[Y/18+] BLUE IS THE WARMEST COLOR มหกรรมกระอักเส้นของหนังเลสปาล์มทอง

ควันหลงจากงาน  TIFF 2013 (ไม่ใช่ Thailand International Furniture Fair นะ) เป็นงานเทศกาลหนังที่โตรอนโต้ครับ
โดยงานนี้ มีการฉายภาพยนตร์เรื่อง Blue is The Warmest Color ด้วย จากการที่ได้รับรางวัลปาล์มมาก่อนหน้านี้ ทำให้ทั้งนักแสดงและผู้กำกับได้รับการจับตามองและต้อนรับจากผู้มาร่วมงานอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง (ผมจะไม่เน้นการลงภาพบรรยากาศนะครับ)



จากซ้าย: เจเรมี่(แฟนหนุ่มในภาพยนตร์ และตัวจริงของอเดล), อับเดลลาติฟ, อเดล, เลอา
Credit:www.latimes.com



****1.ที่คุณจะได้อ่านกันต่อไปไม่ได้มีส่วนในการบั่นทอนความน่าดูของภาพยนตร์เลยครับ เพราะตัวหนังนั้นดีจริงๆ
2.อาจมีการภาษาวิบัติบ้าง เพื่อสื่ออารมณ์นะครับ***


            และที่สื่อให้ความสนใจอย่างยิ่ง ดูเหมือนว่าเบื้องหลังภาพยนตร์เจ้าของรางวัลปาล์มทองเรื่องนี้ดูจะไม่ได้สวยหรูอย่างที่คิดซะแล้ว (ดราม่าเบาๆ) ก่อนหน้านี้สองนักแสดงสาวได้กล่าวกับสื่อแขนงหนึ่งเป็นเชิงว่า ประสบการณ์การถ่ายทำภาพยนตร์เป็นไปอย่างหฤโหดมาก โดยกล่าวว่าพวกเธอถูกบงการให้เข้าฉากที่ต้อง(เกือบ)เปลือยและมีเซ็กซ์กันอย่างสมจริงที่สุด โดยแต่ละซีนที่เราจะได้เห็นกันเพียงสั้นๆนั้นใช้เวลาถ่ายทำกว่า 1 ชั่วโมง ซึ่งเลิฟซีนที่มีในภาพยนตร์จะรวมราวๆ 10 นาที แต่ใช้เวลาถ่ายทำจริงๆกว่า 10 วันเลยทีเดียว (สมจริงมากๆ ถึงแม้ว่าจะมีบางอย่างที่เฟคขึ้น แต่ดูแล้วอดหน้าแดงไม่ได้เลยครับ) เลอากล่าวว่า ฉากที่เธอจะต้องตบอเดลนั้นเป็นฉากที่เล่นจริงเจ็บจริง เพราะผู้กำกับ(อับเดลลาติฟ เกชิช)ดุ ตะโกนสั่งให้ ตบๆ ตลอดเวลาจนกว่าจะเป็นที่พอใจ และถ้าคุณได้ดูฉากนี้ คุณจะเห็นว่าพวกเธอรู้สึกเจ็บปวดไปกับมันจริงๆ อเดลกล่าวว่าเธอต้องเล่นเลิฟซีนอย่างโจ๋งครึ่มภายใต้สายตาของผกก. ส่วนทีมงานเองก็ไม่กล้าเอ่ยถามในสิ่งที่เขากำลังทำเพราะทุกคนต่างรู้สึกยำเกรง(ขนาดตัวเธอเองยังต้องแอบย่องออกมาจากกองเพียงเพื่อจะไปพบหน้าแฟนหนุ่มที่รออยู่ข้างนอก) แถมพวกเธอยังต้องถ่ายทำฉากที่พบหน้ากันครั้งแรกเป็นร้อยๆเทค เพื่อให้ได้มุมที่โดนใจ (ฉากนี้หาดูได้จาก Trailer ครับ ซีนที่เดินสวนกัน ผมว่าโอเคเลยนะ) เลอากล่าวว่าเธอไม่รู้เคยรู้จักสไตล์การทำงานของเขา แต่ก็ไม่คิดว่าจะหินขนาดนี้ มาถึงจุดนี้พวกเธอก็ไม่คิดจะร่วมงานกับเขาอีกแน่ (เอาจริงดิ?)


ช่วงเวลาที่ได้รับปาล์มทอง


        แน่นอนว่ามันย่อมส่งกระทบกับการฉายภาพยนตร์ความยาวกว่า 3 ชั่วโมงเรื่องนี้และต่อตัวผกก.ในฐานะที่เรียกร้องให้นักแสดงกระทำการ.."อุกอาจทางการแสดงเกินไป"


อับเดลลาติฟ เกชิช


       จากคำให้สัมภาษณ์ ผมเดาว่าอับเดลเป็นผู้กำกับที่มีอีโก้แรงพอตัว งานที่ผ่านๆมาของเขาถือเป็นบทเรียน ภาพยนตร์ที่ได้รับคำวิจารณ์แย่ที่สุดกลายมาเป็นตำราในการทำภาพยนตร์เรื่องใหม่ เฉกเช่นผู้กำกับทั่วๆไป แต่เขาเป็นผู้กำกับที่ชอบเก็บรายละเอียด เขาจะไม่หยุดยั้งความรู้สึกที่ว่า"ไม่!" ในแต่ละซีน จนกว่ามันจะกลายเป็นคำว่า"ใช่!" จากปากของเขาเอง ส่วนในฐานะนักแสดง  ถ้าจะบอกว่าถ่ายแต่ละซีนเป็นร้อยๆรอบ หรือฉากที่ต้องเปลืองตัว ผมว่ามันเหนื่อยแน่นอนอยู่แล้ว แต่พวกเขานี่แหละคือตัวขับเคลื่อนที่สำคัญ ในการทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้คว้ารางวัลที่ยิ่งใหญ่ประจำประเทศมาครอง ผมไม่รู้ว่ามันจะได้เข้าชิงออสการ์หรือไม่(แต่บอกเป็นนัยๆแล้วหล่ะว่า*ไม่*) ที่แน่ๆมันต้องมีอะไรดีๆนอกเหนือจากข่าวข้างต้นที่ทำให้ก้นของเรายังคงนั่งอย่างมีเสถียรภาพบนเบาะซีทของโรงหนัง
       แถมนิดนึงกับมุมมองของนักประพันธ์ ที่ลืมไม่ได้คือ จูลี่ มาโรห์ ผู้ให้กำเนิดฉบับนิยาย กล่าวผ่านบล็อกว่าเธอชอบตัวภาพยนตร์แต่เธอไม่เห็นด้วยกับแนวทางของผกก.ในการถ่ายทอดฉากร่วมรัก กล่าวว่ามันคือการ "อนาจาร" เกินขอบเขตวิถีที่เธอถ่ายทอดจากปลายปากกาไปหน่อย


Credit:www.leparisien.fr

ภาพส่วนหนึ่งจากฉบับนิยายของมาโรห์Warning! 18+
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้


(เป็นบ้านเราคงโดนจวกเหมือนกรณีฉากเปลือยของเรื่อง "ชั่วฟ้าดินสลาย" และการดัดแปลงบทต้นฉบับอย่าง "อุโมงค์ผาเมือง" ของหม่อมน้อย อืม หม่อมน้อยนี่แหละที่ผมพอจะเอามาเปรียบกับอับเดล ณ จุดนี้ได้) แต่ถึงอย่างว่าแหละ แม้จะไม่ชอบอย่างไรพวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว ได้แต่บ่นเฉยๆแหละครับ นักประพันธ์ไม่ชอบตัวภาพยนตร์ก็เยอะแยะไป (สตีเฟน คิงส์ ยังไม่ถูกชะตา The Shining เลย)

อย่าเพิ่งเบื่อที่ผมร่ายยาวกันนะครับ ส่วนนี้จะเป็นเรื่องฮาๆที่เกิดขึ้นบนเวทีแนะนำภาพยนตร์ ไม่อ่านก็ไม่ว่ากันครับ
      รอบค่ำเป็นเวลาจะฉายภาพยนตร์กัน บรรยากาศภายในโรงภาพยนตร์สวยงามอลังการครับ คนเต็ม


(หลักๆผมว่าอยากจะดูฉากนั้นอันลือลั่น..อืม ฉากนั้นแหละครับ) นักแสดงก็หน้าตาสวยหล่อกว่าที่เราๆเห็นกันในภาพมาก และคนที่ผมปลื้มมากๆ แซงโค้งมาเลยก็คืออีหนูฟันกระรอก อเดล เอ็กซาโคปูลอสนี่แหละครับ เธอดูน่ารักมากๆ เข้าขั้น super dorky หรือโก๊ะๆเปิ่นๆเหมือนเด็ก(แต่ตัวโตมว๊ากกก!)
      เริ่มแรกพิธีกรออกมากล่าวทักทายและขอบคุณแขกผู้มาร่วมงาน **พิธีกรสะกดนามสกุลของอเดลผิดด้วย** นี่คือการเปิดฉายรอบปฐมทัศน์ในอเมริกาเหนือ ของ Blue is The Warmest Color ได้มีการเชิญนักแสดงและผกก.มาให้สัมภาษณ์กันราวๆ 20 นาที เสียเวลาไปกับอุปสรรคด้านภาษา เพราะอับเดลขอใช้ภาษาฝรั่งเศสเขาจึงต้องมีล่ามช่วยแปล เริ่มแรกเขาเหมือนนึกคำไม่ออก จากนั้นก็กล่าวว่านี่มันเหมือนเทพนิยาย (จากจุดที่เขายืนอยู่) เขาตะลึงกับบรรยากาศในโรงภาพยนตร์ มันงดงามมาก แล้วบทจะพูดเขาก็นี่ร่ายยาวเลยครับ จนล่ามต้องดักให้หยุดพูดก่อนเขาแปลตามไม่ทัน คนดูหัวเราะสนั่นอย่างกับดูเดี่ยวไมโครโฟนเลย แต่พอล่ามแปลมันนิดเดียว อับเดลเลยตอกกลับประมาณว่า "แค่นั่นเหรอ ผมพูดไปเยอะเลยนะ" เรียกเสียงฮาจากคนดูมาก จากนั้นเป็นคิวนักแสดง นำโดยเลอา เซดู แต่คนที่กล่าวกับผู้ชมก่อนคือ อเดล เธอกล่าวเป็นภาษาอังกฤษ สำเนียงน่ารักน่าหยิกมากๆ *มีตื่นไมค์ด้วย เพราะเสียงเธอค่อนข้างแหบและก้อง* (เนื่องจากเลอา นักแสดงคนโปรดของผมเธอดูเป็นผู้ใหญ่กว่าอย่างเห็นได้ชัด และวางตัวได้โปรฯกว่าอเดล ซึ่งยังถือว่าอ่อนอยู่กับเวทีใหญ่ๆ ผมจึงรู้สึกเอ็นดูอเดลน่ะครับ ฮาาาๆ) เธอกล่าวง่ายๆว่า
     "เราต่างดีใจที่ได้มาเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่และได้เห็นทุกคนในที่นี้ หวังว่าทุกท่านจะสนุกสนาน เพราะว่าพวกเราทำเต็มที่ที่สุดและท่านจะได้นั่งอยู่ที่นี่อีกถึง 3 ชั่วโมง โชคดีค่ะ"  ส่วนเลอาและแฟนหนุ่มตัวจริงของอเดลกล่าวคล้ายๆกัน คือขอบคุณทุกคน

มาถึงช่วงถาม-ตอบ สังเกตได้ว่านักแสดงแยกกันเดินออกมา และไม่ยืนข้างผกก.กันเลย (ถ้าติดตามข่าวจะเห็นว่าทุกๆงาน 3 คนนี้จะเดินเกาะแขนกันมาตลอด) อาจเป็นเพราะที่เลอากล่าวเป็นเชิงโจมตีผกก.และอาจจะโดนตักเตือนไป เลยทำให้ทั้งคู่ดูห่างเหินกันมาก อเดลไม่เท่าไหร่ แต่เลอานี่สงบเสงี่ยมกว่าปกติมากๆครับ แถมอเดลยังให้เจเรมี่มายืนคั่นผกก.ไว้อีก *ก็น้องดันตามก้นพี่เลอาร่วมแฉผกก.ไปต้อยๆเลย ซื่อจริงๆ*

Credit:@djrlosthisname


นักแสดงยืนกอดอกเพราะป้องกันตัวเอง อาจจะจากคำถามที่ไม่พึงประสงค์ หรืออาจจะเพราะความตื่นเวทีก็ตามแต่ ที่แน่ๆ เวทีนี้ อึดอัดกว่าที่ไหนๆ

       ผมจะไม่พูดยาว นี่ก็ปาไป 3 ทุ่มกว่าๆ เพราะผมไม่ค่อยได้ฟัง พิธีกรเปิดโอกาสให้สื่อได้ถามคำถาม เป็นคำถามเกี่ยวกับการทำงานทั่วๆไป มีแนวทางคัดเลือกนักแสดงอย่างไร รวมถึงเรื่องความสัมพันธ์ของตัวละครในเรื่อง Blah blah อับเดลใช้เวลาในการนึกรายละเอียดค่อนข้างนานกว่าคนอื่น ระหว่างนั้นบางคนเผลอหลับไป แต่ที่ตื่นมาอีกครั้งก็ด้วยเสียงหัวเราะเป็นระรอกของผู้ชม พิธีกรยิงคำถามหนึ่งซึ่งน่าจะเกี่ยวกับความเป็นไปของเนื้อเรื่อง


"มันไม่เกียวกับเรื่องรักร่วมเพศ ประเด็นหลักคือการที่คุณได้พบใครสักคนและมันเปลี่ยนชีวิตคุณไปโดยสิ้นเชิง" อเดลตอบออกมาได้ในที่สุด "ฉันต้องปล่อยตัวปล่อยใจไปตามบท พยายามไม่ใส่ใจกล้องและทีมงาน ใส่ใจคนที่ฉันร่วมฉากด้วยเท่านั้น ปล่อยอารมณ์ให้เหมือนอยู่ในเหตุการณ์นั้นๆ ทีมงานทุกคนต่างมีน้ำใจมากซึ่งมันช่วยได้ ดีทีเดียว"

       เลอาตอบในส่วนของเธอ "มันเป็นไปโดยธรรมชาติค่ะ ฉันมีโอกาสได้พบกับอเดลทั้งในฐานะนักแสดงและหญิงสาวคนหนึ่ง เธอช่วยเหลือฉันหลายเรื่อง ฉันจึงคิดว่าภาพยนตร์เรื่องนี้สื่อถึงเรื่องราว รวมถึงความสัมพันธ์ , มิตรภาพของเราสองคน และสิ่งที่คุณเห็นบนจอนั้นเป็นของจริง" *อเดลยังมาทำท่าล้อเลียนได้น่าเขกกะโหลกมาก คนดูฮากันใหญ่* "เพราะเราได้ใช้เวลาด้วยกันหลายเดือน นั่นแหละค่ะที่ฉันจะบอกได้" สุดท้ายอเดลอยากจะฝากถึงผู้ชมที่ได้ดู ว่าเรื่องนี้เป็นประเด็นสากล หวังว่ามันจะเป็นสื่อที่ทำให้เราได้เปิดใจให้กว้างขึ้น มันไม่ใช่เรื่องราวหนักหรือหนังที่มีประเด็นทางการเมือง มันเป็นเรื่องของความรัก และเธอหวังว่าคนดูจะตระหนักถึงข้อนั้น มันคือความรักและมันไม่ผิดกฏหมาย (จบได้ดีนี่ครับอเดล)

       สุดท้ายเรื่องราวจบลงอย่างงดงามเหมือนค่ำคืนนั้น ทุกคนต่างปรบมือประทับใจ บางคนปลื้มจนร้องไห้ และมีความหวังในการดำเนินชีวิตต่อด้วยหลักปรัชญานานาจิตตัง สำหรับผม

"ชีวิตยังต้องดำเนิน สายชลธีสีครามเย็นจะยังคงไหล มันไม่อาจหวนคืนต้นน้ำได้ เหลือไว้เพียงกระแสน้ำอุ่นจางๆ"


ผมจะไม่เปิดเผยเนื้อหามากกว่านี้ ไว้เราไปพิสูจน์กันอีกครั้งกลางๆเดือนธันวาคม ว่าฟ้าคือสีโทนอุ่นอย่างที่เขาว่ากันไหม
(ทำไมของเรารอนานจังเลย อยากไปดูกับเพื่อนที่ไทยบ้าง )

ผมร่ายยาวไปแล้ว แต่หวังว่าทุกท่านจะอินไปกับผมนะครับ และขอร้องอย่าให้มีใครสั่งลบกระทู้ผมเลย
ผมว่าผมทำถูกกติกา และกว่าผมจะประมวลข้อมูลมาให้ทุกท่านได้ก็หนักเอาการครับ Mr.H อ่านหนังสือ


แถมภาพบางส่วนจากภาพยนตร์ครับ ต้องขอโทษที่ผมไม่อาจให้เครติดได้หมด




นิดนึงให้สมชื่อกระทู้ ใจไม่ถึงอย่าเพิ่งกด
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้


Credit: tumblr , vk.com , tiff.net (live), twitter , เว็บแฟนไซต์ของภาพยนตร์และสองสาว ขอบคุณมา ณ ที่นี้ครับ
SpecialThanks to uncle Bobby for a special ticket & places & everything I'll never ever forget through my whole life!
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่