O อำนาจการเมืองไทยที่แท้จริง .. อยู่ที่ใคร ? .. O

กระทู้สนทนา
ตั้งประเด็นนี้ขึ้นมา .. เพราะมองเห็นถึงความไขว้เขว เข้าใจผิดที่มีมาอย่างยาวนาน .. ของผู้คนในสังคมนี้ !
เมื่อจับเอารัฐประหาร เมื่อ 19 กันยายน 2549 มาชำแหละ ผึ่งแดด ตรวจสอบดู .. เราจะเห็นปรากฎการณ์ที่แปลกประหลาดอยู่ประการหนึ่ง ..
เนื่องจากว่า .. ผู้ที่เป็นกำลังหลักที่สามารถใช้กำลังทหารบกเพื่อยึดอำนาจรัฐได้นั้น ต้องเป็น ผบ.ทบ. เท่านั้น และ มีผบ.พล.1 รอ. เป็นตัวหนุนเสริมสำคัญ ..

หากไม่มีสองบุคคลนี้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงแล้ว .. มีความเป็นไปได้น้อยที่การทำรัฐประหารจะประสบความสำเร็จ .. โดยให้ดูกรณี พล.อ.ฉลาด หิรัญศิริ เป็นตัวอย่าง ที่ถึงกับเดินเข้าสู่หลักประหารถูกยิงเป้า !

ดังความว่า ..
.............................
เหตุการณ์กบฎ.
เหตุการณ์เริ่มขึ้นในตอนเช้ามืดของวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ.2520

เวลา 09.15 น. กลุ่มผู้ก่อการออกประกาศในนามคณะปฏิวัติ อ้างชื่อพลเอกประเสริฐ ธรรมศิริ เป็นหัวหน้า ผ่านทางวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ในขณะที่ฝ่ายรัฐบาลโดยพลเรือเอก สงัด ชลออยู่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ออกประกาศแต่งตั้งพลเอก เสริม ณ นคร เป็นผู้อำนวยการรักษาพระนคร เพื่อต่อต้านการปฏิวัติ

เวลา 10.15 น. ฝ่ายรัฐบาลได้ออกแถลงการณ์ทางสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 ชี้แจงสถานการณ์และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อประชาชน โดยยืนยันว่ากำลังทหาร 3 เหล่าทัพและตำรวจยังเป็นของรัฐบาล พร้อมชี้แจงว่าพลเอก ประเสริฐ ธรรมศิริถูกบีบบังคับและแอบอ้างชื่อ

สถานการณ์ของกลุ่มผู้ก่อการแย่ลงเป็นลำดับ เมื่อมีการใช้อาวุธปืนสังหาร พลตรี อรุณ ทวาทศิน ซึ่งถูกควบคุมตัวอยู่โดยอ้างว่าพลตรีอรุณเข้าแย่งปืน และในช่วงสายก็เป็นที่แน่ชัดว่านอกจากกำลังทหารที่นำมา ไม่ปรากฏกองกำลังในกรุงเทพ ฯ เข้าร่วมก่อการด้วย ฐานอำนวยการปฏิวัติที่ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก สวนรื่นฤดีก็เริ่มถูกปิดล้อมจากรถถังของฝ่ายรัฐบาล พอถึงเวลา 13.30 น. การออกอากาศของกลุ่มผู้ก่อการก็ต้องยุติลงเมื่อสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยถูกตัดกระแสไฟฟ้า

ในขณะที่กลุ่มผู้ก่อการตกอยู่ในฝ่ายเสียเปรียบ และเริ่มมีทหารบางส่วนยอมวางอาวุธและมอบตัวกับฝ่ายรัฐบาล พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด และเป็นเลขาธิการคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินด้วย ได้เข้าเจรจากับกลุ่มผู้ก่อการจนได้ข้อยุติ

เวลา 20.30 น. รัฐบาลออกแถลงการณ์ชี้แจงเรื่องการยินยอมให้บุคคลชั้นหัวหน้าของกลุ่มผู้ก่อการ 5 คนคือ ..
1. พลเอก ฉลาด หิรัญศิริ
2. พันโท สนั่น ขจรประศาสน์
3. พันตรี บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์
4. พันตรี วิศิษฐ์ ควรประดิษฐ์
5. และพันตรี อัศวิน หิรัญศิริ บุตรชายของพลเอกฉลาด
เดินทางออกนอกประเทศได้ เพื่อแลกเปลี่ยนกับการปล่อยตัวพลเอกประเสริฐ ธรรมศิริ กับพลเอกประลอง วีระปรีย์

อย่างไรก็ตาม ในเวลา 21.00 น. ขณะที่ผู้ก่อการทั้ง 5 เดินทางถึงสนามบินดอนเมืองและได้ขึ้นไปนั่งรอบนเครื่องบิน เพื่อเตรียมจะออกเดินทางไปประเทศไต้หวัน ทั้งหมดก็ถูกนำตัวลงมาและถูกดำเนินคดีในข้อหากบฏ โดยรัฐบาลให้เหตุผลในเวลาต่อมาว่าเพราะรัฐบาลไต้หวันไม่อนุญาตให้ผู้ก่อการลี้ภัย และทางไทยไม่คิดส่งผู้ก่อการไปประเทศใดอีก การดำเนินคดีนี้เป็นไปอย่างเร่งรัดและเฉียบขาด

ในวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2520 รัฐบาลได้ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2519มาตรา 21 ตัดสินลงโทษโดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรมปกติ มีคำสั่งให้ถอดยศ และประหารชีวิตนายฉลาด หิรัญศิริ และจำคุกตลอดชีวิตผู้ก่อการที่เหลืออีก 4 คน ซึ่งต่อมาได้ลงโทษจำคุกตลอดชีวิตเพิ่มอีก 8 คน รวมเป็น 12 คน

นอกจากนั้นยังมีผู้ได้รับโทษลดหลั่นลงมาอีก 11 คน ซึ่งในจำนวนนี้มีพลเรือนที่พลเอกฉลาดชักชวนมา อาทิ นายพิชัย วาสนาส่ง นายสมพจน์ ปิยะอุย นายวีระ มุสิกพงศ์ ภายหลังทั้งหมดได้รับการนิรโทษกรรมเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2520

วิกิพีเดีย.
..............................
นั่นคือตัวอย่างของความล้มเหลว ในอดีต ! หนึ่งในหลายๆครั้ง
กรณี 19 กันยายนที่สำเร็จ เพราะ มี ผบ.ทบ.คือบิ๊กบัง พล.อ.สนธิ บุนยรัตกลิน และ ผบ.พล.1รอ. เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ .. คือ พล.ต.พฤณท์ สุวรรณทัต

พล.ต.พฤณท์ สุวรรณทัต ผบ.พล.1 เพื่อนร่วมรุ่นของ พตท.ทักษิณ นายกรัฐมนตรีขณะนั้น .. จึงถูกเชิญตัว"เก็บไว้" จะได้ไม่กีดขวางการจราจรที่กำลังพลุกพล่านอย่างหนัก !

ดังความว่า ..

ต่อมา พล.อ.สนธิ ได้มีคำสั่งเรียกตัว พล.ต.ศานิต พรหมมาศ ผบ.พล. ม.2 และ พล.ต.พฤณท์ สุวรรณทัต ผบ.พล.1 เข้าพบ และแจ้งให้นายทหารทั้งสองทราบว่า ขณะนี้ได้ทำการรัฐประหารแล้ว หากกลุ่ม ตท.10 ไม่เห็นด้วยกับปฏิบัติการครั้งนี้ ก็ให้วางเฉย อย่าได้ขัดขวางเป็นอันขาด โดยรับปากว่าจะไม่มีการคำสั่งปลดหรือโยกย้ายกลุ่ม ตท.10
เมื่อคุยกันประสาพี่น้องที่เคย “กินข้าวหม้อเดียวกันมา” อย่างไม่มีปัญหา ผบ.ทบ.จึงสั่งการให้กักตัวทั้งสองไว้ที่ บก.ทบ.ชั่วคราว .

นั่น มันอดีต !

ที่ต้นเหตุการโค่นล้มอำนาจ พตท.ทักษิณ ดูเหมือนว่าจะเกิดจากอำนาจทหารในกองทัพ ?
ทีนี้เมื่อมาดูที่ความเป็นไปในปัจจุบัน
ไม่ว่า นปช. ไม่ว่า เพื่อไทย ไม่ว่า เสื้อแดง กลุ่มไหนๆ .. ไม่มีสักแอะที่จะพูดไปถึง สนธิ บุนยรัตกลิน หรือ สะพรั่ง กัลยาณมิตร หรือ อนุพงษ์ เผ่าจินดา เลย .. จริงไหม ?
เราไม่เคยได้ยินการต่อต้าน ต่อบุคคลที่โค่นล้ม พตท.ทักษิณ กลุ่มนี้อีกเลย หลังเหตุการณ์ผ่านพ้น ?
แต่เรากลับ ได้ยินแต่เสียง ก่นด่า โคตรเหง้าของทั้ง ประชาธิปัตย์ อภิสิทธิ์ สุเทพ รวมทั้ง เสื้อหลากสี ฯลฯ .. แทน ?
ทั้งๆที่ จำได้ว่า ในคืน 19 กันยายน 2549 นั้น ปชป.พร้อมเครือข่าย ไม่มีส่วนในการโค่นล้มอำนาจรัฐขณะนั้น .. เพราะไม่มีกำลังอำนาจอะไรในมือ ..
น่าแปลกใจไหมว่า ทำไม กลุ่มเสื้อแดงและแนวร่วม จึงเบนเป้าหมายการต่อต้าน การโจมตี มาที่กลุ่ม ปชป . เสื้อเหลือง . เสื้อหลากสี (สลิ่ม) พร้อมแนวร่วม ในปัจจุบัน อย่างที่เป็นอยู่ ?

แปลว่าอะไร ?

แปลว่า นายทหารใหญ่ทั้งหลายเมื่อพ้นไปจากอำนาจในกองทัพ
ก็เป็น no body เท่านั้นเอง !
จึงย่อมมิใช่เป้าหมายแห่งการแย่งชิงอำนาจรัฐอีกต่อไป - จริงไหม
นับไล่มาตั้งแต่ กลุ่ม จปร.5 โน่นเลยที่นำโดยหัวขบวน สุจินดา คราประยูร ที่ในปัจจุบัน เด็กรุ่นใหม่ส่วนมากคงไม่รู้จักแม้แต่ชื่อ ! - 555
มองแคบลงมาหน่อยก็ได้
เอาเฉพาะ ผบ.ทบ.
จับจ้องมาตั้งแต่ บิ๊กซัน .. พล.อ.อาทิตย์ กำลังเอก ผู้ช่วยดับซ่า จปร.7 อันมี ..
มนูญ รูปขจร
ประจักษ์ สว่างจิต
พัลลพ ปิ่นมณี
จำลอง ศรีเมือง
ฯลฯ

ลงได้อย่างราบคาบในกรณีเมษาฮาวาย .. ดวงตะวันจึงแผ่รังสีปกคลุมท้องฟ้าจนแทบไม่มีมดสักตัวจะรอดพ้นแสงร้อนแรงนี้ไปได้ !
แต่ .. อำนาจในกองทัพ .. เป็นอำนาจที่ถูกมอบหมายให้ใช้ได้เพียงช่วงระยะเวลาหนึ่งๆเท่านั้น .. มันมิได้ติดกับตัวบุคคล .. จนเมื่อรู้สึกว่าจะดวงอาทิตย์ดวงนี้จะ"ร้อนแรง"ไปหน่อยแล้ว ..

เช้าวันหนึ่ง .. นสพ.ระดับชาวบ้านอ่าน แต่มียอดขายสูงสุด ก็พาดหัวตัวเท่าหม้อแกงเพียง 3 คำ .. "สั่งปลด .. อาทิตย์" .. เพราะเก้าอี้แห่งอำนาจที่นั่งทัพอยู่นั้น มันทำให้ "ตัวกู" ลุกโพลงแล้วจึงบ่อยครั้งที่ขยายออกไปกระทบกระทั่งกับ .. "ผู้มากบารมี" .. เข้าอย่างช่วยไม่ได้ และเหมือนว่าอย่างท้าทาย อยู่เป็นระยะ ..

จึงต้องจัดการ "ดับดวงอาทิตย์" ซะ

เพื่อสังคมนี้จะได้รับรู้ซะมั่งว่า "ใครเป็นใคร" - โดยไม่ต้องเดาสะเปะสะปะอีกต่อไป

หลังจากเอาชะแลงคอยกระแซะดวงตะวันอยู่นาน .. จิ๋ว หวานเจี๊ยบ ก็ไต่บันไดขั้นที่ 3 ได้สำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ คือ
บันไดขั้นที่ 1 .. เจ้ากรมยุทธการทหารบก - เป้นที่มาให้นายวรรณ ซันซื่อ เรียก "ท่านเจ้ากรม"จนติดปากมาแต่บัดนั้น
บันไดขั้นที่ 2 .. เสนาธิการทหารบก
บันไดขั้นที่ 3 .. ผบ.ทบ.

เรียบร้อยโรงเรียน บิ๊กจิ๋ว .. พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ

และมีน้องๆ จปร.5 ที่น่ารักนั่งคอยกินจานข้าวที่ พี่จิ๋ว กำลังกินอยู่ แบบที่เรียกว่า น้ำลายหยดติ๋งๆ .. ด้วยความทรมานใจ .. เพราะท่านพี่คนนี้ หัวดี เรียนเก่ง เป็นที่ 1 ของรุ่น จปร.1 ที่เพื่อนจ๊อด พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ ยอมรับทั้งปากและใจ

ขณะนั่งทับอำนาจที่บันไดขั้นที่ 3 นั้น ท่านพี่จิ๋วเพิ่ง 55 เอง และน้องสุ (พล.อ.สุจินดา คราประยูร - เบอร์ 1 จปร.5) ก็อายุไล่ๆกัน เพราะเรียนช้ากว่าเพื่อนในรุ่น เพราะติดหมอจุฬาแล้วไม่เอา ขอสอบใหม่เข้านายร้อยเพราะมันเท่กว่าเยอะ - 55

เวลาที่เหลือ นานตั้ง 5 ปี .. ใครจะไปรอไหว -
น้องๆก็เลยสะกิดสีข้าง เช้าเย็น .. เผื่อพี่จิ่วจะรำคาญลุกให้นั่งก่อนเวลาบ้าง เท่านั้น - ด้วยความเคารพพี่จิ่วอย่างสูงสุด
ก็เลยทั้งผลัก ทั้งดัน (ใช้มือนะ .. ไม่ใช่เบื้องล่าง .. 55)
พี่จิ๋วจึงจำต้องออกมาตั้งความหวังใหม่ (ที่รวบรวมบรรดาผู้กว้างขวางไว้ในพรรคเพียบ .. เพื่อความหวังใหม่ๆ จริงๆ ) โดยมีน้องๆในกองทัพคอยเป็นแนวร่วมด้านกำลังใจให้อย่างเต็มที่ ..

แล้วอำนาจก็ไม่เข้าใครออกใคร

จปร.5 ที่กร่างคับบ้านคับเมือง ก็ล้มล้างอำนาจรัฐบาลน้าชาติ ที่มาจากการเลือกตั้ง ลงอีกครั้ง ..
ครั้งนั้น ง่ายดาย ไม่มีเรื่องให้ยืดเยื้อ ติดตามเป็นมหากาพย์แบบ ครั้งหลัง 19 กันยายน 2549 ?

เพราะอะไร ?

คนในแวดวง คนเสื้อแดง เกิดทันกันรึยัง ?
มีความคิดอ่านทางการเมืองกันรึยัง ? .. ทั้ง ..
วีระ มุสิกพงศ์ .. ที่มีชื่อในข่าวข้างบน - กบฎ ฉลาด หิรัญศิริ
เหวง โตจิราการ .. กับสมาพันธ์สองหมอ (หมอสันต์ หัตถีรัตน์) อันนี้รับทราบและยอมรับบทบาทปัจจุบันได้เพราะมีอดีตการต่อสู้ .. ในประวัติศาสตร์
ธิดา ถาวรเศษฐ์
ก่อแก้ว พิกุลทอง
วิภูแถลง
จตุพร พหรมพันธ์
ณัฐวุฒิ ไสเกื้อ
ฯลฯ
อุดมการณ์ทางการเมือง ควรเกิดในจิตคนเราได้ตั้งแต่วัยไหน ?
อุดมการณ์ทางการเมือง ควรเลือกเกิดกับคนที่เรารักเท่านั้น หรือไม่ ?
อุดมการณ์ทางการเมือง ควรเลือกเกิดหลังจากการฟัง อ่าน มามากๆก่อนหรือไม่ ? ..

หรือควรเป็นพฤติของจิตที่ขวักไขว่มาตั้งแต่เริ่มวัยรุ่น และสามารถแสดงออกได้บนพื้นฐานของเหตุผลที่เหมือนกันทุกกาละและโอกาส โดยไม่เลือกตัวบุคคล ..

พลังขับเคลื่อนภาคประชาชนที่บริสุทธิ์ .. จำต้องแสดงออกได้เมื่อได้รับการจัดตั้งก่อนหรือไม่ ?
หรือควรออกกันมาเองแบบ 14 ตุลา 2516 ?

คำถามย่อมมีว่า ..

กลุ่มที่เรียกตัวเองว่ากลุ่มเสรีนิยม ประชาธิปไตย หัวก้าวหน้า หรืออะไรก็แล้วแต่จะเรียก .. หายหัวไปไหนกันหมดตอน รสช.ยึดอำนาจ พล.อ.ชาติชาย ?

ที่ยังละอ่อน ยังไม่ทำบัตร ยังพอทำเนา ..

แต่หัวหงอกอย่าง
วีระ
ขวัญชัย
ก่อแก้ว
วิภูแถลง
พ.อ.อภิวันท์

หายหัวไปไหนกันหมด .. หรืออุดมการณ์ต่อต้านเผด็จการทหารเพิ่งเกิด ?
และเลือกเกิดกับคนถูกยึดอำนาจ .. ที่มีเงินถังเท่านั้น ?

เพราะยังหาความแตกต่างระหว่าง รัฐบาลชาติชาย กับ ทักษิณ ไม่เจอ นอกจาก ความนิยม ที่รัฐบาลทักษิณ จะมีมากกว่าในระดับรากหญ้าอยู่บ้างจากประชานิยม

นอกนั้น ก็เหมือนกัน ..
- มาจากการเลือกตั้ง
- ถูกกล่าวหาเชื่อมโยงว่าโกงกิน
- ถูกอายัดทรัพย์
- เหยียบหัวแม่ตีนนายทหารใหญ่ - 555

อ้อ ที่ต่างกันมากคือ
- ทักษิณ มีเงินมากมาย
- น้าชาติ มีพอกินพอใช้ เท่านั้น

แล้วบรรดาพ่อคนอุดมการณ์ อุดมคติทั้งหลาย หายหัวไปไหนหมด ?
ป่านนี้น้าชาติคงน้อยใจน่าดู ว่า ไอ้หะ พวกมันสองมาตรฐาน !
กูก็โดนเหมือนทักษิณมัน .. ไม่เห็นมาช่วยกูบ้างเลย - 555
.
.
ข้ามไปหน่อย .. ขอแทรกอีกหน่อยนึงว่า
บรรดา อดีต ผบ.ทบ. ที่ผ่านมา หลังพ้นจากกองทัพแล้ว และไม่มี "ตำแหน่งอื่น" รองรับ .. ย่อมไม่ต่างอะไรกับข้าราชการเกษียณอายุ ทั่วไปสายพลเรือน .. ไม่มีบารมีอะไรทั้งสิ้น .. อาจมีลูกน้องที่รักใคร่เคารพคอยช่วย"จัดการเรื่องราว" ให้บ้าง เป็นครั้งคราว เป็นธรรมดา และจะค่อยๆ ถูกลืมไปในที่สุด .. เหมือน อนุพงษ์ เผ่าจินดา ตอนนี้แทบไม่มีชื่อในข่าวอะไรที่ไหนเลยทั้งสิ้น !
ยกเว้น .. อดีต ผบ.ทบ.บางคนที่พอพ้นกองทัพแล้วยังมี "ที่อื่น" ที่ทรงเกียรติภูมิมากกว่าด้วยซ้ำ .. รองรับ .. รับรอง เชิดชูสถานภาพเอาไว้ ..
บารมี จึงยังคงเหลือล้น มาจนทุกวันนี้ !
จริงไหม ?
คงนึกกันออกใช่ไหม ?
คำถามมีว่า ...
องค์กรที่อยู่นอกเหนืออำนาจบริหาร ตุลาการ นิติบัญญัติ .. จะมีบารมีมาจากไหน ?
และหากคำว่า "บารมี" ซึ่งไม่ใช่ "อำนาจตามกฎหมาย" ซึ่งไม่มีตราไว้ในกฎหมายฉบับใดๆทั้งสิ้นในทางที่จะให้คุณให้โทษแก่ใครได้ ..
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่