ตามรักคืนเรือน ตอนที่ 1

กระทู้สนทนา
“เลี้ยวซ้าย ข้างหน้านี่แหละ นายเชิด ยกไฟเลี้ยวด้วย ช่างอ๊อดจะได้เห็น”

    ชายหนุ่มบอกคนขับรถ ก่อนจะเหลียว ไปมองรถที่ขับตามหลังมา รถกระบะสีขาวของช่างอ๊อด ขับตามมาไม่ห่างนักมองจนแน่ใจว่า รถคันหลังก็ยกไฟเลี้ยวตามมา ค่อยหันไปบอกทางนายเชิด คนขับรถต่อ

    “ตรงไปจนเกือบสุดซอย คอยดูซุ้มเฟื่องฟ้า หน้าประตูบ้านให้ดีละ”

   ขณะที่ปากบอก สายตาเขาเองก็ คอยสังเกต ข้างทางไปด้วย เพราะตัวเขาเองก็มาบ้านหลังนี้แค่ สามครั้งเท่านั้น ครั้งแรกนั้นเขามาทางเรือ ส่วนทางถนน เพิ่งมาเป็นครั้งที่ สอง จำได้ว่าหน้าบ้านมีซุ้มเฟื่องฟ้าใหญ่สวยนัก ถูกใจเขารองลงมาจากเรือนไม้ริมน้ำ นั่นทีเดียว

    “ข้างซ้าย นี่ใช่ไหมครับ คุณผู้ชาย” นายเชิดหันมาถาม

   เขาชะโงกหน้าออกมาดูทางหน้าต่าง เห็นซุ้มเฟื้องฟ้าสีชมพูสด อยู่ซ้ายมือข้างหน้า ติดๆกันนั้นเป็นประตูไม้บนรางเลื่อนเหล็ก แม้จะดูเก่าซีดแต่ไม้ทั้งแผ่นที่ใช้ทำก็บอกถึงฐานะเจ้าของบ้านได้ดี

    “จอดริมรั้ว นี่แหละนายเชิด ขากลับค่อยไปกลับรถข้างในบ้าน”  เขาหันไปสั่งคนขับรถอีกทีก่อนจะลงจากรถ

     “เชิด ไม่ต้องลงหรอก อยู่เฝ้ารถตรงนี้แหละ เดี๋ยวฉันกับช่างอ๊อดจะเข้าไปกันเอง”
  
      เมื่อรถจอดสนิทดีแล้ว ชายหนุ่มเปิดประตูลงไปเอง เขาไม่ชอบธรรมเนียม ที่ต้องให้คนขับรถลงมาเปิดประตูให้ เพราะเห็นว่าเสียเวลาโดยใช่เหตุ เขาพยายามรักษาความกระฉับกระเฉงไว้ แม้แต่เรื่องเล็กๆน้อยๆ เหลียวไปมองว่า ช่างอ๊อด ช่างไม้ฝีมือดี ที่มีคนแนะนำมาจอดรถเรียบร้อย  ตัวเขาเองก็เดินไปกดกริ่งที่ประตูบ้าน รอประมาณ สอง-สาม นาที พร้อมกับเสียง เปิดประตูรั้ว เสียงทักทายก็ดังตามมา

    “อ้าว คุณวิทย์ เชิญครับ เชิญ กำลังรออยู่เลย”  เสียงแม้แหบแห้ง แต่ท่าทางของเจ้าของบ้านนั้นดูเป็นมิตรนัก

     “สวัสดีครับพี่กิจจา” เขาพนมมือไหว้ทักทายเจ้าของบ้าน

     นายกิจจา แม้จะสูงวัยกว่าเขาไม่มาก แต่ร่างเล็กนั้นเหมือนจะไม่อาจสู้แรงลมได้ คงเพราะความเป็นสิงห์อมควัน ทำให้สุขภาพ ของกิจจาดูไม่ค่อยจะแข็งแรงนัก ผิวที่ซีดนั้นตัดกับ เลื้อผ้าป่านสีเลือดหมู อย่างเห็นได้ชัด

     “ช่างอ๊อด ครับ เป็นช่างไม้ ที่ผมจะให้มาช่วยย้าย ศาลาริมน้ำ” วิทยาแนะนำ เมื่อเห็นแววตาสงสัยของกิจจา

     “อ้อ แล้วจะนั่งพักทานน้ำทานท่า กันก่อนไหมครับ หรือจะไปดูศาลากันเลย”

     “ไม่รบกวนพี่หรอกครับ เดี๋ยวผมก็กลับแล้ว พาช่างมาแนะนำให้พี่รู้จักกันก่อนให้ช่างเขามาดูของจริงด้วย จะได้เตรียมการ นัดแนะวันรื้อย้ายกับพี่กิจจาได้”

     “งั้นก็ เชิญครับ เดี๋ยวผมให้นายสน พาเดินไปแล้วกัน บ่ายๆ ผมสู้แดด สู้ลมไม่ค่อยจะไหว ขอไปรอในบ้านแล้วกัน ถ้าดูกันเสร็จแล้ว ค่อยเข้ามาคุยกัน”  เจ้าของบ้านกล่าวออกตัวก่อนจะหันไปตะโกน เรียกคนสวน ที่กำลังทำงานอยู่

      “ไอ้สน มานี่สิ”

      “ขอรับ คุณท่าน”  ชายร่างใหญ่ผิวสีเข้มในชุด เสื้อเชิ้ตลายตา กางเกงขาก๊วย วิ่งตัดสนามหญ้ามา ตามคำเรียก

      “พาคุณ สองคนนี้ไปดูศาลาริมน้ำที แล้วรออยู่ตรงนั้น ถ้าเขาจะกลับ เอ็งไปตามข้าที่เรือนใหญ่ด้วย” เจ้าของบ้าน หันมายิ้ม ให้เขากับช่างอ๊อด ก่อนจะขอตัวกลับขึ้นเรือนไป

    เรือนใหญ่นั้น เป็นเรือนไม้ครึ่งปูนสีครีมทรงยุโรป สองชั้น แม้จะดูเก่า แต่ไม่ได้ทรุดโทรม ดูจากประตู หน้าต่างไม้ทุกบานยังอยู่ในสภาพดี  

      “เชิญทางนี้ครับ” เสียงนายสน คนสวน ดึงความสนใจเขากลับมาจากอาคารโบราณหลังงามนั้น

       เขาเดินตามนายสนไป  ทางเดินนั้น เลาะเรียบกับเรือนใหญ่ปูด้วย แผ่นอิฐแดง คร่ำคร่า ด้านซ้ายป็นสนามหญ้ามีเงาของ ต้นไม้ใหญ่ เย็นสบาย  ทอดผ่านไปตลอดทาง บรรยากาศที่เงียบสงบ มีเพียงเสียงของลมพัดผ่านยอดไม้  สุดของทางเดินอิฐแดงทอดไปสู่ ศาลาริมน้ำ สีขาวหลังน้อย ตัวศาลาสีขาวทั้งหลัง นั้นดูแปลกตา กว่าศาลาทรงไทยทั่วไปตรงที่กั้นฉากไม้ระแนงเป็นลายข้าวหลามตัด  ไว้ 3 ด้าน มีเพียงด้านหน้า ที่ติดกับคลองเท่านั้นที่เปิดโล่งไว้  ส่วนด้านที่ติดกับตลิ่งระหว่าง แนวไม้ระแนงนั้นเจาะเป็นช่อง ประตูบานคู่ไว้ พื้นไม้นั้นกว้างเกือบเท่าศอก ขัดเงาอย่างดี ราวระเบียง นั้นเป็นไม้ฉลุลาย  ส่วนบันไดที่ทอดจากศาลา ลงสู่ลำคลองนั้นก็ทอดขนานไปกับแนวลำคลอง ชานบันไดสำหรับขึ้นลงเรือนั้นกว้างใหญ่ เพราะเคยใช้เป็นทางสัญจรหลักก่อนที่ถนนจะตัดผ่าน สวนเข้ามา

    “เป็นไง ช่างอ๊อด ถ้าจะต้องย้าย ต้องรื้อ ออกหมดไหม” วิทยา ถามนายช่างหลังจากที่ ปล่อยให้ช่างไม้ เดินสำรวจรอบศาลา ได้พักใหญ่

    “คงต้องรื้อ ออก เกือบหมดแหละครับ ถนนเข้ามาแคบไป คงเอารถใหญ่เข้ามาลำบากแต่ผมจะรักษาของเดิมไว้ให้มากที่สุด เห็นแล้วไม่อยากจะตัดส่วนไหนเลย งานเข้าไม้ของเดิมงามจริงๆ ฝีมือดี จริงๆครับ คุณวิทย์ นี่ถ้าหาอย่างนี้ได้อีกสักหลัง ผมก็อยากจะซื้อเก็บไว้เหมือนกัน” สายตาช่างใหญ่นั้นบ่งบอกถึงความชื่นชม ที่เก็บเอาไว้ไม่อยู่

   “ผมเอง ก็ไม่คิดว่าจะได้เหมือนกันครับ ตอนมาขอซื้อทีแรก คนเรือที่นำเที่ยว เขาเล่าว่า พี่กิจจา เจ้าของบ้านเป็นเจ้าของที่ สวนแถบนี้ เกือบทั้งหมด ก็เศรษฐี ใหญ่ของ แถบนี้แหละครับ แต่ติดใจศาลานี้แล้ว ก็เสี่ยงดวง มาคุยดูแกถามแค่ว่า ซื้อไปทำไม  พอบอกว่าอยากเอาไปตั้งในบ้าน แกขอสัญญาคำเดียวว่ารักษาให้ดีๆ นะแล้วก็ขายให้เลย ” เขาเองยังประหลาดใจ กับการตัดสินใจ ที่รวดเร็ว นั้นไม่หาย แต่ราคาที่ กิจจา เสนอนั้นก็ มากอยู่ เขายังจำคำพูดทิ้งท้าย ของเจ้าของบ้านได้ดี

    “ผมขายให้คุณ ไม่ใช่เพราะผมไม่เห็นค่า ผมตั้งราคานี้ เพื่อให้คุณตัดสินใจว่าต้องการจริง และจะรักษา เรือนริมน้ำนี้ไว้ ให้สมกับคุณค่าของมัน”

     โครม !

    เสียงกิ่งไม้  หล่นกระแทกหลังคาศาลา เสียงดังลั่น นายสน ที่นั่งรอ อยู่ ด้านข้างสะดุ้งโหยงภาพที่ เขาเห็น คือคนสวนร่างใหญ่ กำยำนั้น หน้าซีด ยกมือขี้ท่วมหัว ก่อนจะเหลียวไปดู กิ่งไม้แห้งเท่าแขนเด็กที่พื้น ที่มาของเสียง

        ขวัญอ่อนจริงตัวออกจะโต  เขาคิดในใจ

       “นี่ก็เกือบเที่ยงแล้ว ผมมีนัดตอนบ่าย คงต้องขอตัวกลับก่อน” วิทยาหันไปบอกกับ ช่างใหญ่

       “งั้นผมขอตัวไป นัดวันให้คนงาน มารื้อศาลากับ ทางเจ้าของบ้าน เลยแล้วกันครับ ” ช่างอ๊อด เองก็หันหน้าไปพยักพเยิดให้คนสวน รู้ว่า จะกลับแล้ว ดูเหมือน นายสน เองก็รอให้แขก กลับอยู่เหมือนกัน

       “เชิญไปรอที่เรือนใหญ่ ครับ เดี๋ยวผมไปเรียน คุณผู้ชายให้ทราบว่าพวกคุณจะกลับกันแล้ว” คนสวนร่างใหญ่พูดเสียงรัว ก่อนจะจ้ำอ้าว ไปทางเรือนใหญ่ ปล่อยให้ วิทยา และ ช่างอ๊อด เดินตามหลังห่างๆ

        ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

      ตัวนายสนที่เดินนำหน้านั้น ไปนั้น ยังได้ยิน เสียง ด่าตามหลังแว่วมาจากศาลาริมน้ำ อยู่ตลอดทางไปเรือนใหญ่

     “ไอ้กิจ ไอ้หลานเนรคุณ เอ็งจะรื้อเรือนข้าเหรอ ไอ้หลานไม่รักดี”

      เข่า เขาอ่อน ตั้งแต่ เห็นคุณเอียด นั่งบนกิ่งก้ามปู ตอนกิ่งไม้หล่นแล้ว  คุณกิจคิดยังไงหนอ ถึงได้จะขายศาลาริมน้ำ ทั้งๆที่รู้ว่าคุณเอียดเธอหวงของเธอนัก
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่