เคยไปสัมภาษณ์งานแล้วโดนว่าว่าว่า จนต้องออกมาร้องไห้มั้ยคะ

วันนี้เราไปสัมภาษณ์กับบริษัทแห่งหนึ่งในตำแหน่ง accountung manager กับ MD คือเราผ่านการสัมรอบแรกกับ hr and financial controller มาแล้ว เราคิดไม่ถึงเลยว่ากายสัมวันนี้จะโหดขนาดนี้ เราว่า MD เขาคงตั้งใจพูดว่าแรงๆเพื่อทดสอบเรามั้ เข้ามาถึงก้อว่าเราการแต่งตัว ต่อมาก้อว่าเรื่องการเรียนจบแบบเกรดต่ำๆแล้วก้อถามกดดันเรื่องไม่มีครอบครัว ถามเรื่องการวางแผนในอนาคตทั้งด้านการงานและการเงิน คืออธิบายไม่ถูกรู้แต่ทุกคำพูดมันแย่มากสำหรับเราและจบการสัมแบบไม่ค่อยสวยรู้เลยว่าเราไม่ผ่านแน่

แค่อยากรู้ว่าการสัมภาษณ์แบบจิตวิทยาที่สร้างความกดดันให้ผู้สมัครเนี่ยมีจริงๆใช่ปะ เราไปสัมมาหลายที่ ที่นี่เป็นที่แรกที่โดนแบบนี้ เราคงไม่ชิน พอกลับออกมาเราแิบมาร้องไห้เรย
แสดงว่าเรายังไม่เข้มแข็งพอหรือเปล่า ชักเริ่มกลัวๆกับการออกไปเริ่มต้นใหม่ 😭😭😭
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 13
ถ้าคุณรู้เทคนิค และสะสมความรู้มากพอ ให้คำตอบที่คุณตอบถูกทาง คุณจะได้คะแนนเพียบเลยครับ

คือเวลาคัดเลือกคน เค้าดูกระดาษที่คุณให้ข้อมูลเค้าไป นั่นเค้ารู้ระดับนึงแล้วว่า เราเคยทำอะไรมาบ้าง ดีแค่ไหน เค้ารู้ไปเยอะแล้วครับ บางบริษัทให้กรอกประวัติเป็น 10 หน้า มีแบบทดสอบอีก เยอะจนมึนเลยจริง ๆ เคยโดนมาเหมือนกัน แต่สิ่งที่คนพวกนี้อยากจะได้จากเราคืออยากรู้ภายใน "จิตใจ" ของเราว่า เก๋าแค่ไหนครับ

วิธีการเบื้องแรกที่จะต่อว่า (ด่า) คนที่มาสัมภาษณ์ได้อย่างสะใจคือ ค้นหาจุดอ่อนของคุณจากกระดาษทีเราให้ประวัติเค้านั่นแหล่ะครับ ไม่ว่าจะเรียนจบ เกรดไม่สวย บางวิชาอาจจะเรียนไม่ค่อยดี รวมไปถึงการทำงานกับบริษัทใด แล้วมี ระยะเวลาสั้น ๆ แล้วลาออกเร็วเกิน ก็เป็นจุดอ่อนได้ครับ คำถามโหล ๆ ทั่วไปที่เคยเจอกันคือ คุณมีเป้าหมายในชีวิตในระยะเวลาอันสั้น กลาง และระยะยาว อย่างไรบ้าง ฮ่า ๆ ข้อนี้เจอบ่อยครับ เตรียมจัดคำตอบไว้ในคราวหน้าได้เลยครับ มันถามเราแน่ ๆ แม้แต่เงินเดือนทีเก่าเรา น้อยไป หรือมากไป ก็ยังขุดมาไล่บี้เราได้อย่างขำขันครับ

ก้าวไปถึงคำถามเรื่องความอบอุ่นในครอบครัว พ่อแม่ พี่น้อง รวมถึงชีวิตส่วนตัวของเราเอง เค้าจะบุกครับ บุกง่ายมากถ้าเราโสด คำถามพื้น มีแฟนหรือยัง วางแผนแต่งงานไหม มีลูกเมื่อไหร่ มีลูกกี่คน สำหรับคนโสดคำถามพวกนี้ จี้ใจดำอย่างเต็ม ๆ ครับ ทำให้อารมณ์เฉย กลายเป็นโมโห อารมณ์ขึ้นในไม่กี่วินาทีหรอกครับ แต่ถ้าเรารู้ว่า เค้าต้องการอะไรจากเรา และเรามีคำตอบพวกนี้เตรียมไว้ล่วงหน้าหมดแล้ว เราจะขำเล็ก ตอบไปแล้วก็ยิ้มไปได้เรื่อย ๆ ครับ ไม่มีเครียดเลย

ผมแนะนำว่าให้คุณจดคำถาม ที่เค้าถามเราเก็บไว้เป็นบันทึก ทุกครั้งที่เราไปสัมภาษณ์คุณจะรู้ทางตอบได้ง่าย ๆ ถ้าไม่รู้ให้เอาคำถามที่ตอบไม่ได้ มาปรึกษาผู้ใหญ่ หรือในเน็ต ทางตอบให้ได้คะแนนมันมีอยู่ครับ ผมจะลองถามตอบให้คุณดู เผื่อจะเป็นแนวทางครับ

ถาม : อายุป่านนี้แล้วทำไมไม่แต่งงานครับ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า ?
ตอบ : คือตั้งแต่ตอนเรียนมหาลัย เคยมีแฟนค่ะ แต่คบกันมาได้พักนึงก็คิดเห็นไม่เหมือนกัน เลยเลิกกันไป หลังจากนั้นต้องการทำงานอย่างเดียว ไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้อีก แม้ว่าจะมีคนมาจีบอยู่พอสมควร แต่ก็ไม่ได้ตอบรับใคร รู้สึกสบายใจกับการเป็นโสด อยู่คนเดียว กับพ่อแม่และครอบครัว ที่บ้าน เลยไม่ได้สนใจเท่าไหร่ แต่ก็คิดลึก ๆ ว่าวันนึงจะเจอคนที่ใช่ แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ก่อนมาสัมภาษณ์นี่ ก็ไม่ได้คิด แต่พี่ดันถามเลยเริ่มคิดแล้วว่า ถ้าได้งานใหม่ และเจอคนที่ใช่อาจจะคิดอยากแต่งงานแล้วหล่ะค่ะ

ถาม : น้องมีข้อเสียอะไรหรือเปล่า ผู้ชายเค้าถึงไม่ชอบและต้องเลิกกัน
ตอบ : คนเราก็มีข้อเสียกันทั้งนั้นแหล่ะค่ะ พี่ ๆ ที่นั่งมองหน้าหนูเป็นตาเดียวกัน ก็มีข้อเสียกันทุกคนใช่ไหมคะ (ยิ้มใส่ทุกคนเลย) ค่ะหนูก็มีข้อเสีย อยู่บ้าง เช่น ขี้งกค่ะ แฟนยืมเงินไม่ให้ยืมค่ะ ก็คิดว่ามันสิทธิ์ของเรา เรามีภาระต้องเก็บเงินใช้หนี้ให้ที่บ้าน จะมาให้คนอื่นยืมแล้วไม่คืน มันไม่ได้ค่ะ เป็นผู้ชาย บางทีต้องรู้จักให้มากกว่า จะมาขอค่ะ ที่เลิกกัน เป็นความห่างกันตอนเริ่มทำงาน และรู้สึกเหมือนเพื่อนกันมากกว่าค่ะ คงไม่ได้เลิกกันที่ข้อเสียของแต่ละคนหรอกค่ะ

ถาม : ทำไมการเรียนน้องเกรดเฉลี่ยดูน้อยไปหน่อยไหมครับ คือทำไมไม่ตั้งใจเรียนมากกว่านี้อีกหน่อยครับ รู้ไหมมันมีผลเวลาสมัครงานในอนาคต
ตอบ : ตอนหนูเรียนก็ค่อนข้างตั้งใจเรียนพอสมควรนะคะ และพอจะเข้าใจว่าคนไทยยังดูเกรดตอนเรียนจบ เป็นประเด็นสำคัญที่สุดในการรับเข้าทำงาน แต่หนูก็เชื่อมั่นว่าตัวเองยังมีข้อดีอื่น ๆ ที่เกรดมันวัดไม่ได้ค่ะ ช่วงนั้นหนูก็ทำกิจกรรมในสถาบันมาบ้าง อาจจะทำให้รบกวนเวลาเรียน เวลาอ่านหนังสือไปบ้าง แต่หนูก็รู้สึกดีค่ะที่ได้ทำกิจกรรมนั้น แม้ว่าเกรดจะไม่สวย แต่หนูคิดว่าหนูทำดีสุดแล้ว พี่รู้ไหมว่าฝรั่งเวลาเรียกสัมภาษณ์เค้าไม่ค่อยดูกระดาษหรอกค่ะว่าเกรดดีแค่ไหน เค้าโยนงานให้ทำให้ดูเลย ถ้าทำได้รับ ถ้าทำไม่ได้ก็กลับบ้านค่ะ หนูยังเชื่อว่าบริษัทที่เป็นแนวนี้มีอยู่ในบ้านเราด้วยค่ะ แต่ถ้าพี่ ๆ คิดว่าบริษัทพี่มองเกรดสำคัญสูงสุด หนูก็ยอมรับตามนี้ค่ะ เพราะเป็นกฏของบริษัทของพี่ ๆ หนูเข้าใจดี และไม่โกรธค่ะ

หนูอยากถามพี่กลับค่ะว่า ทำไม เศรษฐีในประเทศไทยเราบางคนจบ.ป 4 บางคนจบน้อยกว่านี้ก็มี แต่คนที่เป็นลูกจ้างของแก เรียนจบปริญญาตรี โท เอก ก็มี แปลกหรือเปล่าคะ บางทีกระดาษมันก็วัดค่าอะไรบางอย่างไม่ได้ค่ะ ใช่ไหม ?

ถาม : เป้าหมายในชีวิตของคุณต้องการอะไรในระยะ 1 ปี 5 ปี และ 10 ปีข้างหน้า
ตอบ : (ห้ามตอบว่า ยังไม่ได้คิดนะครับ) ค่ะระยะสั้นหนูอยากมีงานดี ๆ ทำ ที่ทำแล้วมีความสุข สบายใจในเพื่อนร่วมงานค่ะ มีเงินเล็ก ๆ เอาไปส่งน้องเรียนหนังสือต่อค่ะ ระยะกลาง หนูอยากหาอบรมความรู้เพิ่มเติมค่ะ ประเภท อาชีพอิสระ เผื่อยามว่าง ๆ จะได้มีอะไรทำแก้เหงา เป็นกิจกรรมที่คนในบ้านช่วยกันทำค่ะ ดูสนุก และอบอุ่นดี ระยะยาวอยากเก็บเงินพาครอบครัวนั่งเครื่องบินเที่ยวญี่ปุ่นค่ะ เป็นความฝันของแม่หนูค่ะอยากให้ท่านฝันเป็นจริง หนูเองก็อยากไปเหมือนกัน แต่ต้องเก็บเงินนานหน่อยค่ะ รายจ่ายที่บ้านเยอะ
+ส่วนเรื่องส่วนตัว ถ้าเจอคนที่ใช่เมื่อไหร่ดูใจ 2-3 ปี แต่งงานมีลูกซัก 1 คนค่ะ

ถาม : น้องคิดเห็นเรื่องม็อบบนถนนอย่างไร มีแนวคิดด้านการเมืองอย่างไรบ้าง น้องอยู่สีไหน
ตอบ : หนูไม่มีสีค่ะ หนูอยู่ข้างประชาธิปไตยเท่านั้นค่ะ ก็ต่างคนต่างคิดว่าตัวเองดี รักชาติ รักประเทศกันทุกคนค่ะ บางทีถ้าจับมานั่งคุยกัน ตกลงกันมันจะง่ายค่ะ แต่ถ้าไม่ยอมคุยกันก็จะเกิดปัญหา ตามหลังมาอีกเยอะค่ะ อย่างน้อยทุกคนต้องเคารพกฏหมาย ยอมรับความคิดเห็นในความแตกต่างทางความคิด สุดท้ายเราจะไปลงตัวกันที่ ต้องสอบถามคนส่วนใหญ่ว่าต้องการอย่างไร ด้วยการเลือกตั้ง หรือการถามประชามติ แบบนี้น่าจะทำให้จบปัญหาได้ค่ะ

--
จำไว้ว่าเจอคำถามฮาแค่ไหน อย่าแสดงออกทางสีหน้า และอารมณ์ คืออย่าโกรธ ต้องคิดเรื่องขำ ๆ สนุก ๆ ไว้ในใจ ควรตอบด้วยความมั่นใจ แล้วก็ยิ้มแย้มเสมอนะครับ เมื่อไหร่หน้าเบี้ยว ร้องไห้ น้ำตาคลอ เสียคะแนนแล้วครับ ทุกคำถามจะมีคำตอบ อย่านิ่ง อึ้งนาน ๆ แบบคิดไม่ออก ไม่ได้ครับ ต้องตอบแบบไหลลื่นพอสมควร อย่าตอบเร็วแบบฟังยาก แบบฟังไม่รู้เรื่อง

ขอให้โชคดีมีชัย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่