ผู้หญิงที่ปฎิเสธมีSEXก่อนแต่งกับแฟนคุณรักแฟนคุณ??

เราไปคุยกับผู้หญิงที่เป็นแฟมินิส(ของแท้)คนหนึ่งมา คิดว่าทัศนะของเธอน่าสนใจยิ่งมาดูกันดีกว่า
          เราเป็นผู้หญิงแต่เรากลับไม่มองว่าการมีเซ็กส์ก่อนแต่งมันเสี่ยงนะคะ สำหรับเรา เรามองว่าเป็นขั้นตอนสำคัญที่ต้องทำก่อนแต่งด้วยซ้ำ ก็คือถ้าฝ่ายชายไม่ยอมมีเซ็กส์กับเราก่อน เราก็ไม่แต่งด้วย ที่คิดเช่นนี้ เพราะการจะต้องแต่งงานกับใครสักคนโดยไม่รู้ว่านิสัยบนเตียงเค้าปกติดีรึเปล่า มันเสี่ยงมากกว่าเยอะเลย คิดดู แต่งไปแล้วต้องไปร่วมเตียงกับเค้าไปตลอดชีวิตนะคะ ไม่ใช่ไปนอนด้วยไม่กี่คืน มันคุ้มหรอที่จะเสี่ยงดวงขนาดนั้นความเสี่ยงของการมีเซ็กส์ก่อนแต่งเช่นท้องหรือติดโรคมันยังสามารถป้องกันได้แต่ความเสี่ยงของการไปพบว่าสามีตัวเองวิปริตบนเตียงในคืนแต่งงานนี่มันไม่มีอะไรป้องกันได้เลยนะ นอกจากจะทดลองก่อนแต่ง ไม่เข้าท่าจะได้หนีทัน
ถ้ามีลูกสาว อยากให้ลูกมีsex ก่อนแต่งไหม ?

           อยากค่ะ เพราะเราไม่อยากให้ลูกเสี่ยงที่จะแต่งงานกับผู้ชายที่มีรสนิยมผิดปกติบนเตียง เราแคร์สวัสดิการส่วนตัวของลูกตัวเองมากกว่าแคร์ว่าชาวบ้านจะมองยังไง
       ถ้ามีแล้ว ลูกสาวโดนทิ้ง - ท้อง - โดนฝ่ายชายเอาไปเล่าเสียหาย .. แล้วคุณจะโทษใคร.. "โทษผ.ช" หรือ "โทษลูกสาว" ?

                  เรื่องท้อง - โทษลูกสาวตัวเองที่เลินเล่อไม่ป้องกันทั้งๆที่พ่อแม่สอนแล้วว่าให้ป้องกันค่ะ
             เรื่องฝ่ายชายเอาไปเล่าเสียหาย - ไม่สนใจขี้ปากชาวบ้านอยู่แล้ว หลังจากว่ากล่าวแล้วก็จะปลอบใจลูกสาวว่า ไม่ต้องเสียใจ ดีแล้วที่ผู้ชายไปตั้งแต่ตอนนี้เพราะคนนิสัยอย่างนี้ไม่สมควรให้มาช่วยหรือมีส่วนในชีวิตของหลานที่จะเกิดมา ไม่งั้นเดี๋ยวเอานิสัยมาถ่ายทอดให้หลานชั้น ผู้ชายดีๆมีอีกเยอะ หาใหม่ได้ ดูอย่างพ่อของลูก แม่เองก็ไม่ได้บริสุทธิ์แล้วในวันที่มาคบกับพ่อ แต่พ่อของลูกก็ยังตัดสินใจเลือกแม่ เรื่องแบบนี้ ถ้าไม่ยินยอมกันทั้ง2ฝ่าย ความเสียหายคงไม่เกิด .. สรุปคือ ผิดทั้งคู่ ใช่ป่ะ ?  ไม่ผิดค่ะ เพราะถึงยินยอมกันทั้งสองฝ่าย ความเสียหายก็จะไม่เกิด หากทำอย่างมีสติและรู้จักป้องกัน
             สรุปคือ มี sex ก่อนแต่ง แล้วทำให้พ่อแม่ เดือดร้อน อับอาย ขายหน้า ใช่ไหม ?
                แล้วแต่พ่อแม่ของครอบครัวนั้นค่ะ อย่างกรณีเรา ไม่ใช่ เพราะพ่อแม่สนับสนุนให้เราทดลองก่อนแต่ง และกรณีลูกเราก็ไม่ใช่อีก เพราะเราก็สนับสนุนให้ลูกมีก่อนแต่ง สังเกตุมั๊ยคะว่าทำไมผู้หญิงฝรั่งถึงไม่ค่อยกลัวการมีเซ็กส์ครั้งแรกเท่ากับผู้หญิงไทย ผู้หญิงฝรั่งถ้าจะมีกลัวบ้างก็ช่วงเป็นวัยรุ่นเท่านั้น แต่ผู้หญิงไทยนี่กลัวไปจนอายุยี่สิบกว่าสามสิบยังมีเลย ก็เป็นเพราะการสอนลูกแบบผิดๆจากพ่อแม่คนไทยหลายๆคน เข้าใจว่าพ่อแม่จะทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้ลูกมีเซ็กส์ในวัยเรียน พ่อแม่เลยพูดถึงเซ็กส์แต่ในแง่ลบให้ลูกฟัง ขู่สารพัดว่าทำแล้วจะท้อง ติดโรค ไม่มีใครแต่งงานด้วย เจ็บ เลอะเทอะ เสียหาย ทำให้ผู้หญิงไทยหลายคนเติบโตมาโดยมีทัศนคติในแง่ลบกับเซ็กส์ เป็นเหตุให้หลายคนถึงแม้อายุและร่างกายจะเหมาะสมแล้วก็ยังกลัว เพราะไม่สามารถลบทัศนคติที่ฝังรากลึกนี้ได้ บางคนยิ่งแย่ใหญ่ ขนาดแต่งงานแล้วก็ยังกลัวอยู่เลย
หรือบางคนนอนแข็งเป็นท่อนไม้ ไม่ยอมมีส่วนร่วม และไม่มีความสุขกับเซ็กส์ ไม่เคยถึงจุดสุดยอด กรณีทั้งหมดนี้ส่วนมากก็มีต้นเหตุมาจากการมีทัศนคติในแง่ลบกับเซ็กส์นั่นเอง
          สิ่งที่เราชี้แจงมา ก็เพราะคุณพูดถึงกรณีที่ผู้หญิงปฎิเสธเพราะไม่พร้อม
เราก็เลยชี้แจงว่าสาเหตุที่ผู้หญิงไทยหลายคนเป็นเช่นนี้ก็เพราะถูกพ่อแม่ปลูกฝังทัศนคติด้านลบในเรื่องเซ็กส์จนทำให้กลัวไปหมด เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้วก็ยังไม่พร้อมซะที
     ถ้ามันเป็นสิ่งที่ดีจริง ทำไมปัจจุบันฝรั่งถึงเริ่มมีการรณรงค์เรื่องรักนวลสงวนตัวกันมากขึ้นล่ะคะ


อันนั้นถ้าฟังดีๆ เค้าเจาะจงรณรงค์ให้เด็กและวัยรุ่นค่ะ เพราะเด็กวัยรุ่นฝรั่งก็เหมือนกับเด็กวัยรุ่นประเทศอื่นทั่วไปที่เป็นวัยอยากรู้อยากลอง เด็กฝรั่งเป็นมากกว่าด้วยซ้ำเพราะเค้ามีความกล้ามากกว่าการมีเซ็กส์ในวัยเรียน ไม่ว่าจะฝรั่งหรือไทยมันก็ไม่สมควรทั้งนั้นแหละค่ะ
แต่ที่ต่างกันคือ ฝรั่งเค้าแยกแยะเด็กวัยรุ่นออกจากผุ้ใหญ่วัยทำงาน เค้าจะรณรงค์รักนวลสงวนตัวเค้าก็รณรงค์กับกลุ่มเป้าหมายคือเด็กวัยรุ่นที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ลองเค้าไปรณรงค์เรื่องนี้กับผู้ใหญ่วัยทำงานสิ รับรองโดนด่ากลับว่าละเมิดสิทธิ์ส่วนบุคคล
             เราไม่เคยคิดว่าเซ็กส์จะใช้พิสูจน์รักแท้ได้ ไม่ว่าจะทำก่อนแต่งหรือหลังแต่งก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้
จุดที่เราตั้งใจจะสื่อคือการที่คนเรายึดถือคติของตัวเองมากจนไม่คิดถึงความต้องการของอีกฝ่าย ไม่ใช่เฉพาะเรื่องเซ็กส์ จะเรื่องอะไรก็ได้ ถ้าคนเรารักกันก็น่าจะยอมรับความต้องการของอีกฝ่ายบ้าง
กลับกัน เมืองไทยไม่ยอมแยกแยะอะไรเลย จะรณรงค์ทีก็เหมารวมไปหมดว่าผู้หญิงทุกคนถ้ายังไม่แต่งงานก็ไม่ควรมีเซ็กส์ ทำแบบนี้มันใช่หรอ จะรณรงค์ก็ไปรณรงค์กับเด็กวัยรุ่นซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงสิคะ จะมากะเกณฑ์อะไรกับผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะและรับผิดชอบตัวเองได้แล้ว
            ผู้หญิงที่ยึดคติมีเซ็กส์หลังแต่ง ถึงแม้ว่าแฟนตัวเองอยากมีก่อนก็ไม่ฟังความเห็นของแฟน จะให้แฟนทำตามคติของตัวเองท่าเดียว เค้าก็ตั้งคำถามว่าผู้หญิงแบบนี้เห็นแก่ตัวรึเปล่า การยึดแต่กฎเกณฑ์ของตัวเองโดยไม่ฟังความต้องการของอีกฝ่ายมันใช่ความรักระหว่างคนที่จะมาเป็นคู่ชีวิตกันหรือ กรณีพ่อแม่สั่งสอนลูก พี่อบรมน้อง  หรือเพื่อนที่เตือนกันเวลาจะลอกการบ้านหรือโดดเรียน มันไม่เหมือนกันนะคะ เพราะกรณีพวกนี้ส่วนใหญ่ที่เตือนกันมักจะเป็นเรื่องชัดเจนจริงๆว่าผิด เช่นลูกไม่ยอมแปรงฟัน น้องขโมยของพี่ หรือชวนเพื่อนโดดเรียน  คือเรื่องพวกนี้มันชัดๆว่าไม่ดีแน่ เตือนกันก็ถูกแล้ว แต่กรณีมีเซ็กส์ก่อนแต่งนี่มันเป็นสิ่งที่ฟันธงไม่ได้ว่าผิดหรือถูก ข้อเสียก็มี ข้อดีก็มี ดังนั้นการที่คนสองคนเห็นต่างกันในเรื่องนี้มันก็ไม่ผิด แต่เมื่อเห็นต่างแล้วจะตกลงกันยังไง เช่นฝ่ายหญิงที่ตอนแรกยึดกฎแน่นหนา น่าจะพิจารณาดูบ้างว่าคนเราก็สามารถมีเซ็กส์ได้อย่างมีสติ ข้อเสียที่น่ากลัวเช่นท้องหรือติดโรค ถ้าทำอย่างมีความคิดมีสติก็สามารถป้องกันได้ ดังนั้นถ้าเซ็กส์มันเป็นสิ่งที่ถ้าทำโดยมีสติแล้วจะไม่เกิดผลเสีย ก็น่าจะพิจารณาสักนิดในกรณีที่ฝ่ายชายอยากมี แต่ไม่ใช่ว่าปฏิเสธไปเลยดื้อๆแล้วอ้างว่าฝ่ายชายต้องทำตามแบบที่ฉันต้องการเหมือนที่ผู้หญิงบางคนทำ
              คุณบอกว่าข้อเสียคือในทางสังคมที่จะมองว่าไม่ดีใช่มั๊ยคะ
                     แล้วทำไมถึงคิดว่าสิ่งที่สังคมคิดมันสำคัญกว่าความต้องการของแฟนตัวเอง ตกลงรักใครกันแน่ รักแฟนหรือว่ารักสังคม ในอนาคตวางแผนจะแต่งงานกับแฟนที่คบอยู่ หรือแต่งงานกับสังคม แต่งงานไปแล้ว ถ้าเซ็กส์เข้ากันไม่ได้ คนที่ต้องมานั่งทุกข์ใจ คือคุณกับแฟน หรือว่าคุณกับสังคมคนเราก็แปลก ไม่อยากรับความเสี่ยงที่จะถูกสังคมมองว่าไม่ดี แต่กล้าเสี่ยงที่อาจจะแต่งงานไปแล้วเจอผู้ร่วมเตียงตลอดชีพที่เซ็กส์วิปริต ถ้าจะบอกว่าเก็บไว้หลังแต่งเพราะรักตัวเองนี่ยิ่งแล้วใหญ่เลย จะถูกสังคมมองว่าไม่ดี มันก็เป็นแค่ขี้ปากคน ไม่จำเป็นต้องสนใจนี่คะ แต่ถ้าไปเจอสามีซาดิสต์บนเตียงในคืนวันแต่ง คนที่จะแย่ก็คือตัวคุณเองนะ ถ้าคุณยินดีเสี่ยงที่จะเจอแบบนี้ สรุปแล้วนอกจากจะไม่แคร์ความต้องการของแฟนแล้ว ยังแคร์คำพูดของสังคมมากกว่าแคร์สวัสดิการของตัวเองอีก มีเซ็กส์ก่อนแต่ง ถ้าอยากปลอดภัยก็ยังมีอุปกรณ์ให้ป้องกัน แต่ถ้าแต่งไปแล้วเจอสามีซาดิสต์คืนวันแต่งมันไม่มีอุปกรณ์ป้องกันที่จะช่วยคุณให้ปลอดภัยนะคะ และผู้ชายที่เค้ารับได้โดยไม่คิดอะไรเลยจริงๆ ก็ไม่ใช่คนกลุ่มน้อยนะคะ เพียงเพราะคุณรับไม่ได้ก็อย่าเหมาสิว่าคนส่วนใหญ่จะรับไม่ได้ที่แน่ๆแฟนเรารับได้ และถึงเลือกได้เค้าก็เลือกเราที่ไม่บริสุทธิ์ ทั้งๆที่ตอนก่อนคบกันเค้าก็มีตัวเลือกเป็นผู้หญิงอีกคนที่บริสุทธิ์ แต่สุดท้ายเค้าก็ตัดสินใจเลือกเรา และคนส่วนมากที่เรารู้จักในสังคมก็เป็นแบบแฟนเรานะ เพราะเพื่อนผู้หญิงของเราส่วนใหญ่ก็มีอะไรกับแฟนทุกคน แต่สุดท้ายก็มีผู้ชายดีๆมาเลือกแต่งงานด้วยทุกคน เอะอะก็ใช้คำว่ากลัวท้องมาเป็นเหตุผลที่จะไม่มีเซ็กส์กับแฟนสมัยก่อนอาจจะใช้เป็นเหตุผลที่ฟังขึ้น เพราะการคุมกำเนิดยังไม่เจริญแต่สมัยนี้มันเจริญมากแล้วและสามารถป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากผู้ใช้จะเลินเล่อเอง รู้หรือไม่ว่าทุกวันนี้ผู้หญิงหลายคนที่ฉลาด มีสติ และสามารถมีความสุขกับเซ็กส์อยู่ทุกวันโดยไม่ท้องไม่ติดโรคได้ ผู้หญิงบางคนว่าคนอื่นที่ให้เซ็กส์ก่อนว่าเป็นพวกใช้เซ็กส์เป็นเครื่องมือ ในขณะที่ไม่ได้ดูตัวเองเลยว่าที่ตัวเองรอเพื่อพิสูจน์ผู้ชายน่ะ ตัวเองก็กำลังใช้เซ็กส์เป็นเครื่องมือเช่นเดียวกันแต่ถ้าจะเทียบแบบคุณว่าอะไรดีกว่า เอาจริงๆก็ยังยืนยันว่าไม่มีอันไหนที่ดีกว่า เพราะการใช้ขนมเป็นเครื่องมือให้เรียนดีก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้ผล โดยเฉพาะถ้าขนมชิ้นนั้นเป็นขนมที่ให้ได้แค่ครั้งเดียวให้ก่อน ลูกรับขนมไปแล้วอาจจะไม่ทำตามข้อตกลงให้ทีหลัง แล้วรับประกันได้หรอว่าต่อจากนี้ไปลูกจะเรียนดีอย่างสม่ำเสมอ เพราะขนมก็ให้ได้แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว เซ็กส์ก็เหมือนกัน ให้ก่อนให้หลังก็ไม่สามารถใช้พิสูจน์ได้ ให้ก่อนแต่ง ผู้ชายอาจจะไม่รักตามที่หวังไว้ ให้หลังแต่ง ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้ชายคนนั้นจะรักตลอดไปและไม่ทิ้งไปมีชู้ดังนั้น ผู้หญิง ใช้เซ็กส์เป็นเครื่องมือพิสูจน์ความรักจากผู้ชาย ไม่เวิร์คค่ะ แม่ ขนมหนึ่งครั้งเป็นเครื่องมือทำให้เด็กเรียนดีสม่ำเสมอ ก็ไม่เวิร์คเหมือนกัน แปลกๆที่บางคนเตือนผู้หญิงว่า อย่าใช้เซ็กส์เป็นเครื่องมือพิสูจน์รัก  ยอมมีเซ็กส์ด้วยไม่ได้ทำให้ผู้ชายรักจริง แต่ในขณะเดียวกันก็บอกว่า ต้องให้ผู้ชายอดทนรอ ถ้ารอได้ก็แปลว่าเค้ารักจริง
แต่ไม่ว่าจะใช้วิธีไหน จะวิธียอมมีเพื่อให้เค้ารัก หรือให้รอเพื่อพิสูจน์รัก ทั้งสองวิธีก็เป็นการใช้เซ็กส์เป็นเครื่องมือพิสูจน์อยู่ดี ทั้งๆก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจว่าเซ็กส์มันใช้พิสูจน์ไม่ได้ จะยอมให้ก่อน หรือให้รอหลังแต่ง ก็ไม่ได้แปลว่าผุ้ชายรักจริง เหมือนกับแม่สองคน คนนึงให้ขนมลูกเพื่อเป็นค่าจ้างให้เรียนดี  อีกคนบอกลูกว่าต้องเรียนดีจนผลการเรียนออกมาก่อน ถึงจะให้ขนมเป็นรางวัล กรณีนี้ ไม่ว่าให้ก่อนให้หลัง แม่ทั้งสองคนก็ใช้ขนมเป็นเครื่องมือควบคุมผลการเรียนลูกจะไม่ใช้เซ็กส์เป็นเครื่องมือพิสูจน์ ก็ต้องตัดประเด็นเซ็กส์ออกไปเลย แล้วใช้อย่างอื่นเป็นเครื่องมือพิสูจน์ เช่นนิสัย ความเสมอต้นเสมอปลาย ส่วนเซ็กส์จะมีตอนไหนก็ได้ ไม่เกี่ยวกับการพิสูจน์รัก ขอแค่มีตอนที่ทั้งสองคนอยากจะมีก็พอ ถ้าคนที่มีด้วยทิ้งไป แล้วยังไงต่อ ก็ไม่เห็นจะลำบากนี่คะ ก็อยู่ด้วยตัวเองเหมือนกับที่เคยอยู่มาก่อนมีแฟนไงล่ะ แฟนทิ้งเค้าก็แค่เอาตัวของเค้าเดินจากไป ไม่ได้เอาแขนขาของเราหรือความสามารถในการเลี้ยงตัวเองของเราไปด้วยนี่คะถ้าคนที่ใช่ในอนาคตเค้ารับไม่ได้ ก็แปลว่าเค้าไม่ใช่คนที่ใช่คนที่จะเรียกว่าใช่ได้จริงๆ ก็คือคนที่รักคุณและรับคุณได้ไม่ว่าคุณจะเป็นยังไง
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 12
สรุปภายในหนึ่งบรรทัดว่า

เจ้าของกระทู้กำลังหาเหตุผลมาโต้แย้งกับค่านิยมเรื่องการรักนวลสงวนตัว

ความเห็นผมจบภายในหนึ่งบรรทัดว่า เรื่องแบบนี้ จู๋ใครจิ๋มมันครับ ดูแลกันเอง เพราะเราไปเปลี่ยนความคิดคนอื่นไม่ได้
ความคิดเห็นที่ 1
ถ้าคนที่มีด้วยทิ้งไป แล้วยังไงต่อ ก็ไม่เห็นจะลำบากนี่คะ ก็อยู่ด้วยตัวเองเหมือนกับที่เคยอยู่มาก่อนมีแฟนไงล่ะ แฟนทิ้งเค้าก็แค่เอาตัวของเค้าเดินจากไป ไม่ได้เอาแขนขาของเราหรือความสามารถในการเลี้ยงตัวเองของเราไปด้วยนี่คะ

ถ้าคนที่ใช่ในอนาคตเค้ารับไม่ได้ ก็แปลว่าเค้าไม่ใช่คนที่ใช่
คนที่จะเรียกว่าใช่ได้จริงๆ ก็คือคนที่รักคุณและรับคุณได้ไม่ว่าคุณจะเป็นยังไง
ผู้ชายเค้าก็ไม่ได้อะไรกลับคืนเหมือนกันนี่นา

สมมติชายกับหญิงมีเซ็กส์กัน
ครั้งแรกของผู้หญิงเอากลับคืนมาไม่ได้  ครั้งแรกของผู้ชายก็เอากลับคืนมาไม่ได้เช่นกัน
มีอะไรกันแล้ว แยกย้ายกลับบ้าน
ผู้หญิงไม่ได้อวัยวะส่วนไหนของผู้ชายติดตัวกลับบ้าน
ผู้ชายก็ไม่ได้อวัยวะส่วนไหนของผู้หญิงติดตัวกลับบ้านเช่นกัน
หากเลิกกันในภายหลัง
ผู้หญิงสูญเสียแฟน
ผู้ชายก็สูญเสียแฟนเช่นกัน
ถ้าผู้ชายจะอวดอ้างว่า ผมเคยเป็นเจ้าของผู้หญิงคนนี้มาก่อน
ผู้หญิงก็อ้างได้เหมือนกันว่า ฉันเคยเป็นเจ้าของผู้ชายคนนี้มาก่อน

แล้วผู้หญิงเสียเปรียบตรงไหนคะ ยังไม่เห็นอะไรที่ทำให้ผู้หญิงเสียมากกว่าผู้ชายเลย
เราว่าที่บอกว่าเสียๆกันนี่ คิดกันไปเองมากกว่า
ถ้าเลือกที่จะมองว่าเสีย ก็จะรู้สึกว่าเสีย
แต่ถ้าเลือกที่จะมองว่าไม่เสีย มันก็ไม่รู้สึกว่าเสีย
อวัยวะเพศของทั้งหญิงทั้งชายก็เหมือนๆกับอวัยวะอื่นๆของร่างกายแหละค่ะ
ยิ่งแก่ ประสิทธิภาพยิ่งลดลงเป็นธรรมดา

แต่ที่บอกว่าของผู้หญิงทำบ่อยๆแล้วจะหย่อนยานหรือหลวม เข้าใจอะไรผิดรึเปล่าคะ
เราว่าผู้ชายชอบพูดแบบนี้ให้ผู้หญิงกลัวมากกว่า
ลองคิดดูว่าทำไมผู้หญิงสมัยก่อนยังท้องและคลอดลูกออกมาเป็นสิบคนได้
ทั้งๆที่แต่ก่อนยังไม่มีการทำรีแพหรือการแนะนำให้ขมิบ
ถ้าเอาของผู้ชายใส่แล้วทำให้หลวมจริงแบบที่เค้าขู่กัน แบบนี้คลอดลูกแค่คนเดียวก็คงจะบานจนใช้อีกไม่ได้แล้ว เพราะหัวเด็กที่ออกมา ใหญ่กว่าของผู้ชายตั้งเยอะ
แต่ขนาดคลอดลูกออกมาแล้ว อวัยวะก็ยังมีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะให้ความสุขกับผู้ชายจนทำให้มีและคลอดลูกคนที่ 2, 3 ,4 ,5 ,6, 7 ....... ต่อไปได้อีก
ดังนั้นของผู้หญิงน่ะ แข็งแรงและยืดหยุ่นได้ดีขนาดไหน คิดดูละกัน
จริงๆแล้วของผู้หญิงแข็งแรงกว่าผู้ชายด้วยซ้ำ ขนาดผ่านการทรมานถูกยืดขยายให้เด็กออกมาแล้ว ยังกลับมาใช้งานได้ปกติ แต่ลองเอาของผู้ชายมาทรมานบ้างสิ เช่นเอาอะไรที่มันรัดแน่นกว่าอวัยวะผู้หญิงหลายๆเท่ามาบีบรัดดู รับรอง ร้องจ๊ากกันหมดแน่นอน สมมติคุณนอนกับผู้ชายมา 20 คน ในความเป็นจริงมันไม่ได้มีอะไรเสียหายเลย คุณไม่ได้เสียอะไรไปมากกว่าที่ผู้ชายเสีย เพียงแต่มีคนในสังคมมาบอกว่าคุณเสียหาย คุณก็เชื่อหรอ ทั้งๆที่ก็เห็นชัดๆว่ามันไม่มีอะไรเสีย ตรรกะแปลกๆค่ะ

เอาตรรกะเดียวกันนี้มาเทียบนะ สมมติคุณมีบ้าน คุณเชิญแขกเข้ามา 20 คน แต่ละคนเค้าเข้ามาเยี่ยม เสร็จแล้วเค้าก็กลับบ้านไป ไม่ได้ขโมยของหรือหยิบอะไรติดมือไปเลย บ้านคุณทรัพย์สินธ์คุณก็อยู่เหมือนเดิม และแขกที่มาก็เป็นคนที่คุณเชิญเข้ามา ไม่ได้บุกเข้ามาเองหรือบังคับให้คุณเปิดประตู
ทีนี้อยู่ๆคนในสังคมมาหาว่าบ้านคุณเสียหายเพราะเคยมีแขกเข้ามา 20 คน คุณจะเชื่อเค้าหรอ ในเมื่อก็เห็นอยู่ชัดๆว่าไม่ได้เสียอะไรเลย

เกิดมาทั้งทีถ้าจะมานั่งกลัวว่าสังคมจะคิดอย่างโน้นอย่างนี้คงไม่ต้องทำอะไรกันพอดีค่ะ เพราะคนในสังคมต่างจิตต่างใจ ไม่มีทางหรอกที่จะทำให้ทุกคนในสังคมชอบในสิ่งที่คุณทำ ต่อให้คุณทำดีแค่ไหน ถ้าคนจะนินทาเค้าก็กุเรื่องขึ้นมานินทาได้อยู่ดี ถ้าคุณไม่แคร์คุณก็สบายใจไป แต่ถ้าคุณแคร์ก็มานั่งเครียด

คุณจะยืนยันสั่งสอนคนอื่นว่าเสียหาย พูดแต่เสียหายๆ คุณอธิบายโดยใช้เหตุผลชัดเจนได้มั๊ยว่ามันเสียหายมากกว่าผู้ชายยังไง ผู้หญิงเสียอะไรที่ผู้ชายไม่เสีย ขอเหตุผลที่เป็นรูปธรรมว่าเสียหายชัดเจนนะคะ ไม่เอาเหตุผลแบบคนในสังคมบอกว่าเสียหายก็เลยเสีย แบบนั้นมันแค่ลมปากคนที่จะพูดอะไรก็ได้ค่ะ

ที่สำคัญ การสอนแบบนี้ นอกจากมันจะไม่มีหลักฐานของการเสียหายชัดเจนแล้ว การปลูกฝังผู้หญิงแบบนี้ยังมีข้อเสียเพราะ

1. เป็นการปลูกฝังให้ผู้หญิงเชื่อว่าตัวเองมีสิทธิ์น้อยกว่าผู้ชาย
2. ปลูกฝังความสองมาตรฐาน คนสองคนทำเรื่องเดียวกันพร้อมๆกัน แต่คนนึงไม่เสียหาย อีกคนนึงเสีย มันสมควรรึ
3. ปลูกฝังให้ผู้หญิงไม่เห็นคุณค่าที่แท้จริงของตัวเอง เพราะถูกทำให้เชื่อว่าคุณค่าของผู้หญิงเป็นสิ่งที่ผู้ชายมาพรากไปได้ ซึ่งจริงๆแล้วมันไม่ใช่เลย คุณค่าเป็นสิ่งที่ติดอยู่กับตัวทุกคน ไม่มีใครสามารถแย่งไปได้ และเป็นสิ่งที่มันจะหายไปได้ในกรณีเดียว คือเมื่อตัวเองมองไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง เพราะถึงคนอื่นไม่เห็นคุณค่าของคุณ แต่ถ้าคุณเห็นคุณค่าของตัวเองคุณก็ยังมีคุณค่า
ความคิดเห็นที่ 23
ขอยกบางข้อความมาตอบก็แล้วกันค่ะ (คอมเมนต์แค่ที่ขีดเส้นใต้แล้วกันนะคะ) แล้วก็ออกตัวก่อนเลยว่าอ่านแค่หัวเรื่อง ตั้งแต่ความคิดเห็นที่ 1 ลงไปไม่ได้อ่านเลย 55+

แล้วทำไมถึงคิดว่าสิ่งที่สังคมคิดมันสำคัญกว่าความต้องการของแฟนตัวเอง ตกลงรักใครกันแน่ รักแฟนหรือว่ารักสังคม

แฟน...ย่อมสำคัญ แต่สังคมก็ย่อมสำคัญเช่นกัน หน้าตาทางสังคม...สำหรับบางคนเขาอยู่ด้วยหน้าตา ซึ่งจะมองว่าคนที่คิดแบบนั้นผิดมันก็คงจะไม่ใช่ เหมือนกับการมี sex ก่อนแต่งผิดหรือถูกนั่นแหละมันวัดไม่ได้ กรณีนี้ก็เจาะจงไม่ได้เช่นกัน ที่เราอยากสื่อคือ...หัวโขนของแต่ละคนไม่เหมือนกัน สังคมของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ภาวะความกดดัน และความสามารถในการทนรับแรงกดดันของแต่ละคน แต่ละครอบครัวมีไม่เท่ากัน สำหรับบางคน แค่ครอบครัวฉัน ครอบครัวเธอ ตัวเธอและตัวฉัน นั่นก็เพียงพอ...แต่สำหรับบางคนมันไม่ใช่แค่นั้น ถ้าครอบครัวเขาไม่เห็นด้วย มันก็คือวัฒนธรรมของครอบครัวของเขาที่เขายอมรับมาตลอดชีวิตเช่นกัน...

ถามว่าการที่คนเราเลือกจะทำบางสิ่งลงไปนั้น เขาวัดจากอะไร พิจารณาจากอะไร? น้ำหนักความสำคัญในมุมมองของแต่ละคน การเทน้ำหนักความสำคัญไม่เท่ากันค่ะ บางคนอาจจะมองว่าความรักที่มีต่อแฟนหรือความรักที่มีต่อตัวเองนั้นสำคัญที่สุด ดังนั้นเพื่อพิสูจน์ว่าในอนาคตฉันจะเจอคู่รักที่มีรสนิยมทางเพศหมือนๆกันเข้ากันได้ฉันจึงยินยอมที่จะทดลองการมี sex ก่อนแต่งงานนั่นก็ถือว่าเป็นความคิดของเขา แต่ถามว่าคนที่คิดต่างกัน คนที่ไม่เลือกการมี sex ก่อนแต่งไม่รักแฟนรึเปล่า? ไม่รักตัวเองไหม? คงขอตอบว่าไม่ใช่...

ความสุขของคนเรามันมาจากหลายทางนะคะ บางคนมีความสุขที่ได้มี sex กับคนรัก บางคนมีความสุขที่ได้ทำตามคำสอนหรือความเชื่อของครอบครัว ถือว่าทำให้พ่อแม่ได้สบายใจ เห็นรอยยิ้มพ่อแม่นั่นคือความสุขของเขา แต่ละคนให้ weight ของความสุขในชีวิตต่างกันเช่นกันค่ะ ดังนั้น...ถ้าเขาให้น้ำหนักหรือเลือกเรื่องความรู้สึกของคนในครอบครัวมาก่อนสิ่งอื่น...นั่นเราก็ถือว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสมสำหรับเขา...ก็เป็นการยึดถือความสุขในรูปแบบหนึ่งของตัวเองเช่นกันค่ะ
.
.
.
ส่วนข้อความบางประโยคที่ว่า...

ผู้หญิงที่ยึดคติมีเซ็กส์หลังแต่ง ถึงแม้ว่าแฟนตัวเองอยากมีก่อนก็ไม่ฟังความเห็นของแฟน จะให้แฟนทำตามคติของตัวเองท่าเดียว เค้าก็ตั้งคำถามว่าผู้หญิงแบบนี้เห็นแก่ตัวรึเปล่า การยึดแต่กฎเกณฑ์ของตัวเองโดยไม่ฟังความต้องการของอีกฝ่ายมันใช่ความรักระหว่างคนที่จะมาเป็นคู่ชีวิตกันหรือ

งั้นลองมองในภาพกลับกัน ผู้หญิงที่อยากมี sex หลังแต่ง แต่ผู้ชายอยากมี sex ก่อนแต่งแล้วจะมีให้ได้...มันคือการเห็นแก่ตัวของผู้ชายเหล่านั้นไหม?  อย่ามองในแง่ของเหตุผล เพราะถ้าข้อเท็จจริงคือเราไม่สามารถระบุได้ว่าการมี sex ก่อนแต่งดีหรือไม่ดี เราก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเหตุผลของแต่ละฝ่ายไม่เข้าท่า ประเด็นคือ...ทุกคนมีเหตุผล ซึ่งอาจจะไม่ตรงใจอีกฝ่ายมันก็คือเหตุผลของอีกคน ในเรื่องความรัก มันเป็นเรื่องของความรู้สึก เราไม่อยากให้มองว่าการถกเถียงกันของคู่รักในเรื่องมี sex ก่อนแต่งหรือหลังแต่งมันเกี่ยวเนื่องกับเรื่องความเห็นแก่ตัว... เพราะคนเราคบกันมันเป็นเรื่องของการถ้อยทีถ้อยอาศัย และความเห็นอกเห็นใจ ในบางเรื่องอาจจะยอมไม่ได้จริงๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกเรื่องผู้หญิงจะไม่โอนอ่อนผ่อนตามผู้ชายเลย...มันเป็นเรื่องของคนสองคน ที่ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าคู่ของตัวเองค่ะ...

ส่วนตัวเรา...เราเป็นหนึ่งในคนที่ปฏิเสธการมี sex ก่อนแต่งงาน...

ถามว่าคนพิเศษของเราต้องการไหม?​ เขายอมรับว่าต้องการ (-_-") แต่ที่ผ่านมาเขาเคยออกปากขอไหม? บอกได้เลยว่าไม่เคย!!! และเรามั่นใจว่า...ถ้าเราให้จริง เขาก็คงไม่เอา...ถ้าไม่แต่งงานกัน เพราะมันเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีของเขา บ้านแต่ละบ้านเลี้ยงลูกมาต่างกัน ผู้ชายบางคนก็ถูกเลี้ยงมาแตกต่าง สำหรับคนพิเศษของเรา เขาพูดเสมอว่าขอบคุณที่พ่อแม่เราไว้ใจเขา เราสองคนค่อนข้างผ่านอะไรด้วยกันมามากพอสมควร...หลายครั้งที่ความไว้ใจของพ่อแม่ถูกทำลาย แต่เราก็ได้รับโอกาสหลายอย่างจากพ่อแม่ของเราและของเขา เพราะฉะนั้นการที่ท่านถือเรื่องการมี sex ก่อนแต่งเป็นเรื่องที่ท่านไม่สบายใจนั้น เป็นเรื่องเล็กน้อยมากค่ะ เราทั้งคู่ทำให้พวกท่านได้...เราสองคนได้รับอะไรจากพ่อแม่ของพวกเรามากกว่านั้นมาก...

พวกเราสองคนอยู่ในวัยทำงานแล้วทั้งคู่ เราสองคนรับวัฒนธรรมจากทั้งต่างชาติและก็ในไทย ต่างคนก็ต่างเคยอาศัยอยู่ในต่างประเทศทั้งคู่ระยะเวลามากกว่า 1 ปี ในเชิงวัฒนธรรม...ถามว่าต่างชาติดีไหม?​ ดีค่ะ เรามีเพื่อนต่างชาติมากมาย ได้เห็นเขาเก็บเงินเรียนตั้งแต่ undergraduate level ไปจนกระทั่งเรียน PhD. สังคมต่างชาติก็มีหลากหลายมีตั้งแต่ลูกคุณหนูไฮโซที่พ่อแม่ขนของมาส่งที่หอมหาวิทยาลัย หรือพวกที่มีรถขับไปมหาลัยจนกระทั่งพวกทำงานเพื่อค่าเทอมและค่ากินอยู่ ก็เหมือนเมืองไทย แต่สิ่งที่เราคิดเหมือนกันคือ...ตราบใดที่ครอบครัวของเรายังเป็นครอบครัวขยาย ยังผูกพันกับพ่อแม่ วิถีการดำรงชีวิตของเรายังเกี่ยวพันกับท่าน ไม่เหมือนฝรั่งที่พอเริ่มทำงานก็จะย้ายไปอยู่อีกเมือง หรือเปลี่ยนประเทศไปเรื่อยๆได้ (ใน EU นี่ชิวมาก) แล้วกลับมาหาพ่อแม่แค่เฉพาะ New year duration เพื่อมาฉลองวันคริสมาสต์ มากินไก่งวงร่วมกัน เราเชื่อว่าความรู้สึกของพ่อแม่ ครอบครัว ก็สำคัญไม่แพ้ความรู้สึกของเราเองค่ะ...

การมี sex ถ้ามองในแง่วิถีชีวิตการดำรงเผ่าพันธุ์ ธรรมชาติอยากให้เรามีเพศสัมพันธ์กันอยู่แล้วระหว่างเพศชายและเพศหญิง มันเป็นเรื่องธรรมดา และไม่แปลก แต่การปฏิบัติของแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปบ้างก็ขึ้นอยู่กับเหตุผลส่วนตัว ซึ่งใช้วัดค่าความรักที่มีต่ออีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้ค่ะ... SEX แลกรักไม่ได้ แลกความมั่นคง ความซื่อสัตย์หรืออะไรไม่ได้เลย มันเป็นแค่กิจกรรมหนึ่งที่ทำให้เกิดการขยายซึ่งเผ่าพันธุ์มนุษย์เท่านั้น สำหรับตัวเรา เราถามตัวเองว่าถ้า SEX มีความสำคัญเพียงแค่นั้น มันคุ้มค่าพอไหม...ที่จะแลกกับความไว้ใจ ความสุขของคนในครอบครัวของเรา แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่ไร้สาระในสายตาของคนบางคน เป็นความสุขที่เกิดจากเหตุผลที่ไม่มีน้ำหนัก แต่ถ้านั่นคือความสุขของพ่อแม่ของเรา...ถามว่า priority ของเราควรมุ่งไปในทิศทางไหน? ส่วนตัวแล้วเรามีคำตอบของเราเอง ส่วนคนอื่นเขาก็ต้องคิดและมองในส่วนของเขา...

- ครอบครัวเขาเป็นอย่างไร
- พ่อแม่มีนิสัยแบบไหน
- แฟนเขาเป็นอย่างไร
- ตัวเขาอยากมีชีวิตแบบไหน ให้ความสำคัญกับอะไร

ทุกคนมีสิทธิเลือก...ซึ่งการเลือกต่างกัน มันก็เป็นเหตุผลส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับความรักที่มีต่อแฟนค่ะ รักแฟนมาก...ไม่ได้หมายความว่าต้องรักแฟนมากกว่าพ่อแม่ หรือรักพ่อแม่มาก...ไม่ได้หมายความว่าจะรักมากกว่ารักแฟน มันเป็นความรักคนละแบบ ที่คนกลางจะต้องหาทาง Balance ชีวิตตัวเองให้ได้ เพื่อให้ชีวิตของตัวเองมีความสุขที่สุด...

ปล. ความเห็นส่วนตัวนะคะ
ความคิดเห็นที่ 36
กลับมาอีกที ขอแสดงความเห็นแบบจัดเต็มซะหน่อย จริงๆเนื้อหาที่จขกท.นำมาลงก็พูดหมดแล้วตรงตามที่ใจเราคิดทุกตัวอักษรเลยทีเดียว แต่อาจจะเยิ่นเย้อยืดยาวไปสักนิด และเราก็มีประเด็นที่อยากจะเพิ่มด้วย

ผู้หญิงไทยเราโดนกรอบประเพณีครอบหรือจะเรียกว่าโดนโปรแกรมมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกเลยก็ได้ ถึงสภาพการเป็นผู้หญิงที่ดีในบริบทที่เชื่อมโยงกับเรื่องทางเพศ พูดตรงๆให้เห็นภาพชัดเลยก็คือ ผู้หญิงถูกสอนมาว่า ผู้หญิงที่ชอบสนุกไปกับเซ็กซ์ พูดได้เต็มปากว่าชอบมีเซ็กซ์ อยากมีเซ็กซ์เพื่อสนองความใคร่กับผู้ชายสักคน (ไม่นับประเด็นเรื่องความรับผิดชอบในการป้องกันการตั้งท้องนะ) เป็นคนไม่ดี ไม่รักนวลสงวนตัว เป็นผู้หญิงที่ร่าน เหลวแหลก ไร้ค่า ไม่มีศักดิ์ศรีของความเป็นผู้หญิงที่ดี และถูกสอนกันว่าผู้หญิงที่ดีคือผู้หญิงที่มองว่าเซ็กซ์คือการแสดงความรักต่อกัน ไม่ควรตั้งเป้าไปว่าเป็นการปลดเปลื้องความใคร่ของตัวเองและคู่ของตัว และต้องทำหลังแต่งงานเท่านั้น ไม่งั้นจะไม่มีค่า ทำให้ตัวเองเสื่อมศักดิ์ศรี ผู้หญิงจะแสดงออกในเชิงอยากระบายความใคร่หรืออารมณ์ทางเพศเฉกเช่นที่ผู้ชายแสดงกันไม่ได้ จะเข้าข่ายเป็นผู้หญิงไม่ดีทันที

บอกตรงๆว่าเราโคตรจะเกลียดค่านิยมแบบนี้ในไทยมากๆ ความเสมอภาคทางเพศมันต้องมี ไม่ว่าคุณจะเป็นเพศชาย หญิง หรือเพศทางเลือกอื่นๆ ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเสพสมหรือเมามันไปกับเซ็กซ์ได้เท่าเทียมกันทั้งนั้น ไม่ควรเลยที่จะมีใครออกมาตัดสินว่าผู้หญิงที่ชื่นชอบเซ็กซ์ดูเป็นคนแย่ ถ้าผู้หญิงอยากมีเซ็กซ์กับแฟนหรือกับใครสักคน ก็แค่มีแค่ทำมัน ก็เท่านั้น ไม่จำเป็นจะต้องมีห้วงเวลามากำหนดว่าทำได้เฉพาะตอนไหน ไม่อย่างนั้นแล้วมันก็จะไปเข้าสูตรที่ว่าผู้หญิงที่อยากมีเซ็กซ์ทันทีที่ต้องการหรือเมื่อเกิดอารมณ์คือผู้หญิงแย่ ไม่รู้จักควบคุมตัวเอง ไม่รู้จักรักนวลสงวนตัว แนวความคิดตรงนี้มันเกิดขึ้นมาในสังคมที่ผู้ชายเป็นใหญ่ เพศชาย rule สังคมและกฎเกณฑ์ต่างๆไว้แทบทั้งสิ้น ในแถบเอเชียเป็นแบบนี้แทบทั้งนั้น ต่างจากตะวันตกที่ผู้หญิงออกมาปลดแอกไปเรียบร้อยแล้ว ความเสมอภาคทางการเสพสุขทางเพศมีเท่าๆกันทุกเพศ ไม่มีใครมองว่าเพศไหนได้เพศไหนเสีย เป็นเรื่องที่ได้ความรู้สึกดีๆทั้งคู่จากการประกอบกิจร่วมกัน

ส่วนตัวเราไม่ได้ตั้งใจจะมีลูกนะ แต่ถ้ามีก็จะไม่ส่งต่อค่านิยมตลกๆนี้ให้ลูกเด็ดขาด ถ้าเป็นลูกชายก็จะสอนว่าอย่าไปหลอกฟันใคร ให้มีเซ็กซ์กับคนที่คิดว่าชอบพอกันจริงๆเท่านั้น และต้องใช้ถุงยางทุกครั้ง ส่วนลูกสาวก็จะสอนว่าอย่ามีเซ็กซ์เพราะคิดว่าจะทำให้เขารัก แต่ให้มีเพราะอยากจะมี เกิดอารมณ์ร่วมกันจริงๆ และอย่ายอมมีเซ็กซ์กับผู้ชายที่ไม่ใช้ถุงยางหรือผลักภาระให้เรากินยาคุมแทน
ความคิดเห็นที่ 14
อ่อ ผู้หญิงที่ไม่ยอมมีอะไรกับแฟนก่อนแต่ง คือผู้หญิงเห็นแก่ตัว?

หลายกระทู้แนว ๆ นี้ มักจะจบลงด้วยความเห็นของหลายคนที่ว่าผู้หญิงซิง ๆ ไม่ดี

ไปดีกว่า อิอิอิ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่