สื่อทีวีท้าทายหนัก เมื่อ King of Content “เวิร์คพ้อยท์” ยังขาดทุน
เวิร์คพ้อยท์ เป็น Case study ของผู้ผลิตที่พลิกบทบาทมาเป็นเจ้าของช่องเอง ด้วยการประมูลทีวีดิจิทัล ภายใต้ชื่อ “ช่องเวิร์คพอยท์” เมื่อปี 2557 และสามารถบริหารทั้งคอนเทนต์และแพลตฟอร์มได้สำเร็จ ตั้งแต่ยุคสงครามทีวีดิจิทัลเริ่มต้น
ในช่วงนั้นได้ดึงรายการดังที่เคยผลิตลงช่องอื่น ๆ กลับมาออนแอร์ทางช่องของตัวเอง ในขณะที่ช่องยักษ์ใหญ่ใช้ละครเป็นตัวดึงคนดู มีดาราดัง ณเดชณ์ ญาญ่า เวียร์ อั้ม แต่เวิร์คพ้อยท์มีปัญญา หม่ำ เท่ง โหน่ง เป็นตัวหลักในการทำโลคอลคอนเทนต์ ทั้งเกมโชว์ ควิซโชว์, เรียลลิตี้เกมโชว์
โดยเฉพาะรายการ “เพลง” ที่เป็น Content Killer พิชิตใจมหาชนคนจอแก้ว เช่น I can see your voice, ไมค์ทองคำ, The Mask Singer, ร้องข้ามกำแพง รายการประเภทนี้จะเข้าถึงกลุ่มรากหญ้าได้ง่าย ซึ่งเป็นกลุ่มหลักที่บริโภคสื่อทีวี
ดังนั้น ไม่ว่าสงครามทีวีดิจิทัลจะดุเดือดอย่างไร แต่เวิร์คพ้อยท์สามารถสร้างเรตติ้งของช่องได้อย่างแข็งแรงในระดับทอป 5 ได้มาโดยตลอด
แม้จะต้องเจอกับอุปสรรคสำคัญที่คนดูทีวีน้อยลง ไปดูรายการทางแพลตฟอร์มใหม่ ๆ มากขึ้น และเม็ดเงินโฆษณาที่เข้ามาก็น้อยลงตาม แต่ถ้าดูรายได้ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาของเวิร์คพ้อยท์ก็ไม่ได้ลดลงอย่างน่าตกใจ ยังอยู่ประมาณ 2,300-2,500 ล้านบาททุกปี แต่กำไรสิน่าใจหาย ปี 2564 กำไร 324 ล้านบาท ปี 2565 กำไร 171 ล้านบาทปี 2566 กำไร 13 ล้านบาท
ส่วนปี 2567 พลิกกลับเป็นขาดทุน 201 ล้านบาท เป็นการขาดทุนครั้งแรกในรอบ 10 ปี ตั้งแต่เป็นเจ้าของช่องเอง
สำหรับรายได้รวมในปี 2567 (ไม่รวมรายได้อื่น) เท่ากับ 2,339.78 ล้านบาท ลดลง 79.34 ล้านบาท หรือลดลง 3% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ซึ่งมีรายได้รวม (ไม่รวมรายได้อื่น) 2,419.12 ล้านบาท
เวิร์คพ้อยท์มีรายได้มาจาก 3 ขาหลักคือ
1. การขายโฆษณาจากธุรกิจรายการโทรทัศน์ รายได้จากธุรกิจรายการโทรทัศน์ เช่น รายได้จากการขายโฆษณาและโปรโมตในช่วงเวลาต่าง ๆ ของช่อง WORKPOINT และช่องทางสื่อออนไลน์ต่าง ๆ ของบริษัท รวมถึงรายได้จากการให้เช่าช่วงเวลาให้แก่บุคคลภายนอก, รายได้จากการรับจ้างผลิตรายการ และรายได้จากการจำหน่ายลิขสิทธิ์รายการไปยังต่างประเทศ
2. ธุรกิจรับจ้างจัดงาน Event ต่าง ๆ และ
3. ธุรกิจคอนเสิร์ตและละครเวที
แต่เมื่อรายได้หลักที่มาจากจากโฆษณาลดลงต่อเนื่อง และต้นทุนในการผลิตเพิ่มขึ้น
ถึงแม้รายได้จาก 2 ขาที่เหลือจะเพิ่มขึ้นแต่ดูเหมือนไม่ช่วยอะไร
ปี 2567 ธุรกิจรับจ้างจัดงาน Event ต่าง ๆ มีรายได้ 282 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 78% ส่วนธุรกิจคอนเสิร์ตและละครเวทีมีรายได้ 323 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11%
ปี 2568 เวิร์คพ้อยท์จะไปต่ออย่างไร ตามแผนที่ผู้บริหารได้ออกมาบอกก็มีหลายแนวทาง เช่น เลิกผลิตละครตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป หลังจากรื้อฟื้นกลับมาผลิตอีกเมื่อปี 2565 เพื่อลดต้นทุน
จะเพิ่มสัดส่วนรายการ Tailor-Made และขายแพ็กเกจแก่ลูกค้าในรูปแบบดังกล่าวให้มากขึ้น และการสร้างรายได้จากการพัฒนาศิลปิน รวมทั้งจะลดการจัดคอนเสิร์ตศิลปินต่างประเทศลง เพื่อลดผลกระทบจากการแข่งขัน
สำหรับงานเทศกาลดนตรีในประเทศนั้นบริษัทมีแผนที่จะจัดทำร่วมกับพันธมิตรค่ายเพลงอื่น ๆ ผ่านการลงทุนร่วมกัน
ส่วนคอนเทนต์หน้าจอทีวีนั้นจะสามารถนำจุดแข็งเดิม ๆ มาสร้างรายได้หลักของโฆษณาได้อีกหรือไม่นั้นเป็นความท้าทายอย่างหนักของ “เสี่ยตา” ปัญญา นิรันดร์กุล และผู้บริหาร
ที่มา : marketeeronline
สื่อทีวีท้าทายหนัก เมื่อ King Of Content " เวิร์คพ้อยท์" ยังขาดทุน
ในช่วงนั้นได้ดึงรายการดังที่เคยผลิตลงช่องอื่น ๆ กลับมาออนแอร์ทางช่องของตัวเอง ในขณะที่ช่องยักษ์ใหญ่ใช้ละครเป็นตัวดึงคนดู มีดาราดัง ณเดชณ์ ญาญ่า เวียร์ อั้ม แต่เวิร์คพ้อยท์มีปัญญา หม่ำ เท่ง โหน่ง เป็นตัวหลักในการทำโลคอลคอนเทนต์ ทั้งเกมโชว์ ควิซโชว์, เรียลลิตี้เกมโชว์
โดยเฉพาะรายการ “เพลง” ที่เป็น Content Killer พิชิตใจมหาชนคนจอแก้ว เช่น I can see your voice, ไมค์ทองคำ, The Mask Singer, ร้องข้ามกำแพง รายการประเภทนี้จะเข้าถึงกลุ่มรากหญ้าได้ง่าย ซึ่งเป็นกลุ่มหลักที่บริโภคสื่อทีวี
ดังนั้น ไม่ว่าสงครามทีวีดิจิทัลจะดุเดือดอย่างไร แต่เวิร์คพ้อยท์สามารถสร้างเรตติ้งของช่องได้อย่างแข็งแรงในระดับทอป 5 ได้มาโดยตลอด
แม้จะต้องเจอกับอุปสรรคสำคัญที่คนดูทีวีน้อยลง ไปดูรายการทางแพลตฟอร์มใหม่ ๆ มากขึ้น และเม็ดเงินโฆษณาที่เข้ามาก็น้อยลงตาม แต่ถ้าดูรายได้ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาของเวิร์คพ้อยท์ก็ไม่ได้ลดลงอย่างน่าตกใจ ยังอยู่ประมาณ 2,300-2,500 ล้านบาททุกปี แต่กำไรสิน่าใจหาย ปี 2564 กำไร 324 ล้านบาท ปี 2565 กำไร 171 ล้านบาทปี 2566 กำไร 13 ล้านบาท
ส่วนปี 2567 พลิกกลับเป็นขาดทุน 201 ล้านบาท เป็นการขาดทุนครั้งแรกในรอบ 10 ปี ตั้งแต่เป็นเจ้าของช่องเอง
สำหรับรายได้รวมในปี 2567 (ไม่รวมรายได้อื่น) เท่ากับ 2,339.78 ล้านบาท ลดลง 79.34 ล้านบาท หรือลดลง 3% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ซึ่งมีรายได้รวม (ไม่รวมรายได้อื่น) 2,419.12 ล้านบาท
เวิร์คพ้อยท์มีรายได้มาจาก 3 ขาหลักคือ
1. การขายโฆษณาจากธุรกิจรายการโทรทัศน์ รายได้จากธุรกิจรายการโทรทัศน์ เช่น รายได้จากการขายโฆษณาและโปรโมตในช่วงเวลาต่าง ๆ ของช่อง WORKPOINT และช่องทางสื่อออนไลน์ต่าง ๆ ของบริษัท รวมถึงรายได้จากการให้เช่าช่วงเวลาให้แก่บุคคลภายนอก, รายได้จากการรับจ้างผลิตรายการ และรายได้จากการจำหน่ายลิขสิทธิ์รายการไปยังต่างประเทศ
2. ธุรกิจรับจ้างจัดงาน Event ต่าง ๆ และ
3. ธุรกิจคอนเสิร์ตและละครเวที
แต่เมื่อรายได้หลักที่มาจากจากโฆษณาลดลงต่อเนื่อง และต้นทุนในการผลิตเพิ่มขึ้น
ถึงแม้รายได้จาก 2 ขาที่เหลือจะเพิ่มขึ้นแต่ดูเหมือนไม่ช่วยอะไร
ปี 2567 ธุรกิจรับจ้างจัดงาน Event ต่าง ๆ มีรายได้ 282 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 78% ส่วนธุรกิจคอนเสิร์ตและละครเวทีมีรายได้ 323 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11%
ปี 2568 เวิร์คพ้อยท์จะไปต่ออย่างไร ตามแผนที่ผู้บริหารได้ออกมาบอกก็มีหลายแนวทาง เช่น เลิกผลิตละครตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป หลังจากรื้อฟื้นกลับมาผลิตอีกเมื่อปี 2565 เพื่อลดต้นทุน
จะเพิ่มสัดส่วนรายการ Tailor-Made และขายแพ็กเกจแก่ลูกค้าในรูปแบบดังกล่าวให้มากขึ้น และการสร้างรายได้จากการพัฒนาศิลปิน รวมทั้งจะลดการจัดคอนเสิร์ตศิลปินต่างประเทศลง เพื่อลดผลกระทบจากการแข่งขัน
สำหรับงานเทศกาลดนตรีในประเทศนั้นบริษัทมีแผนที่จะจัดทำร่วมกับพันธมิตรค่ายเพลงอื่น ๆ ผ่านการลงทุนร่วมกัน
ส่วนคอนเทนต์หน้าจอทีวีนั้นจะสามารถนำจุดแข็งเดิม ๆ มาสร้างรายได้หลักของโฆษณาได้อีกหรือไม่นั้นเป็นความท้าทายอย่างหนักของ “เสี่ยตา” ปัญญา นิรันดร์กุล และผู้บริหาร
ที่มา : marketeeronline