียมอยู่ในมือ
หรือไม่ก็ผลิตรายการป้อนฟรีทีวีอยู่ การได้มีช่องฟรีทีวีเป็นของตัวเองจึงเป็น "ความฝันอันสูงสุด" และ "โอกาสอยู่รอด" เดียวในทศวรรษหน้า
นั่นเป็นเหตุผลเดียวที่บริษัทต่างๆ ต่างทุ่มในการเดิมครั้งนี้สุดตัว แม้จะรู้ว่ามีความเสี่ยงสูงที่จะขาดทุนระยะยาวก็ยอม

การได้คุมสื่อ ได้มีช่องทางออกอากาศในวงกว้างครอบคลุมทั่วประเทศ มีผลประโยชน์ที่ได้จะมากกว่าแค่เหตุผลทางธุรกิจ
แต่มันคืออำนาจในการชี้นำความคิด และต่อยอดไปสู่การสร้างความมั่งคั่งให้ตัวเองได้อีกหลายรูปแบบ

ในทศวรรษหน้าผู้ผลิตคอนเทนต์รายไหน ไม่มีช่องทีวีเป็นของตัวเองก็จะกลายเป็นมดตัวเล็กๆ ที่ไร้ความสำคัญ

บริษัทหลักๆ ที่มีคอนเทนต์เป็นของตัวเองอย่าง WORK, RS, GRAMMY, TRUE, NMG จึงทุ่มสุดตัวเพื่อแย่งชิงทีวีดิจิตอลมา
บริษัทพวกนี้ก็รู้ถึงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นถ้าราคาประมูลสูงเกินกว่าที่คาด เพราะต้องมีการประเมินแผนทางธุรกิจมาหมดแล้ว
ว่าถ้าราคาอยู่ช่วงนั้นช่วงนี้จะมีโอกาสกำไรขาดทุนเท่าไหร่ แต่ก็ต้องยอมสู้ราคา

จุดอวสานของช่อง 7 ในฐานะผู้นำวงการทีวีไทยในอดีต และจุดกำเนิดของช่อง 3 ผู้นำในทศวรรษหน้า

เชื่อได้เลยว่าอีก 10 ปี ข้าง เบอร์ 1 ของวงการทีวีไทยจะเป็นของ BEC เจ้าเดียว
อันดับ 1 ในสมัยโบราณอย่างช่อง 7 ที่ตอนนี้ยังพอสูสีกับช่อง 3 ในฟรีทีวี สุดท้ายจะหล่นลงไปต่ำกว่าอัน 2-3 แน่นอน
และมีโอกาสที่จะมีช่องม้ามืด พุ่งขึ้นมาเสียบอันดับ 2-3 ได้ง่ายๆ เช่น GRAMMY, TRUE

ทำไมถึงมองอย่างนั้น?

Logic ง่ายๆ BEC ประมูลได้ช่องทีวีดิจิตอลมากที่สุด ครอบคลุมที่สุดคือทั้ง HD SD และช่องเด็ก
สามารถออกอากาศเนื้อหารายการได้ครอบคลุม อีกทั้งยังมีเงินทุนซัพพอร์ตไม่อั้นและดำเนินธุรกิจด้านนี้โดยตรง
รวมถึงปัจจุบันมีช่อง 3 ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอันดับ 1 อยู่แล้ว การต่อยอดผู้ชมไปช่องใหม่ๆ ของตัวเองจึงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร

อีกไม่กี่ปีข้าง ช่องฟรีเดิมแบบอะนาล็อก 3 5 7 9  จะหายไป ทุกเจ้าต้องเปลี่ยนผ่านไปสู่ทีวีดิจิตอลที่ตัวเองประมูลได้มา
ช่อง 7 ได้ช่อง HD แต่ กลับพลาดช่อง SD ทำให้จะเกิดปัญหาแน่นอนในช่วงเปลี่ยนผ่าน
เพราะอย่าลืมว่าอีก 3-5 ปีข้างหน้าใช่ว่าทุกครัวเรือนในประเทศไทย หรือทีวีทุกเครื่องจะสามารถรับสัญญาณ HD ได้หมด
ในขณะที่ GRAMMY, TRUE มาแรงที่สุดสำหรับหน้าใหม่ ที่ทุ่มเงินประมูลไปได้ 2 ช่อง

GRAMMY เจ้าแห่งคอนเทนต์ แม้บริษัทตัวเองจะยังกะท่อนกะแท่น เหมือนจะไปไม่รอดแต่ก็สู้ถวายหัวเพื่อให้ได้มาซึ่งฟรีทีวีระบบ HD
อนาคตคอนเทนต์ด้านบันเทิง ถ้าไม่มีความเป็น HD เอาไว้เป็นจุดขาย ยังไงก็อยู่ลำบาก
ถึงแม้ตอนนี้ผู้ชมอาจไม่รู้สึกต้องการหรือเห็นความแตกต่างมาก แต่ในอนาคตเชื่อว่าความเป็น HD จะกลายจุดแข็งและจุดขายให้บริษัทเหล่านี้

TRUE ผงาดขึ้นแท่นผู้ให้บริการครบวงจร และอาจเบียดขึ้นเป็นที่สองธุรกิจมือถือได้ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
หลังจากที่ใช้กลยุทธ์ในทุกๆ ด้าน แผ่ขยายอาณาจักรไปหลายเซ็กเตอร์
TRUE มี 7-11 หนึ่งในตัวเร่งการเพิ่ม Market Share ของผู้ใช้บริการมือถือ มีเคเบิลเป็นของตัวเอง
และกำลังจะมีฟรีทีวีที่จะทะลุทะลวงฐานประชากรได้มากที่สุด เพราะฉะนั้นสินและบริการต่างๆ จากกลุ่มทรูและซีพี
จะพุ่งตรงไปสู่ทุกครัวเรือนตามบ้าน เพิ่มยอดขายและมาร์เก็ตแชร์ได้แบบก้าวกระโดด

ลองหันกลับมามองที่ INTUCH

ความจริงลงทุนไม่กี่พันล้าน ได้มีช่องฟรีทีวีเป็นของตัวเอง เอาไว้ยิ่งโฆษณาของ AIS ตลอดทั้งวัน
ไม่ต้องไปซื้อเวลาโฆษณาแพงตามช่องอื่น คิดแค่นี้ก็คุ้มแล้ว ทำไมไม่ทำ

INTUCH อาจมองมากกว่านั้น ถ้าค่าประมูลทีวีดิจิตอลไม่สูงมาก โอกาสในการดำเนินธุรกิจอาจมีมากกว่า
แต่ยิ่งราคาประมูลสูงมากเท่าไหร่ โอกาสที่บริษัทประมูลได้จะไปไม่รอดมีสูง
ถึงขนาดมองกันว่าในอีก 2-3 ปี ข้างหน้าจะมีผู้รอดเพียงครึ่งเดียวจากทั้งหมด 24 ราย

ถึงตอนนั้น INTUCH สามารถเข้าไปเสียบ ขอร่วมทุนได้สบาย สำหรับช่องที่ดูแล้วมีศักยภาพนำมาพัฒนาต่อได้
และถ้าถึงทางตัน อำนาจการต่อรองจะตกมาอยู่ในมือผู้ที่มีเงินมากกว่า
ถึงแม้กสทช. จะมีกฎว่าถ้าผู้ประกอบการรายเดิมไปไม่รอดจะสามารถหาผู้ร่วมทุนใหม่ได้
แต่ผู้ประกอบการรายเดิมจะต้องถือหุ้นเกิน 50%  ในจุดนี้เอง INTUCH อาจมองว่า
ถ้าเร่งเข้าไปตอนนี้ ความเสี่ยงจะมีมากกว่า สู้ปล่อยให้ 24 รายนี้ลงไปต่อสู้ในสนามจริงก่อน
แล้วรอดูว่าใครจะรอดบ้าง ส่วนใครที่ร่อแร่ก็มีโอกาสเข้าไปเสียบได้ทันที

จุดอ่อนของ INTUCH

INTUCH ก็มีจุดอ่อน ใช่ว่าฐานะทางการเงินแข็งแกร่งแล้วจะอยู่รอดเสมอไป
เพราะจุดอ่อนของ  INTUCH คือ ไม่ได้มีคอนเทนต์เป็นของตัวเอง
ถ้า  INTUCH สู้ราคาและประมูลช่องมาได้จริง จะไปหา Partner ทำคอนเทนต์ดีๆ ให้จากไหน
ในเมื่อผู้ผลิตคอนเทนต์ชั้นนำของเมืองไทยต่างประมูลได้ช่องทีวีดิจิตอลของตัวเองกันหมดแล้ว
ต่อให้ผลิตคอนเทนต์เหล่านี้มาทำให้จริง คิดว่าเขาจะทำคอนเทนต์ให้ดีกว่าที่เผยแพร่ในช่องตัวเองหรือเปล่า
จุดนี้แหละที่สำคัญ เพราะแม่เหล็กดึงดูผู้ชมคือคอนเทนต์ ซึ่งจะเป็นตัวแปรสำคัญในการดึงเม็ดเงินโฆษณา

เพราะฉะนั้นถ้า  INTUCH ประมูลทีวีดิตอล ได้แถมราคาสูงลิบลิ่ว โอกาสที่จะไม่รอดมีสูงกว่า 50%
แต่ถ้ารอให้ 24 ช่องต่อสู้กันไปก่อนในช่วง 2-3 ปีแรก และค่อยหาจังหวะเข้าไปเสียบคนไม่รอดทีหลัง
โอกาสสำเร็จมีมากกว่า โอกาสต่อรองมีมากกว่า เพราตัวเองจะมาในฐานะนายทุน
พร้อมโกยกำไร ถ้าดูท่าไม่ดีก็พร้อมชิ่งได้ทันที ไม่ต้องแบกรับความเสี่ยงเองในฐานะเจ้าของช่อง

โอกาสที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้บริการและสินของตัวเองก็จะมีเพิ่มมากขึ้น เช่นอาจเอา AIS ไปเป็นผู้สนับสนุนหลัก
สามารถยิงโฆษณาได้เรื่อยๆ หลายช่วงตลอดทั้งวันในราคาเหมามาถูกๆ และสามารถทำแบบนี้ได้กับหลายช่อง
ไม่ต้องผูกมัดกับช่องตัวเองเพียงช่องเดียว

ทุกวันนี้ รู้สึกเหมือน TRUE จะกลืนกินการรับรู้ "ภาพความเป็นผู้นำด้านผุ้ให้บริการมือถือ" ในไทย
ด้วยการเร่งปั๊มยอด "จำนวนฐานลูกค้า" ด้วยการแจกซิมฟรีใช้แสตมป์ 7 แลก 1 บาท และโปรโมชันต่างๆ ที่กระหน่ำไปทุกอนูในประเทศไทย
แต่ TRUE ก็ไม่ได้มีดีแค่ปาก เพราะตัวเองก็เร่งพัฒนาและให้บริการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง
แม้แต่ 4G ก็มีก่อน และมากกว่ารายอื่น 3G ก็รุกเต็มสูบ ในขณะที่อนาคต  จะเป็นยุคของโมบายดาต้า
ตัวเองก็ยังมีอินเทอร์เน็ตดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจาก CAT อยู่ในมือ
แม้ผลประกอบการจะขาดทุนต่อเนื่องและยาวนาน แต่ในอนาคต TRUE อาจผงาดขึ้นมาชนิดที่ใครก็คาดไม่ถึง

แม้มาร์เก็ตแชร์จะยังเป็นที่สามคือ TRUEMOVE ประมาณ 25%, DTAC ประมาณ 30%, AIS ประมาณ 43% และที่เหลือเป็นของ TOT CAT
แต่ที่ผ่านมา TRUEMOVE  ได้ Market Share เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในขณะที่ DTAC กลับลดลง
และการเติบโตด้านส่วนแบ่งของ AIS โตลดลงแต่ยังเพิ่มขึ้น

ในจุดนี้ TRUE มีโอกาสก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์ 2 ในด้าน  Market Share ได้ภายในไม่กี่ปีข้างหน้า
ส่วนด้านบริการเช่น 3G, 4G แม้หลายคนจะมีแบรนด์รอยัลตี้กับ AIS ในฐานะผู้นำตลาดมาตลอดในช่วง หลายสิบปีที่ผ่านมา
แต่ตอนนี้ต้องยอมรับในด้านพัฒนา Product ใหม่ๆ ของทรู ที่หลายบริการนำหน้าเบอร์ 1 และเบอร์ 2 ไปหลายขุม
ยังไม่นับรวมการเร่งสปีดและทะลุทะลวง ฐานลูกค้าใหม่ๆ ให้มาใช้บริการของตน

สุดท้ายยังกังวลกับราคาหุ้น NMG ที่หลายคนอาจมองว่าแพงเกินจริงหรือ ถึงเทขายออกมา
ประกอบกับความไม่นอนในเรื่องของทีวีดิจิตอล ที่ยังไม่รู้ว่า NMG จะเป็น 1 ในผู้รอดจากทั้งหมด 24 ช่องหรือเปล่า

http://ppantip.com/topic/31500521

บริษัทเหล่านี้รู้ดีว่ามีโอกาสขาดทุนต่อเนื่องยาวนานหลายปีในช่วงแรกที่เข้ามาทำทีวีดิจิตอล
บางรายที่ไม่มีธุรกิจหลักอย่างอื่นอาจขาดทุนเป็น 5-8 ปี แต่ถ้าไม่เอา อนาคตจะยิ่งริบหรี่กว่านี้
สุดท้ายอาจกลับมาผงาดได้แต่ต้องใช้เวลาเป็น 10 ปี ช่วงนี้นักลงทุนรายย่อยก็ทนแบกหนี้ แบกความขาดทุนให้บริษัทไปก่อน
เห็นชัด เห็นไวกว่าเพื่อนก็ NMG กลุ่มเนชั่นนี่แหละ สุทธิชัย หยุ่น เป็นนักข่าวที่มีหุ้น ไม่ใช่นักลงทุนโดยกำเนิด
เพราะฉะนั้นใน Perspective ของเขาคือความต้องการเป็นผ้นำทางความคิด มีช่องทีวีเป็นของตัวเองโดยไม่สนใจว่าบริษัทจะขาดทุน
หรือนักลงทุนรายย่อยจะเป็นอย่างไร ต่างจากมุมมองของนักลงทุนโดยกำเนิดอย่าง INTUCH ที่มองว่า
ถ้าทำแล้วได้กำไรก็จะทำ แต่ทำแล้วเจ๊งก็ไม่ทำดีกว่า ดังนั้นนักลงทุนรายย่อยที่มีหุ้น INTUCH น่าจะดีใจกว่าที่ INTUCH ตัดสินใจแบบนี้
แล้วเห็นใจนักลงทุนที่มีหุ้น NMG เพราะหวังลมๆ แล้งๆ ว่าประมูลเสร็จจะได้กำไรได้ทันที

คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 8
ต่ออีกนิดครับผมลืมเขียนถึง WORK กับ RS

WORK ของเสี่ยตา รายนี้ไม่หมู แม้จะดูไม่ยิ่งใหญ่ในด้านธุรกิจ
แต่ด้านคอนเทนต์ WORK มาเป็นอับ 1 การันตีมาแล้วด้วยรางวัลรายการยอดเยี่ยมระดับอาเซียนมากมาย
ปัจจุบัน WORK ผลิตรายการป้อนให้ฟรีทีวีแทบทุกช่อง หลายรายการเป็นตัวกะชากเรตติ้งให้ช่องในช่วงเวลานั้นๆ

เพราะฉะนั้นการที่ WORK มาทำทีวีเอง ฟรีทีวีเดิมมีหนาวแน่นอน อย่าลืมว่าตัวเรียกผู้ชมไม่ใช่ช่องโดยตรง แต่เป็นรายการที่นำเสนออยู่ในช่องนั้นๆ
อีกทั้ง WORK เป็นผู้ผลิตคอนเทนต์ได้มากมาย หลากหลายรูปแบบมาก ทั้งเกมโชว์ วาไรตี้โชว์ ทอคโชว์ ทำหมดและทำได้ดีด้วย
WORK รู้ถึงจุดขายของตลาดคนไทย ที่ชอบดูความบันเทิง ดูตลก ผ่อนคลาย ดูเรื่องผี และทำออกมาได้ดีแทบทุกรายการ

รายการพวกนี้ถูกคิดมาเพื่อเจาะกลุ่มคนดูแบบ MASS ซึ่งตรงจุดนี้แหละที่จะสามารถสร้างรายได้จากโฆษณาได้มหาศาล
เชื่อว่าเอเจนซี่โฆษณาคงเล็งช่องของ WORK เป็นอันดับต้นๆ ในลิสต์ที่จะลงโฆษณาแน่ๆ
WORK เน้นเนื้อหา เน้นความบันเทิง เจาะกลุ่มคนดูฐานล่างและกว้างที่สุด คนที่หาเช้ากินค่ำ กลับมาก็ดูตลกผ่อนคลาย
รายการที่ดูได้ทั้งครอบครัว ไม่เจาะเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น หรือผู้ใหญ่ ซึ่งกลุ่มนี้แหละที่โฆษณาสินค้าอุปโภคบริโภคนิยมลงโฆษณา
เพราะได้ผลมากกว่า และสินค้าเหล่านี้ก็มีสัดส่วนการใช้เงินโฆษณสูงมาก

ลองไปดูกราฟตอนนี้ WORK คล้ายๆ กับ NMG นะครับ เหมือนจะไหลลงต่อ แต่ไม่รู้จะเป็นยังไง
ในด้านความเสี่ยงย่อมมี แต่สุดท้ายเชื่อว่า WORK จะพิสูจน์ตัวเองได้และจะเป็นผู้รอดในเกมครั้งนี้

RS ของเฮียฮ้อ ต้องขอชมเฮียมาถูกทาง ทำเพลงไม่รุ่งมาทำทีวีรุ่งกว่า แม้หลายเพลงของ RS จะดังแค่ไหน
ยอดวิวในยูทูบว์จะมีเป็นสิบล้าน แต่มัน Generate รายได้เข้าบริษัทเหมือนที่คิด
แต่พอมาทำทีวีดาวเทียมกลับรุ่ง แต่ละช่องแต่ละรายการดัง ฮิตกันทั่วบ้านทั่วเมือง จนมีโฆษณาแน่น สร้างรายได้เข้าบริษัทมหาศาล
การนำตัวเองไปสู่ฟรีทีวีจึงเป็นโอกาสสำหรับ RS ในฐานะที่มีคอนเทนต์ที่แข็งแกร่งและมีฐานคนดูจำนวนนึงอยู่แล้ว
และถ้าคอนเทนต์ต่างๆ ของ RS ติดตามตลาด MASS ได้ นั่นย่อมหมายถึงเม็ดเงินโฆษณามหาศาลจะไหลมาสู่ RS อย่างแน่นอน
และโอกาสที่จะเป็นแบบนั้นก็มีสูง ถ้าวัดจากกระแสความนิยมของรายการต่างๆ ในช่อง 8 และ Starmax ของ RS ที่ออกอากาศผ่านดาวเทียมในปัจจุบัน

การปรับเปลี่ยนจากธุรกิจเพลงอย่างเดียวที่อิงกับรายได้จากการขายเพลง โดยเฉพาะการดาวน์โหลดเหมือนแต่ก่อนที่มันไปไม่รอดแล้ว
มาเป็นการทำทีวีและขยายสู่ด้านกีฬาเป็นสิ่งที่มาถูกทาง คอนเทนต์ด้านกีฬาที่ RS ไล่ซื้อลิขสิทธ์มาจะเป็นอีก 1 เครื่องมือทำเงินให้บริษัท

RS น่าจับดูตอนที่จะเข้ามาสู่อาณาจักรฟรีทีวี รายการต่างๆ ในทีวีดิจิตอลจะฮิตเหมือนในดาวเที่ยมหรือเปล่า
ถ้าฮิตไม่แพ้กัน RS เตรียมฟินได้เลย กลุ่มทาร์เก็ตวัยรุ่นและคนรุ่นใหม่น่าจะไหลไปที่ช่องของ RS ไม่มากก็น้อย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่