[Spoil] ช้อนเงินคนแปรธาตุ (Silver Spoon) #93 - MVP is coming to town

เปิดตอนมาต่อจากตอนที่แล้วที่อ.ประจำชั้นเอาใบแจ้งผลการเรียนของอากิกับไอคาวะมาพลิกอ่านด้วยสีหน้าครุ่นคิด

มาตอนนี้ทั้งอากิทั้งไอคาวะเลยโดนอ.ประจำชั้นเรียกตัวมาคุยเรื่องผลการเรียน โดยอ.ก็บอกให้ดีใจว่าผลการเรียนของอากิจังนั้นดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตา โดยถ้ายังทำผลการเรียนต่อไปได้เรื่อยๆ แบบนี้ก็มีสิทธิ์สมัครเข้าเรียนมหาวิทยาลัยสัตวศาสตร์แบบโควต้าได้ แม้ตอนนี้ผลการเรียนจะยังไม่ถึงขั้นก็ตาม

โดยอาจารย์ก็อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการสมัครเข้าเรียนมหาวิทยาลัยแบบโควต้าว่ามีเงื่อนไขดังนี้ (สำหรับเด็กจบจากโรงเรียนการเกษตร)

1. ผลการเรียนต้องผ่านเกณฑ์ที่แต่ละคณะกำหนด (คณะสัตวแพทย์ศาสตร์ที่ไอคาวะจะเข้านั้นเอาเกรดเฉลี่ย 4.0 ขึ้นไป ส่วนคณะสัตวศาสตร์ที่อากิจะเข้านั้นเอาเกรดเฉลี่ย 3.8 ขึ้นไปแต่เฉพาะคณิต ฟิสิกส์ และอังกฤษ 3 วิชานี้ต้องได้เกรดอย่างน้อย 4.3 ขึ้นไป*)
2. ต้องเขียนเรียงความแสดงเหตุผลและแรงจูงใจในการเข้าเรียน
3. ต้องเขียนบทความหนึ่งบทความ (ประมาณสารานิพนธ์แต่เล็กกว่า)
4. ต้องเข้ารับการสอบสัมภาษณ์

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้


ซึ่งหากผ่านเงื่อนไขทั้งหมด ก็จะได้เข้าเรียนในคณะนั้นๆ โดยตรงได้เลย ไม่จำเป็นต้องสอบส่วนกลางและสอบข้อสอบมหาวิทยาลัย โดยอัตราการแข่งขันของแต่ละคณะคือ คณะสัตวศาสตร์นั้นรับเด็กโควต้า 20 คนจากผู้สมัครแต่ละปีราวๆ 30 คน (หรือบางปีก็มีผู้สมัคร 20 คนพอดี) ในขณะที่คณะสัตวแพทย์ศาสตร์นั้นรับเด็กโควต้าแค่ปีละ 4 คน ทั้งๆ ที่มีผู้สมัครแต่ละปีถึง 30 - 40 คน (ทำเอาไอคาวะถึงกับซีดไปเลย...แต่จริงๆ อากิก็ซีดเหมือนกัน เพราะวิชาที่เงื่อนไขโควต้าเน้นนั้นอากิไม่ถนัดเอาเสียเลย) ซึ่งอาจารย์ก็เน้นย้ำว่าในบรรดาผู้สมัครเอาโควต้านั้นมีคนที่เกรดเฉลี่ยดีกว่าทั้งสองคนอยู่ด้วย ดังนั้นขอให้ทั้งสองคนเตรียมตัวสำหรับการสมัครโควต้าให้ดีอย่าประมาทเด็ดขาด ทั้งสองก็รับคำอย่างหนักแน่นก่อนจะขอตัวออกจากห้องไป


อากิจังระริกระรี้สุดชีวิตที่มีโอกาสได้สมัครโควต้า




หลังคุยแนะแนวกับอ.ประจำชั้นเสร็จ อากิก็วิ่งไปบอกบักแว่นกับเพื่อนๆ อย่างดีใจว่าตัวเองจะได้สมัครเข้ามหาลัยแบบโควต้าแล้ว ซึ่งบักแว่นกับเพื่อนๆ ก็แสดงความยินดีกับอากิด้วย ...โดยบักแว่นก็ไม่ลืมเตือนอากิแบบเดียวกับที่อ.ประจำชั้นเตือนเปี๊ยบว่าให้ตั้งใจเรียนให้ดีๆ อย่าประมาทเพราะผลการเรียนดีขึ้นเด็ดขาด และแนะนำให้อากิศึกษาเรื่องเทคนิคการเขียนบทความและเน้นอ่านคณิต ฟิสิกส์ และอังกฤษเพิ่มขึ้นให้มากๆ ด้วย

คุยไปคุยมา พวกเพื่อนๆ ก็เสไปถามถึงเรื่องแผนเปิดกิจการของบักแว่นว่าคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว บักแว่นก็ทำท่าอ้ำๆ อึ้งๆ แต่ยังไม่ทันตอบ ทามาโกะก็เปิดประตูปังเข้ามาในห้อง แล้วมาไล่บี้บักแว่นเรื่องแผนเปิดกิจการที่ให้ไปแก้มาว่าเสร็จหรือยัง บักแว่นก็ถอยกรูดพลางตอบอ้อมๆ แอ้มๆ พลางว่ายังไม่คืบหน้าเท่าไหร่ เลยเจอทามาโกะเฉ่งไปตามระเบียบ




จากนั้นก็เป็นรายการแนะแนวบรรดาเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆ ของบักแว่น โดยต่างก็มีความเห็นหลากหลายกันไป บางคนก็อยากทำงานในสายการเกษตรต่อแม้จะหวั่นๆ จนต้องแอบกระซิบถามลู่ทางซัพพอร์ตจากทางรัฐบาล บ้างก็อยากเปลี่ยนฟิลด์ไปทำงานอย่างอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเกษตรไปเลย

แต่ที่น่าสนใจเป็นพิเศษก็เห็นจะเป็นน้องแว่นคนนี้ที่บอกว่าอยากไปเรียนต่อที่นิวซีแลนด์ จะได้กลับมาหาลู่ทางเพิ่มอัตราการผลิตเนื้อแกะในประเทศ (ญี่ปุ่น) ให้สูงขึ้นนี่แหละ




แล้วก็มาถึงคิวแนะแนวของบักแว่นกันบ้าง โดยอ.ก็บ่นเสียดายผลการเรียนของบักแว่นว่าน่าจะเข้ามหาวิทยาลัยมากกว่า และบอกว่าที่ผ่านมาตัวเองก็ไม่เคยเจอเด็กที่คิดจะเปิดกิจการส่วนตัวหลังเรียนจบเสียด้วย ก็เลยไม่รู้จะให้คำแนะนำบักแว่นยังไงดี บักแว่นก็อ้อมแอ้มขอโทษอาจารย์ที่ทำให้ลำบาก อาจารย์ก็ถามกลับว่าที่บักแว่นขอโทษคนอื่นกับใส่ใจเรื่องความผิดพลาดอยู่บ่อยๆ ก็เพราะกลัวว่าตัวเองจะทำพลาดงั้นหรือ บักแว่นก็ยอมรับว่าตัวเองกลัวทำพลาดจริงๆ อ.ก็ถามว่าที่กลัวทำพลาดเพราะยังฝังใจเรื่องเรียนต่อไม่รอดอยู่งั้นเหรอ บักแว่นก็ยอมรับว่าเรื่องนั้นก็จริงเหมือนกัน ถึงตอนนี้จะไม่ได้คิดมากเรื่องนั้นแล้วก็จริง แต่ความผิดพลาดในตอนนั้นก็หยั่งรากลึกเกินกว่าจะถอนออกไปได้ง่ายๆ ถึงจะคิดว่าต้องมั่นใจแล้วมุ่งตรงไปข้างหน้าแค่ไหน แต่อีกด้านหนึ่งก็นึกกลัวขึ้นมาว่าจะมีปัญหาโน่นนี่หรือเปล่าหรือจะออกตัวแรงเกินไปแล้วหรือเปล่าอยู่เหมือนกัน

อ.ได้ยินดังนั้นก็ยิ้มเอ็นดู แล้วสอนบักแว่นว่า โรงเรียนก็เหมือนสวนที่เตรียมไว้ให้สำหรับนักเรียนนั่นแหละ แม้จะมีกฎระเบียบหรืออะไรก็ตามแต่เป็นข้อจำกัดอยู่บ้าง แต่ก็เป็นสวนสมบัติอันล้ำค่าที่นักเรียนจะเลือกเก็บเกี่ยวจากที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเรียนรู้ด้วยหัว เรียนรู้ด้วยท้อง เรียนรู้ด้วยกล้ามเนื้อ เรียนรู้ด้วยเครื่องจักร เรียนรู้จากสัตว์ เรียนรู้จากคน หรือจะใช้เวลาตลอด 3 ปีที่อยู่ที่นี่สร้างสัมพันธ์กับผุ้คนเหล่านั้นก็ย่อมได้  มีอิสระในการเลือกเก็บเกี่ยวจากที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น หนทางที่บักแว่นเลือกเดินไปนั้นเป็นหนทางที่ไม่มีนักเรียนเอโสะโนคนไหนเคยเลือกมาก่อน ดังนั้นในฐานะอาจารย์แล้ว ตัวอาจารย์ประจำชั้นเองก็อยากเห็นเหมือนกันว่าหนทางที่บักแว่นเลือกเดินจะเป็นอย่างไร ไม่ใช่เรื่องที่บักแว่นจะต้องมาขอโทษเลยแม้แต่นิดเดียว

ถึงอย่างนั้น บักแว่นก็ยังอดอ้อมแอ้มไม่ได้ว่าแล้วถ้าตัวเองไม่ได้อะไรไปเลยล่ะจะทำยังไง อ.ก็ให้กำลังใจต่อว่าถ้าไม่เริ่มก็ไม่ได้อะไรเลยเหมือนกันไม่ใช่เหรอ ยังไงก็เริ่มต้นก่อนเถอะน่า (แอบมีหยอกนิดๆ ด้วยว่าแต่ถ้าบักแว่นเลือกเข้ามหาลัยละก็ อาจารย์ก็ดีใจเพราะจะได้ผลงานด้วยอยู่หรอก) ก่อนจะปล่อยบักแว่นกลับไป แล้วบอกว่าถ้ามีปัญหาอะไรก็มาปรึกษาได้ทุกเมื่อนะ


แถมมุกเล็กน้อยกับช่วงแนะแนวของบักสมองไก่โทคิวะ (อ.ถามว่าอนาคตโทคิวะอยากทำอะไร บักสมองไก่ก็ตอบว่ากลับไปเลี้ยงไก่ที่บ้านครัฟ ทำเอาอ.ถึงกับยิ้มปุเลี่ยนๆ บอกว่าง่ายดีเนอะไปเลย)




หลังจากนั้นบักแว่นก็แวะไปชมรมขี่ม้า แล้วก็ต้องตะลึงเมื่อเห็นอากิขยับรั้วกระโดดข้ามของม้าขึ้นไปสูงเกือบถึงครึ่งหัว (ประมาณ 160 ซม.ได้) บักแว่นเข้าไปถามอากิทันทีว่าวันนี้จะให้ขี่ม้าโดดข้ามรั้วสูงขนาดนี้เลยเหรอ อากิก็บอกว่าเปล่าหรอก แค่ซาคาเอะจัง (นักเรียนหญิงชมรมขี่ม้าอีกคนที่ผมสองสี) เค้าอยากเห็นว่ารั้วข้ามที่ใช้ในการแข่งระดับโลกสูงขนาดไหน ก็เลยลองขยับให้ดูเท่านั้นเอง


ความสูงของรั้วสำหรับให้ม้าโดดข้ามในงานแข่งระดับโลก...สูงเกือบๆ เท่าหัวอากิเลยทีเดียว




ความสูงของรั้วทำเอาบักแว่นกับเพื่อนๆ ชมรมขี่ม้าคนอื่นถึงกับหลอนเมื่อนึกภาพสัตว์ยักษ์หนัก 500 - 600 กก.กระโดดหวือข้ามหัวตัวเองไปได้ง่ายๆ และหันไปคุยกันว่าถ้าโดนสัตว์ตัวขนาดนั้นโดดข้ามหัวจะรู้สึกยังไงกันนะ อากิก็เล่าให้ฟังว่าสมัยยังเด็กตอนไปดูการแข่งขี่ม้ากระโดดข้ามสิ่งกีดขวางครั้งแรก ตัวเธอเองก็ตะลึงเหมือนกัน เพราะนึกไม่ถึงว่าม้าตัวใหญ่ขนาดนั้นจะโดดข้ามหัวตัวเองได้ง่ายๆ แบบนั้น และยิ่งตะลึงไปกว่าเดิมเมื่อได้รู้ว่ารั้วที่ม้าโดดข้ามน่ะสูงกว่าตัวเอง (ในตอนเด็ก) ซะอีก ความตื่นเต้นในครั้งนั้นเองที่เป็นแรงกระตุ้นให้อากิรักการขี่ม้ากระโดดข้ามสิ่งกีดขวาง

"แต่ตอนนี้ชั้นขี่ม้าโดดข้ามรั้วสูงเกิน 1 เมตรได้ง่ายๆ แล้วใช่มั้ยล่ะ รู้แบบนี้แล้วมันก็คิดขึ้นมาเลยว่าต่อให้วันนี้ยังก้าวข้ามไม่ได้ ยังไงสักวันก็ต้องก้าวข้ามได้แน่นอน"


ได้ยินอากิพูดแบบนั้น บักแว่นก็ถามอากิว่าเห็นทางได้เข้าเรียนมหาลัยแบบโควต้าเลยมั่นใจขึ้นงั้นเหรอ อากิก็ตอบว่าใช่แล้ว และบอกต่อว่าตอนนี้ตัวเธอก็เริ่มสนุกกับการท่องหนังสือมากขึ้นแล้วด้วย คำตอบของอากิทำเอาบักแว่นถึงกับออกอาการดี๊ด๊าขึ้นมาทันควันเมื่อได้เห็นว่าอากิเริ่มเข้ใจถึงความสนุกของการเรียนขึ้นมาแล้ว (ทำเอาอากิถึงกับคิดในใจแว่บขึ้นมาเลยว่าตอนตัวเองคุยเรื่องม้าให้บักแว่นฟังก็คงทำตาลุกประมาณนี้เลยสินะ) อากิก็เอ่ยปากขอบคุณบักแว่นที่ช่วยติวให้ บักแว่นก็โบกมือบอกว่าไม่ต้องขอบคุณเขาหรอก เขาก็แค่บอกเคล็ดในการท่องในการจับจุดให้เท่านั้น เทียบง่ายๆ ก็เหมือนเป็นแค่จ็อกกี้ที่บอกทางให้ม้าไปเท่านั้นแหละ เพราะงั้นจะชมตัวเขาไม่ได้หรอก ต้องชมม้าต่างหาก (ว่าง่ายๆ มันจะชมว่าอากิน่ะเก่งอยู่แล้ว ตัวเองแค่บอกเคล็ดให้อากิดึงความเก่งออกมาใช้ได้เท่านั้น) อากิก็ปฏิเสธว่าไม่ใช่แบบนั้นซักหน่อย จ็อกกี้ที่นำทางม้าให้ไปตามทางที่ถูกต้องได้ต่างหากที่เก่งกว่า กลายเป็นรายการผลัดกันอวยกันเองไปตามระเบียบ


เสร็จจากชมรม บักแว่นก็กลับหอมานอนพัก โดยระหว่างนั้นก็โทรบอกแม่เรื่องหาหอนอกอยู่ได้แล้วด้วยความช่วยเหลือจากพ่อกับอาของอากิ และบอกว่าปิดเทอมนี้จะไปเซ็นสัญญาเข้าพักเลย แม่บักแว่นก็ตอบว่างั้น "พวกเรา" จะไปด้วย จะได้ไปช่วยดูเรื่องสัญญาเข้าพักและไปขอบคุณทางบ้านของอากิที่ช่วยหาหอให้ด้วยเลย

บักแว่นก็ชะงักกับคำว่า "พวกเรา" ในประโยคของแม่ไปแว่บหนึ่ง แม่บักแว่นก็บอกว่า "ครั้งนี่พ่อเค้าบอกว่าจะมาด้วยน่ะ"









ก็เป็นตอนสุดท้ายของปี 2013 นี้ละนะครับสำหรับช้อนเงินตอนนี้

การปรากฏตัวของ MVP "เดอะเตี่ย" ในตอนสุดท้ายนี้ถือเป็นของขวัญประทับใจในวันคริสต์มาสอีฟและของขวัญส่งท้ายปีที่ตื่นเต้นดีจริงๆ แฮะ (ประทับใจจนอยากร้องเพลง Santa Claus is coming to town เวอร์ชั่นแปลงให้บักแว่นเป็นกำลังใจเลย หัวเราะ) อยากรู้จริงๆ ว่างานนี้เตี่ยบักแว่นจะมาไม้ไหน และถ้าได้เจอกับเตี่ยอากิจะออกมาเป็นยังไง

แต่คงต้องเอาไว้ดูกันช่วงกลางเดือนมกราคมละครับ เพราะเรื่องนี้จะหยุดพักเก็บข้อมูลในโชเน็นซันเดย์เล่ม 6 มาลงอีกทีก็ช่วงเล่ม 7 ซึ่งจะออกกลางเดือนมกราคมไปเลย


ปล. - ชอบคำสอนครูประจำชั้นบักแว่นในตอนนี้แฮะ เหมือนแกจะสอนบักแว่นให้ไม่ต้องรีบร้อน ค่อยๆ เรียนรู้เก็บเล็กผสมน้อยไปทีละนิดตลอดเวลา 3 ปีค่อยลงมือทำเลยจริงๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่