ขอเปิดพื้นที่ให้กับความคิดที่แตกต่างได้แสดงตัว เพื่อหาทางออกอื่นๆ และส่งเสียงอื่นๆ บ้าง

กระทู้สนทนา


คุณนิ้วกลมบอกกับเราว่าเห็นด้วยกับการเลือกตั้ง แต่ในจุดนี้ สถานการณ์ตอนนี้ นี้คือสิ่งที่คุณนิ้วกลมอยากสื่อสาร และอยากชวนกันคิดค่ะ

" เราจำเป็นต้องเปิดพื้นที่ให้กับความคิดที่แตกต่างได้แสดงตัว เพื่อหาทางออกอื่นๆ และส่งเสียงอื่นๆ บ้าง โดยไม่รีบ "พิพากษา" หรือ "ป้ายสี" ให้คนที่ออกมาแสดงตัวกลายเป็นเพียงหนึ่งในขั้วความขัดแย้ง เช่น กิจกรรมจุดเทียนหรือปล่อยลูกโป่งที่ถูกกล่าวหาว่าเป็น "แดงแปลงกาย" ทั้งที่ในคนจำนวนนั้นอาจมีทั้งแดง ทั้งไม่แดง ซึ่งการผลักคนที่เห็นต่างจากตนเองไปเป็นฝั่งตรงข้ามตลอดเวลาเช่นนี้ เป็นการมองโลกแบบทวิลักษณ์ "ไม่เป็นพวกฉันต้องเป็นพวกมัน" ซึ่งยิ่งเพิ่มความรู้สึก "พวกกู-พวง" มากยิ่งขึ้น จนเราไม่คิดจะมองหา "จุดร่วม" ของเรากับคนอื่นๆ ที่หลากหลายไปกว่าชื่อเรียกแคบๆ เหล่านั้นอย่าง แดง เหลือง สลิ่ม แมลงสาบ ควาย ฯลฯ

การพิพากษาเช่นนี้ ทำให้เราไม่ได้ยินเสียงของคนที่ไม่เห็นด้วย เพราะหลายคนที่เป็น "พลังเงียบ" ไม่กล้าแสดงตัว เพราะพอแสดงความคิดเห็นที่ไม่ตรงใจ "มวลมหาประชาชน" ก็อาจจะถูกพิพากษาว่าเป็นอีกฝ่ายหนึ่ง ทั้งที่เขาอาจจะไม่เห็นด้วยทั้งกับนกหวีดและเพื่อไทยก็เป็นได้ เช่นกันกับที่เขาอาจจะมีบางส่วนที่เห็นด้วยกับชาวนกหวีด เช่น เห็นด้วยกับข้อเรียกร้อง แต่ไม่เห็นด้วยกับวิธีการเรียกร้อง ฯลฯ

ผมเชื่อว่ายังมีคนกลุ่มนี้อีกเป็นจำนวนมาก ผมคิดว่าการเปิดพื้นที่ให้ได้ยินเสียงของคนกลุ่มนี้เป็นเรื่องสำคัญ เพื่อส่งสัญญาณว่า ยังมีคนอีกเป็นจำนวนมากที่ไม่เห็นด้วยกับการเดินหน้าเพื่อนำไปสู่ทางตันของทั้งสองฝ่าย ซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อความรุนแรง และการรัฐประหาร

หากลดน้ำเสียงลักษณะที่ว่า "ไม่ใช่กู ก็เป็นพวกมัน" ลดบ้าง เราจะได้ยินเสียงกลางๆ ที่ยังเชื่อในระบบและกติกาดังขึ้น ซึ่งในระยะยาวนั้นน่าจะเป็นข้อดี เราควรสลายขั้วและสลายวิธีการมองเพื่อนร่วมสังคมแบบ "ไม่แดง ก็เหลือง" หรือ "ไม่เหลือง ก็แดง" ได้หรือยัง เพราะบางที คนที่ถูกป้ายสีว่าแดงหรือเหลืองก็มีความคิดตรงกันในหลายเรื่อง แต่ทันทีที่ถูกขีดเส้นจากการกระทำเพียงครั้งเดียวหรือไม่กี่ครั้ง เราก็เลิกฟังกันไปแล้ว

คนที่ถูกมองว่าเหลือง ก็ใช่ว่าจะไม่เอาประชาธิปไตย
คนที่ถูกมองว่าแดง ก็ใช่ว่าจะเอาคอร์รัปชั่น
อย่างน้อยก็ไม่ใช่ทุกคน หากเราไม่เรียกกันว่าสีนั้นสีนี้ เราก็จะเห็นว่า บางครั้งความคิดความเห็นของแต่ละคนไม่ต่างกันมากนัก แค่อาจให้น้ำหนักไม่เท่ากัน ซึ่งก็แลกเปลี่ยนกันได้มิใช่หรือ

แน่นอนว่า เดินกันมาถึงจุดนี้ คงไม่มีใครกล้าฝันถึงสังคมที่ปราศจากความขัดแย้งอีกต่อไป แต่เราสามารถขัดแย้งกันอย่างให้เกียรติกันได้ เคารพในความคิด และในสถานะความเป็นคนเหมือนกันของอีกฝ่าย เถียงกันด้วยเหตุผล ไม่ก่นด่าคนที่ไม่เหมือนเราอย่างดูถูกเหยียดหยาม เพราะนั่นยิ่งทำให้เราคุยกันไม่ได้ เราเกลียดกัน และที่แย่ที่สุดคือ ไม่มีใครกล้าพูดความเห็นต่าง ไม่มีใครอยากแสดงความคิด ซึ่งนั่นจะทำให้เรากลายเป็นสังคมประชาธิปไตยที่พิการ ไม่มีความเห็นที่หลากหลายอย่างที่ควรจะเป็น ทั้งที่การแสดงความคิดเห็นของแต่ละคนนั้นเป็นสิทธิและเสรีภาพที่พึงจะมีในสังคมประชาธิปไตย แต่กลับกลายเป็นว่า เราสามารถพูดได้ตาม "กฎหมาย" แต่พูดไม่ได้ทาง "วัฒนธรรม" เพราะคนจำนวนหนึ่งในสังคมไม่ยอมรับความเห็นต่าง และผลักให้ไปอยู่ฝ่ายตรงข้ามเสียจนไม่กล้าพูด ซึ่งความกัดดันหรือการควบคุมทางสังคมแบบนี้ บางครั้งส่งผลแรงไม่น้อยไปกว่ากฎหมายเลย

หากเราเป็นสังคมประชาธิปไตยจริง ทุกความคิดต้องมีสิทธิส่งเสียง และต้องได้รับการเคารพในฐานะความคิดหนึ่ง เท่ากับความคิดของทุกคนมิใช่หรือ และไม่ใช่สิ่งนี้หรอกหรือที่ทำให้สังคมประชาธิปไตยมีคุณค่าและงดงาม--ความหลากหลายทางความคิด และการอดทนกับความคิดที่แตกต่าง"


เข้าไปอ่านฉบับเต็ม (ฉบับยาวววว แต่ควรค่าแก่อ่านให้จบ) ได้ที่เฟสบุ๊คคุณนิ้วกลมค่ะ

https://www.facebook.com/photo.php?fbid=748709845157928&set=a.151965738165678.35030.141179435910975&type=1&theater
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่