Blue Is the Warmest Color
เยือกเย็นและอบอุ่นในคราวเดียวกัน
หลังจากที่เปิดฉายอย่างฮือฮาในเทศกาลหนังเมืองคานส์ ประเทศฝรั่งเศส
Blue Is the Warmest Color ก็ทยอยเปิดตัวตามเทศกาลหนังต่างๆทั้งในยุโรป, อเมริกาเหนือ และเอเชีย ก่อนที่จะโฉบมาเข้าฉายในเมืองไทยอย่างลับๆ ด้วยโรงฉายเดียวในปฐพีเมื่อวันคริสต์มาสที่ผ่านมา ซึ่งวันแรกที่หนังเข้าฉายนั่นเอง ผมก็ได้ไปสืบความลับของหนังมาเรียบร้อย และเตรียมพร้อมจะส่งผ่านอารมณ์ความรู้สึก, ความประทับใจ รวมทั้งความเสียว ให้ผู้อ่านทุกท่านได้รับทราบกันต่อจากนี้…
Blue Is the Warmest Color เป็นหนังร่วมทุนสร้างระหว่างประเทศฝรั่งเศส, สเปน และเบลเยี่ยม โดยใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาหลักในหนัง ซึ่งเราก็จะได้ฟังภาษาเสียงนาสิกนี้อย่างเต็มๆเมื่อไปดูที่ House ผู้กำกับของเรื่องเป็น
อับเดลลาทิฟ เคชิช ผู้กำกับเชื้อสายตูนิเซีย และนักแสดงนำของเรื่องคือ
อเดล เอ็กซาร์โคปูโลส นักแสดงฝรั่งเศสอายุ 20 ปี มารับบทนำหญิง ‘อเดล’ เด็กสาวอายุ 15 ที่เพิ่งมีรักครั้งแรก และอีกคนก็คือ
เลอา เซย์ดูซ์ นักแสดงฝรั่งเศสอายุ 28 ปี ที่เคยมีผลงานฮอลลีวู้ดมาแล้วอย่าง
Midnight in Paris และ
Mission: Impossible – Ghost Protocol มารับบทสมทบหญิง ‘เอ็มม่า’ สาวห้าวที่ย้อมผมสีฟ้า และเป็นรักแรกของอเดล
หนังเรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจและดัดแปลงเนื้อหามาจากนิยายภาพของ
จูลี มาโรห์ ซึ่งเรื่องราวของหนังกล่าวถึง อเดล เด็กสาวอายุ 15 นักเรียนไฮสคูลที่ยังไม่รู้จักความรักที่แท้จริง จนเมื่อเธอเริ่มที่ค้นหาความหมายของมัน เธอก็ได้รู้จักกับ โธมัส ชายหนุ่มที่เพื่อนๆของเธอบอกว่าเขาแอบมองเธอมานาน ทั้งสองคบกัน ออกเดทกัน ดูหนังกัน ไปเที่ยวด้วยกัน จนความสัมพันธ์ลงเอยที่เตียงนอน เพราะเธออยากรู้ว่า ความรู้สึกทางเพศที่เธอมีต่อผู้ชาย ใช่ความรักที่เธอเฝ้าตามหาหรือไม่ แต่คำตอบที่ได้ก็คือ ไม่ใช่ และความสัมพันธ์ของทั้งสองก็จบลงทันทีด้วยการบอกเลิกของอเดล
อเดลกลับไปใช้ชีวิตตามปกติเช่นเดิม ในกลุ่มเพื่อนๆที่ชอบถามซอกแซกถึงความสัมพันธ์ทางเพศของเธอกับแฟนคนแรก จนเมื่อมีเพื่อนสาวคนหนึ่งยื่นปากมาจูบเธอ เธอก็รู้สึกถึงรสชาติความแปลกนั้น พลางคิดกับตัวเองว่าความรู้สึกแบบนี้มันช่างเร้าร้อนยิ่งนัก นี่หรือเปล่าที่เป็นความต้องการที่แท้จริงของเธอ จนเมื่อสายตาของเธอได้ผ่านไปเห็นหญิงสาวผมฟ้าผู้มีบุคลิกเคร่งขรึมและเยือกเย็น เธอก็เริ่มรู้สึกแปลกๆอีกครั้ง จนนำสาวผมฟ้าคนนั้นกลับมาช่วยตัวเองกลางดึก หลังจากนั้นไม่นาน ในที่สุดเธอก็ตามหาสาวผู้มีผมสีฟ้าพบในชีวิตจริง และความรักที่แท้จริงของอเดลก็เริ่มต้นขึ้นนับจากนั้น
การเล่าเรื่องความรักของผู้กำกับเคชิชถือว่าเล่าเรื่องได้ละเอียดมาก เห็นตั้งแต่ความสัมพันธ์แบบเริ่มต้น จับมือ กอดจูบ ลูบไล้ ไปจนถึงการช่วยตัวเอง และสุดท้ายก็เซ็กซ์สุดเร่าร้อน ฉากเซ็กซ์ฉากแรกเป็นฉากชาย-หญิง ระหว่างตัวละคร อเดลกับโธมัส ต่อจากนั้นก็ตามมาด้วยฉากเซ็กซ์หญิง-หญิง ระหว่างตัวละคร อเดลกับเอ็มม่า ซึ่งมีให้ดูกันจนตาแฉะ จนจำได้ติดตาว่านมใครเป็นนมใคร ตูดใครเป็นตูดใคร มีหลายฉากและค่อนข้างนานด้วย พอมีฉากเซ็กซ์มาในช่วงหลังๆก็จำได้ว่า “อ้อ..นี่นมอเดล นี่นมเอ็มม่า ส่วนตูดนั่นของเอ็มม่า และนั่นตูดของอเดล” ฟังแล้วอาจจะทะลึ่งไปบ้าง แต่หนังก็เน้นนำเสนอฉากพวกนี้จริงๆ
ความสัมพันธ์ที่ถูกเล่าอย่างละเอียดลึกซึ้งทำให้หนังเข้าถึงก้นบึ้งความรู้สึกของคนดูจริงๆ คนดูจะอิ่มเอิบไปกับความรู้สึกที่สมจริง สมจริงจนเกิดอาการเสียว เพราะฉากเซ็กซ์เห็นได้อย่างชัดเจนมาก และฉากเซ็กซ์บางฉากก็ใช้เวลาถ่ายทำกันนานถึง 2 วันเต็มๆ เรียกได้ว่าเล่นเอานักแสดงหมดเสียวกันไปแล้ว เพราะต้องดูด-จับ-บีบ-เค้น-คลึง กันจนปวดนม!
ถึงแม้ภาพการร่วมรักจะเป็นประเด็นหลักของหนัง แต่หนังได้เสริมสีสันเพื่อสื่ออารมณ์ตามความรู้สึก ทำให้ภาพโป๊ต่างๆที่เห็น กลายเป็นงานศิลปะอย่างหนึ่ง เพราะความสวยงามที่สุดของมนุษย์ ก็คือร่างกายของมนุษย์ สีที่ใช้ตลอดทั้งเรื่องคือสีฟ้าตามชื่อเรื่อง โดยนำมาใช้กับทรงผม, เก้าอี้, เสื้อผ้า, กระเป๋า, ปากกา และอีกมากมาย ซึ่งนอกจะสีสันจะช่วยสื่ออารมณ์แล้ว นักแสดงส่งอารมณ์ได้ดี โดยเฉพาะฉากต่อล้อต่อเถียงระหว่าง อเดลกับเอ็มม่า ซึ่งอัดแน่นหลายอารมณ์ในฉากเดียว ทั้งตกใจ, ผิดหวัง และเศร้าไปกับความสัมพันธ์ของทั้งสอง
ผลลัพธ์สุดท้ายของเรื่อง สปอยล์กันโต้งๆตรงนี้เลยว่าสมจริงอีกเช่นกัน หนังไม่ได้นำเสนอฉากจบแบบแฮปปี้เอนดิ้งอย่างในหนังรักทั่วไป แต่หนังนำเสนอความจริงที่พบได้ในความรักทั่วไป นั่นจึงเป็นที่มาของความผิดหวังของทั้งอเดลและเอ็มม่า หนังส่งมุมมองความคิดอย่างหนึ่งว่า ความรักเกิดขึ้นได้ไม่ว่าจะเป็นเพศไหน ผู้ชาย ผู้หญิง เลสเบี้ยน หรือเกย์ และในทุกเพศก็ผิดหวังกับความรักได้เหมือนกันหมด นั่นจึงเป็นข้อสรุปของความรัก ที่มีทั้งสมหวังและผิดหวังในคำนิยามคำเดียว และสีหนึ่งที่ให้คำนิยามแก่คำคำนี้ได้ดีก็คือ สีฟ้า ไม่แตกต่างไปจากสีแดงหรือสีชมพู ที่ให้คำนิยามถึงความรักที่เร่าร้อนและรวดเร็ว
สีฟ้าเป็นสีที่สื่อความหมายถึง การเชื่อมั่นในตัวเอง, การเชื่อมั่นในความรัก, การมีศรัทแก่กล้าที่จะเชื่อในเรื่องใดๆ และต้องการเป็นที่รักของใครๆ คนที่ชื่นชอบสีฟ้า คนๆนั้นจะเป็นคนอารมณ์อ่อนไหว และไวต่อความรู้สึก ในขณะเดียวกันก็แฝงความแข็งแกร่งไว้ด้วย เฉกเช่นเดียวกับ อเดล แม้เธอจะเชื่อมั่นในตัวเองและเชื่อในความรักที่มีต่อเอ็มม่ามากเพียงไร แต่ความอ่อนไหวภายในก็ทำให้เธอสูญเสียความเป็นตัวเอง จนเมื่อความแข็งแกร่งที่หลบซ่อนไว้ได้เปิดเผยออกมา เธอจึงสามารถยืนหยัดต่อสู้กับความผิดหวังต่อไปได้ ตามลักษณะเฉพาะตัวของสีฟ้า สีที่เย็นที่สุด.. และอบอุ่นที่สุดในเวลาเดียวกัน…
ระดับคะแนน B+
ขออนุญาตแนะนำ
แนะนำแฟนเพจรีวิวหนัง
https://www.facebook.com/McksMovie
ชุมชนคนชอบดูหนัง กำลังจัดเตรียมเมื่อเริ่มต้นปีใหม่
https://www.facebook.com/KonLikeNang
รีวิว Blue Is the Warmest Color (สปอยล์)
เยือกเย็นและอบอุ่นในคราวเดียวกัน
หลังจากที่เปิดฉายอย่างฮือฮาในเทศกาลหนังเมืองคานส์ ประเทศฝรั่งเศส Blue Is the Warmest Color ก็ทยอยเปิดตัวตามเทศกาลหนังต่างๆทั้งในยุโรป, อเมริกาเหนือ และเอเชีย ก่อนที่จะโฉบมาเข้าฉายในเมืองไทยอย่างลับๆ ด้วยโรงฉายเดียวในปฐพีเมื่อวันคริสต์มาสที่ผ่านมา ซึ่งวันแรกที่หนังเข้าฉายนั่นเอง ผมก็ได้ไปสืบความลับของหนังมาเรียบร้อย และเตรียมพร้อมจะส่งผ่านอารมณ์ความรู้สึก, ความประทับใจ รวมทั้งความเสียว ให้ผู้อ่านทุกท่านได้รับทราบกันต่อจากนี้…
Blue Is the Warmest Color เป็นหนังร่วมทุนสร้างระหว่างประเทศฝรั่งเศส, สเปน และเบลเยี่ยม โดยใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาหลักในหนัง ซึ่งเราก็จะได้ฟังภาษาเสียงนาสิกนี้อย่างเต็มๆเมื่อไปดูที่ House ผู้กำกับของเรื่องเป็น อับเดลลาทิฟ เคชิช ผู้กำกับเชื้อสายตูนิเซีย และนักแสดงนำของเรื่องคือ อเดล เอ็กซาร์โคปูโลส นักแสดงฝรั่งเศสอายุ 20 ปี มารับบทนำหญิง ‘อเดล’ เด็กสาวอายุ 15 ที่เพิ่งมีรักครั้งแรก และอีกคนก็คือ เลอา เซย์ดูซ์ นักแสดงฝรั่งเศสอายุ 28 ปี ที่เคยมีผลงานฮอลลีวู้ดมาแล้วอย่าง Midnight in Paris และ Mission: Impossible – Ghost Protocol มารับบทสมทบหญิง ‘เอ็มม่า’ สาวห้าวที่ย้อมผมสีฟ้า และเป็นรักแรกของอเดล
หนังเรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจและดัดแปลงเนื้อหามาจากนิยายภาพของ จูลี มาโรห์ ซึ่งเรื่องราวของหนังกล่าวถึง อเดล เด็กสาวอายุ 15 นักเรียนไฮสคูลที่ยังไม่รู้จักความรักที่แท้จริง จนเมื่อเธอเริ่มที่ค้นหาความหมายของมัน เธอก็ได้รู้จักกับ โธมัส ชายหนุ่มที่เพื่อนๆของเธอบอกว่าเขาแอบมองเธอมานาน ทั้งสองคบกัน ออกเดทกัน ดูหนังกัน ไปเที่ยวด้วยกัน จนความสัมพันธ์ลงเอยที่เตียงนอน เพราะเธออยากรู้ว่า ความรู้สึกทางเพศที่เธอมีต่อผู้ชาย ใช่ความรักที่เธอเฝ้าตามหาหรือไม่ แต่คำตอบที่ได้ก็คือ ไม่ใช่ และความสัมพันธ์ของทั้งสองก็จบลงทันทีด้วยการบอกเลิกของอเดล
อเดลกลับไปใช้ชีวิตตามปกติเช่นเดิม ในกลุ่มเพื่อนๆที่ชอบถามซอกแซกถึงความสัมพันธ์ทางเพศของเธอกับแฟนคนแรก จนเมื่อมีเพื่อนสาวคนหนึ่งยื่นปากมาจูบเธอ เธอก็รู้สึกถึงรสชาติความแปลกนั้น พลางคิดกับตัวเองว่าความรู้สึกแบบนี้มันช่างเร้าร้อนยิ่งนัก นี่หรือเปล่าที่เป็นความต้องการที่แท้จริงของเธอ จนเมื่อสายตาของเธอได้ผ่านไปเห็นหญิงสาวผมฟ้าผู้มีบุคลิกเคร่งขรึมและเยือกเย็น เธอก็เริ่มรู้สึกแปลกๆอีกครั้ง จนนำสาวผมฟ้าคนนั้นกลับมาช่วยตัวเองกลางดึก หลังจากนั้นไม่นาน ในที่สุดเธอก็ตามหาสาวผู้มีผมสีฟ้าพบในชีวิตจริง และความรักที่แท้จริงของอเดลก็เริ่มต้นขึ้นนับจากนั้น
การเล่าเรื่องความรักของผู้กำกับเคชิชถือว่าเล่าเรื่องได้ละเอียดมาก เห็นตั้งแต่ความสัมพันธ์แบบเริ่มต้น จับมือ กอดจูบ ลูบไล้ ไปจนถึงการช่วยตัวเอง และสุดท้ายก็เซ็กซ์สุดเร่าร้อน ฉากเซ็กซ์ฉากแรกเป็นฉากชาย-หญิง ระหว่างตัวละคร อเดลกับโธมัส ต่อจากนั้นก็ตามมาด้วยฉากเซ็กซ์หญิง-หญิง ระหว่างตัวละคร อเดลกับเอ็มม่า ซึ่งมีให้ดูกันจนตาแฉะ จนจำได้ติดตาว่านมใครเป็นนมใคร ตูดใครเป็นตูดใคร มีหลายฉากและค่อนข้างนานด้วย พอมีฉากเซ็กซ์มาในช่วงหลังๆก็จำได้ว่า “อ้อ..นี่นมอเดล นี่นมเอ็มม่า ส่วนตูดนั่นของเอ็มม่า และนั่นตูดของอเดล” ฟังแล้วอาจจะทะลึ่งไปบ้าง แต่หนังก็เน้นนำเสนอฉากพวกนี้จริงๆ
ความสัมพันธ์ที่ถูกเล่าอย่างละเอียดลึกซึ้งทำให้หนังเข้าถึงก้นบึ้งความรู้สึกของคนดูจริงๆ คนดูจะอิ่มเอิบไปกับความรู้สึกที่สมจริง สมจริงจนเกิดอาการเสียว เพราะฉากเซ็กซ์เห็นได้อย่างชัดเจนมาก และฉากเซ็กซ์บางฉากก็ใช้เวลาถ่ายทำกันนานถึง 2 วันเต็มๆ เรียกได้ว่าเล่นเอานักแสดงหมดเสียวกันไปแล้ว เพราะต้องดูด-จับ-บีบ-เค้น-คลึง กันจนปวดนม!
ถึงแม้ภาพการร่วมรักจะเป็นประเด็นหลักของหนัง แต่หนังได้เสริมสีสันเพื่อสื่ออารมณ์ตามความรู้สึก ทำให้ภาพโป๊ต่างๆที่เห็น กลายเป็นงานศิลปะอย่างหนึ่ง เพราะความสวยงามที่สุดของมนุษย์ ก็คือร่างกายของมนุษย์ สีที่ใช้ตลอดทั้งเรื่องคือสีฟ้าตามชื่อเรื่อง โดยนำมาใช้กับทรงผม, เก้าอี้, เสื้อผ้า, กระเป๋า, ปากกา และอีกมากมาย ซึ่งนอกจะสีสันจะช่วยสื่ออารมณ์แล้ว นักแสดงส่งอารมณ์ได้ดี โดยเฉพาะฉากต่อล้อต่อเถียงระหว่าง อเดลกับเอ็มม่า ซึ่งอัดแน่นหลายอารมณ์ในฉากเดียว ทั้งตกใจ, ผิดหวัง และเศร้าไปกับความสัมพันธ์ของทั้งสอง
ผลลัพธ์สุดท้ายของเรื่อง สปอยล์กันโต้งๆตรงนี้เลยว่าสมจริงอีกเช่นกัน หนังไม่ได้นำเสนอฉากจบแบบแฮปปี้เอนดิ้งอย่างในหนังรักทั่วไป แต่หนังนำเสนอความจริงที่พบได้ในความรักทั่วไป นั่นจึงเป็นที่มาของความผิดหวังของทั้งอเดลและเอ็มม่า หนังส่งมุมมองความคิดอย่างหนึ่งว่า ความรักเกิดขึ้นได้ไม่ว่าจะเป็นเพศไหน ผู้ชาย ผู้หญิง เลสเบี้ยน หรือเกย์ และในทุกเพศก็ผิดหวังกับความรักได้เหมือนกันหมด นั่นจึงเป็นข้อสรุปของความรัก ที่มีทั้งสมหวังและผิดหวังในคำนิยามคำเดียว และสีหนึ่งที่ให้คำนิยามแก่คำคำนี้ได้ดีก็คือ สีฟ้า ไม่แตกต่างไปจากสีแดงหรือสีชมพู ที่ให้คำนิยามถึงความรักที่เร่าร้อนและรวดเร็ว
สีฟ้าเป็นสีที่สื่อความหมายถึง การเชื่อมั่นในตัวเอง, การเชื่อมั่นในความรัก, การมีศรัทแก่กล้าที่จะเชื่อในเรื่องใดๆ และต้องการเป็นที่รักของใครๆ คนที่ชื่นชอบสีฟ้า คนๆนั้นจะเป็นคนอารมณ์อ่อนไหว และไวต่อความรู้สึก ในขณะเดียวกันก็แฝงความแข็งแกร่งไว้ด้วย เฉกเช่นเดียวกับ อเดล แม้เธอจะเชื่อมั่นในตัวเองและเชื่อในความรักที่มีต่อเอ็มม่ามากเพียงไร แต่ความอ่อนไหวภายในก็ทำให้เธอสูญเสียความเป็นตัวเอง จนเมื่อความแข็งแกร่งที่หลบซ่อนไว้ได้เปิดเผยออกมา เธอจึงสามารถยืนหยัดต่อสู้กับความผิดหวังต่อไปได้ ตามลักษณะเฉพาะตัวของสีฟ้า สีที่เย็นที่สุด.. และอบอุ่นที่สุดในเวลาเดียวกัน…
ขออนุญาตแนะนำ
แนะนำแฟนเพจรีวิวหนัง
https://www.facebook.com/McksMovie
ชุมชนคนชอบดูหนัง กำลังจัดเตรียมเมื่อเริ่มต้นปีใหม่
https://www.facebook.com/KonLikeNang