ทีมข่าวการเมือง
ท่ามกลางฝุ่นควันความรุนแรงที่ย่านรามคำแหงเมื่อวันที่ 30 พ.ย. ต่อเนื่องถึงวันที่ 1 ธ.ค. มีคลิปมากมายที่ถูกเผยแพร่ในโซเชียลมีเดียเพื่อต่อต้านฝ่ายตรงข้าม บ้างเป็นข้อมูลที่ไม่เป็นจริง บ้างเป็นคลิปที่ระบุว่าเป็นส่วนหนึ่งส่วนใดของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หนึ่งในคลิปที่ได้รับการแชร์มากที่สุด คือ คลิปป้าเสื้อแดง 2 คนที่ออกมายอมรับว่ารับจ้างมาชุมนุมที่ราชมังคลากีฬาสถาน โดยมีการเผยแพร่กันตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. ซึ่งเป็นวันที่เหตุการณ์การปะทะเริ่มเบาบางลงและ นปช.ตัดสินใจยุติการชุมนุม ผู้ชุมนุมทยอยกันออกจากสนามกีฬา
ในคลิปดังกล่าว ปรากฏภาพกลุ่มผู้ชายยืนล้อมหญิงวัยกลางคนและหญิงสูงอายุ หญิงวัยกลางคนตอบคำถามยอมรับต่อหน้ากล้องว่าได้รับการจ้างให้มาชุมนุมวันละ 200 บาท
มีการแชร์คลิปวิดีโอของผู้ใช้ชื่อว่า Tan Tan จำนวน 20,201 แชร์ เมื่อวันที่ 15 ธ.ค.56
มีการแชร์คลิปวิดีโอของผู้ใช้ชื่อว่า You Clip (รวมคลิป) จำนวน 11,678 แชร์ เมื่อวันที่ 15 ธ.ค.56
ดูเผินๆ เหตุการณ์นี้ไม่น่าจะมีอะไร เป็นการเปิดโปงความจริงจากปากคำของหญิงสองคนที่นั่งยองๆ ท่ามกลางวงล้อมของชายฉกรรจ์ เพียงแต่บังเอิญว่าผู้หญิงหนึ่งในนั้นเป็นสมาชิกสภาจังหวัด (ส.จ.) ระดับนำของคนเสื้อแดงในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี
มีผู้คนรู้จักเธออยู่ไม่น้อย หลายคนเกิดความงุนงงสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น เหตุใดเธอจึงพูดเช่นนั้น ความพยายามติดต่อเธอเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจากทั้งนักกิจกรรม ผู้สื่อข่าว ฯลฯ แต่เธอไม่รับโทรศัพท์ของใครทั้งสิ้น จนกระทั่งเหตุการณ์ผ่านไปหลายวัน จึงสามารถติดต่อเธอได้
การพูดคุยกันทำให้ทราบถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้นโดยกลุ่มคนไม่ทราบฝ่ายที่กระทำต่อผู้ชุมนุม แม้ความรุนแรงจะเกิดขึ้นเพียง 2 วัน 1 คืน สื่อมวลชนรายงานตัวเลขผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บ ผู้มีสถานะทางสังคมที่ออกมาให้ความเห็นต่อเหตุการณ์นี้ แต่สิ่งที่มองไม่เห็นคือ ความรุนแรงย่อยๆ ที่เกิดขึ้นกับคนที่ไม่มีปากมีเสียง มันเป็นภาพสะท้อนอันโหดร้ายและน่าสะพรึงกลัวท่ามกลางความแตกแยกที่มีอยู่ขณะนี้ และไม่มีใครรับประกันได้ว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นอีก กระทั่งลุกลามหนักหน่วงกว่านี้
คำแสน ไชยเทพ วัย 43 ปี คือหญิงที่ปรากฏในภาพ เธอเป็นคนเสื้อแดงตั้งแต่ปี 2551 ในเหตุการณ์ปี 2553 ลูกชายของเธอถูกจับกุมในคดีเกี่ยวกับการชุมนุมเมื่อปี 2553 ต่อมาเธอได้รับเลือกเป็น สมาชิกสภาจังหวัดอุดรธานี ประชาไทโทรศัพท์สัมภาษณ์เธอเพื่อสอบถามถึงเหตุการณ์ในวันดังกล่าว
คำแสนเล่าว่า เธอเดินทางพร้อมชาวบ้าน ตำบลบ้านตาด อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี เพื่อมาร่วมชุมนุมกับ นปช.โดยว่าจ้างรถตู้จำนวน 8 คันในราคารถปิกอัพเนื่องจากคนขับรถตู้เองก็อยากมาร่วมชุมนุมด้วย พวกเขาเดินทางมาถึง กทม.ในช่วงเช้ามืดของวันที่ 30 พ.ย. และเข้าร่วมชุมนุมในสนามกีฬาตามปกติ กระทั่งตอนเย็นที่เริ่มเกิดเหตุปะทะกัน เธอก็อยู่ภายในสนามกีฬา
เธอเล่าว่า คนในสนามมีจำนวนพอสมควร ทุกคนที่นั่งอยู่รู้ว่าเกิดความรุนแรงขึ้นภายนอก แต่บนเวทีไม่ค่อยมีการพูดเรื่องนี้ ซึ่งเธอคิดว่าเป็นเพราะแกนนำคงกลัวมวลชนจะตื่นตกใจ ขณะเดียวกันก็มีการประกาศห้ามคนในสนามออกไปด้านนอกด้วย
“สงสารคนกรุงเทพฯ มาก เขากลับไม่ได้ เราคนต่างจังหวัด เราเคยมาค้าง เราอยู่ได้ แต่คนกรุงเทพฯ ที่มา หน้าตาดีๆ อดหลับอดนอน ออกมาไม่ได้ อยู่กันจนสว่าง พวกเราที่ไปด้วยกันก็ไม่มีใครออกมาเพราะกลัว แต่มีคนเทียวออกมาเอาของที่รถตู้อยู่ การ์ดบอกให้หลบกระสุน ก็เห็นเขายิงกัน เห็นเขาหามคนเจ็บกันอยู่ แต่ไม่คิดว่าใครจะเสียชีวิต รถตู้ที่เราเอาไปจอดอยู่ที่ชั้น 2 ก็เพิ่งรู้คืนนั้นแหละว่า นั่นรามคำแหง ยังคิดว่า โห ทำไมมันใกล้กันจัง กำแพงเตี้ยๆ เอง”
จนถึงตอนเช้า แกนนำประกาศให้รอตำรวจมารับ ผู้คนในสนามรอคอยกันอยู่เป็นเวลานานก็ยังไม่เห็นวี่แววตำรวจ ในขณะที่อาหารและน้ำดื่มขาดแคลนตั้งแต่เมื่อคืน ห้องน้ำเต็ม ไม่สามารถใช้การได้ ทำให้คนจำนวนหนึ่งทยอยออกจากสนามเอง เมื่อเห็นดังนั้น คำแสนและพรรคพวกจึงออกมาขึ้นรถตู้เพื่อออกจากสนามกีฬา โดยนัดแนะกันว่าจะเลี้ยวขวาไปรอกันที่ปั๊มเชลล์ซึ่งอยู่ไม่ไกลแล้วจะยูเทิร์นกลับรถเพื่อเดินทางกลับบ้าน รถตู้ 5 คันแรกดำเนินการได้ตามนั้น แต่มี 3 คันที่ยังติดค้างอยู่จนกระทั่งเกิดเหตุ
นาทีชีวิต ความผิดพลาดของ “การเข้าห้องน้ำ” และ "GPS"
“คันอื่นเขายูเทิร์นไปแล้ว แต่อีกสามคันยังออกไม่ได้ เพราะรอชาวบ้านเข้าห้องน้ำ ตอนจอดรถรออยู่ก็เอะใจแล้ว ความรู้สึก สัญชาตญาณของเรารู้สึกว่าไม่ใช่แล้วล่ะ ชาวบ้านไม่รู้ว่าสถานการณ์อย่างนั้นไม่ควรไปเข้าห้องน้ำ แต่เขาก็ลงไป มอเตอร์ไซด์ก็จ้องแล้ว เราก็บ่นกันอยู่ว่าทำไมต้องไปเข้าห้องน้ำในสถานการณ์แบบนี้ ก็โมโหให้ชาวบ้านอยู่ เขาก็บอกว่าเขาทนไม่ไหวในนั้น (สนามกีฬา) ห้องน้ำมันเต็ม บ่นไม่ทันขาดคำ มอเตอร์ไซด์ก็มาวนรอบรถตู้แล้ว ประมาณ 3-4 คัน ใจคอไม่ดีแล้ว เรารู้เลยว่ามันผิดปกติ”
เธอไล่ชาวบ้านขึ้นรถ โดยเธอและผู้ใหญ่กองชัย ผู้เป็นสามีขึ้นรถตู้คันสุดท้าย รถตู้ทั้งสามคันยูเทิร์นกลับและขับเกาะกลุ่มกัน แต่คันที่ออกก่อนหน้าไม่ขับตรงไป กลับเลี้ยวซ้ายไปทางด้านหน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหง เพราะคนขับไม่รู้ทางในกรุงเทพฯ และขับตามที่จีพีเอสบอก
“เราก็ตกใจ เรามาชุมนุมบ่อยก็รู้แล้วว่ามันไม่ใช่แล้ว ไปถึงก็เห็นรถคันเหลืองๆ ที่ถูกทุบ โทรไปหารถตู้คันหน้าให้หันกลับด่วน แต่มันไม่ทันแล้ว มอเตอร์ไซด์มันเริ่มวนมาแล้ว จะกลับมาก็ไม่ได้ มันล้อมหมดไม่รู้กี่คันต่อกี่คัน ไปไม่ได้แล้ว มีคนซัก 50 คนขวางอยู่”
“พวกนั้นเข้ามาทุบประตูให้เปิดออก ถามว่าเราเป็นเสื้อแดงไหม รถคันหน้าเปิดประตู ประสบการณ์เราในการชุมนุมเรารู้แล้วนี่ไม่ใช่คนของเรา แต่เราก็บอกไม่ได้มันนั่งรถตู้คนละคัน มาด้วยกันก็ต้องไปด้วยกัน เขาเปิดประตู พวกนั้นมีมีด ปืนสั้น ค้อน มีทุกอย่าง เขาเอาไม้เหมือนไม้หน้าสาม ไม้กอล์ฟทุบรถคันแรก เอาระเบิดปิงปองโยนเข้าในรถจนมีคนบาดเจ็บ รถยังเป็นรอยอยู่ แล้วก็เอาไม้กอล์ฟฟาดที่แขนของป้าคนที่โดนระเบิดปิงปองด้วย เอาไม้กระทุ้งท้องผู้ชายอีกคน แต่รถคันนั้นสุดท้ายก็พยายามประคองขับรถไป รอดไปได้”
ภาพรอยช้ำบริเวณแขนและขาของนาง คำแสน ไชยเทพ อายุ 43 ปี
(ถ่ายเมื่อ 3 ธ.ค.56)
“แต่อีกสองคันไปไม่ได้ คันข้างหน้ามันเลี้ยวไปผิดซอย เป็นซอยตัน ไปไหนไม่ได้ เขาก็วิ่งตาม ร้อง “ฆ่ามันๆ” พวกเราก็วิ่งลงจากรถตู้สองคัน ตัวพี่ ผู้ใหญ่ และป้าอีกคนหนึ่งแยกไปซ่อนอยู่ที่บ้านหลังใหญ่หน่อย เขาล็อคประตู คนอื่นๆ ไปไหนก็ไม่รู้ เราไปซ่อนตัว ได้ยินเสียงมันทุบรถ ในใจคิดว่าเราไม่รอดแล้วแหละ พยายามโทรหาผู้ใหญ่ โทรหา ส.ส. แต่โทรไม่ติด เพิ่งรู้ว่า ส.ส.แบตหมด ก็เลยโทรหา ส.จ.อีกคนหนึ่งที่มาด้วยกัน เขาก็ตกใจ เราบอกว่าช่วยหน่อย ตกอยู่ในอันตราย ตอนนั้นแบตเตอรี่เรามีค่ามาก อยู่ชุมนุมสองวันจนมันเหลือน้อยเต็มที ต้องการโทรหาผู้ใหญ่ให้ช่วยเรา ทาง ส.ส.อุดรก็ประสานให้ ไม่รู้ว่าใครโทรมาบ้าง จนมีผู้ใหญ่โทรมา เขาถามว่าอยู่ไหนก็บอกว่าไม่รู้ เราก็ไม่รู้จริงๆ ไม่รู้ว่าที่ไหน ก็บอกเขาว่ามันมีห้องเช่า มีคอนโด แต่ก็ไม่รู้ว่ามันเป็นซอยไหน แม้แต่หน้ารามหลังรามก็ยังไม่รู้เลย เพิ่งมารู้ตอนหลัง สุดท้ายก็บอกเขาว่ามาซอยไหนก็ได้จะเห็นรถตู้จอดทิ้งอยู่ เขาก็บอกว่าตำรวจเข้าไม่ได้ อ้าว ถ้าตำรวจเข้าไม่ได้จะทำยังไง คน 20 กว่าคนนี่จะปล่อยให้เขาตายหรือ”
เธอเล่าว่า เธอหลบอยู่นานกับสามีและป้าอีกคนหนึ่ง จนกระทั่งตัดสินใจให้สามีข้ามไปขอความช่วยเหลือจากบ้านอีกหลังหนึ่ง โดยเธอกับป้าจะรออยู่ที่เดิม เนื่องจากคิดว่ากลุ่มชายฉกรรจ์จะไม่ทำร้ายผู้หญิงสูงวัย สามีของเธอไปขอความช่วยเหลือจากบ้านฝั่งตรงข้าม
“ตอนนั้นได้ยินคนในบ้านเขาถามกันว่าใครเหรอ พอผู้ใหญ่กองชัยบอกว่าเป็นเสื้อแดง เขาก็บอกว่า เสื้อแดงเหรอ ฆ่ามันเลยๆ เราก็เลยพูดกับป้าว่า เราไม่ต้องไปหรอก ไปเราก็ตาย ไม่ไปเราก็ตาย เราเอาเวลาสวดมนต์ดีกว่า สุดท้ายมันก็ตามเจอ แต่พอมันมาถึงก็ไม่เห็นผู้ใหญ่ปองชัยแล้ว”
รู้จักประชาธิปไตยไหม จงรักภักดีไหม
ก่อนหน้าที่จะถูกจับได้ เธอทำลายบัตร ส.จ.และนัดแนะกับป้าที่มาด้วยว่า อย่าบอกว่าเธอเป็น ส.จ. และหากพวกเขาถามอะไรเธอจะเป็นคนพูดเอง จากนั้นชายฉกรรจ์ราว 30-40 คนก็มาพบและนำตัวทั้งสองออกไป
“เขาเอาปืนสั้นจี้หัว ตอนแรกยืนอยู่ก็เตะขาข้างหลังให้นั่ง “พวกไม่ต้องมายืนคุยกับพวกกู พวกมันพวกคนชั่ว รู้ไหมมาทำอะไร” เราก็บอกไม่รู้ เขาบอกจะพามาเที่ยวสนามราชมังคลา เราเห็นพวกเขาถือกล้องใหญ่เหมือนกล้องทีวีเลย ตอนนั้นคิดในใจว่า ถ้าถ่ายกูก็จะเห็นภาพที่เอาปืนจี้หัวกู แล้วคำที่พูดกับกูนั่นมันโหดร้ายป่าเถื่อนขนาดไหน มันบอกว่า ต้องพูดว่าถูกจ้างมาพันสอง เราก็บอกว่าป้าไม่ได้มาอะไรขนาดนั้น มันบอกไม่ได้ เราก็ว่าไม่ใช่ มันก็เลยทุบแขน เอาสันมีดทุบที่แขน เราก็แค้นเนอะ ร้องไห้ด้วย ในใจคิดว่าทำไมบ้านเมืองเราโหดร้ายป่าเถื่อนขนาดนี้ ทำไมไม่ยุติธรรมอย่างนี้ ชะตากรรมเราทำไมมันเป็นแบบนี้ ในใจคิดว่าเราพูดอะไรออกไปก็ได้ เอาปืนจี้หัวเราคนก็จะเห็น พวกนั้นเอาน้ำให้กิน ตอนแรกจะไม่กิน แต่มันบังคับก็ต้องกิน แล้วก็ถามว่า เรารู้จักประชาธิปไตยไหม รักในหลวงไหม ก็บอกว่า พวกเราคนไทยทุกคนต้องรักในหลวง พวกเราไม่เคยคิดว่าใครจะไม่รักในหลวง เราว่าอย่างนี้ ถ้าเราอธิบายเยอะ มันจะรู้ว่าพวกเรารู้เรื่องการเมือง เราก็บอกว่า ป้าก็เทิดทูนสถาบัน ทำไมอยู่ๆ ถึงเอาเรื่องในหลวงของเรามาพูด ในหลวงคือพ่อของแผ่นดิน มันถามว่าจงรักภักดีใช่ไหม รัก เรารักในหลวง แล้วมันก็ถามว่า รู้จักประชาธิปไตยไหม ก็บอกไม่รู้ เขาบอกจะพามาเที่ยวสนามราชมังคลา ไม่เคยมาก็เลยอยากมา ก็ได้ยินมันพูดกันว่า สงสัยเป็นชาวบ้านธรรมดา แล้วมันก็ถามหา ส.จ.-ส.ส. ที่มาด้วยกัน ก็เลยบอกว่า ไม่รู้เขาวิ่งไปทางไหนกันบ้าง ไม่เห็นเขา”


นางกองแก้ว โพธิ์จันทร์ แสดงบาดแผลจากเหตุถูกทำร้ายเมื่อวันที่ 1 ธ.ค.56 โดยระบุว่าถูกทำร้ายด้วยการถูกตีด้วยไม้กอล์ฟที่แขน (ภาพบน) และถูกทำร้ายด้วยระเบิดปิงปองจนเกิดบาดแผลที่ก้น (ภาพล่าง)
รอยแผลที่ก้นของนางกองแก้ว โพธิจันทร์ อายุ 50 ปี (ถ่ายเมื่อ 3 ธ.ค.56)
รอยแผลที่แขนนางกองแก้ว โพธิจันทร์ อายุ 50 ปี (ถ่ายเมื่อ 3 ธ.ค.56)
ปากคำป้าเสื้อแดงคลิป ‘รับจ้าง 200’ เหตุหน้ารามฯ บาดแผลสำหรับผู้ชื่นชอบระบอบทักษิณ
ท่ามกลางฝุ่นควันความรุนแรงที่ย่านรามคำแหงเมื่อวันที่ 30 พ.ย. ต่อเนื่องถึงวันที่ 1 ธ.ค. มีคลิปมากมายที่ถูกเผยแพร่ในโซเชียลมีเดียเพื่อต่อต้านฝ่ายตรงข้าม บ้างเป็นข้อมูลที่ไม่เป็นจริง บ้างเป็นคลิปที่ระบุว่าเป็นส่วนหนึ่งส่วนใดของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หนึ่งในคลิปที่ได้รับการแชร์มากที่สุด คือ คลิปป้าเสื้อแดง 2 คนที่ออกมายอมรับว่ารับจ้างมาชุมนุมที่ราชมังคลากีฬาสถาน โดยมีการเผยแพร่กันตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. ซึ่งเป็นวันที่เหตุการณ์การปะทะเริ่มเบาบางลงและ นปช.ตัดสินใจยุติการชุมนุม ผู้ชุมนุมทยอยกันออกจากสนามกีฬา
ในคลิปดังกล่าว ปรากฏภาพกลุ่มผู้ชายยืนล้อมหญิงวัยกลางคนและหญิงสูงอายุ หญิงวัยกลางคนตอบคำถามยอมรับต่อหน้ากล้องว่าได้รับการจ้างให้มาชุมนุมวันละ 200 บาท
มีการแชร์คลิปวิดีโอของผู้ใช้ชื่อว่า Tan Tan จำนวน 20,201 แชร์ เมื่อวันที่ 15 ธ.ค.56
มีการแชร์คลิปวิดีโอของผู้ใช้ชื่อว่า You Clip (รวมคลิป) จำนวน 11,678 แชร์ เมื่อวันที่ 15 ธ.ค.56
ดูเผินๆ เหตุการณ์นี้ไม่น่าจะมีอะไร เป็นการเปิดโปงความจริงจากปากคำของหญิงสองคนที่นั่งยองๆ ท่ามกลางวงล้อมของชายฉกรรจ์ เพียงแต่บังเอิญว่าผู้หญิงหนึ่งในนั้นเป็นสมาชิกสภาจังหวัด (ส.จ.) ระดับนำของคนเสื้อแดงในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี
มีผู้คนรู้จักเธออยู่ไม่น้อย หลายคนเกิดความงุนงงสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น เหตุใดเธอจึงพูดเช่นนั้น ความพยายามติดต่อเธอเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจากทั้งนักกิจกรรม ผู้สื่อข่าว ฯลฯ แต่เธอไม่รับโทรศัพท์ของใครทั้งสิ้น จนกระทั่งเหตุการณ์ผ่านไปหลายวัน จึงสามารถติดต่อเธอได้
การพูดคุยกันทำให้ทราบถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้นโดยกลุ่มคนไม่ทราบฝ่ายที่กระทำต่อผู้ชุมนุม แม้ความรุนแรงจะเกิดขึ้นเพียง 2 วัน 1 คืน สื่อมวลชนรายงานตัวเลขผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บ ผู้มีสถานะทางสังคมที่ออกมาให้ความเห็นต่อเหตุการณ์นี้ แต่สิ่งที่มองไม่เห็นคือ ความรุนแรงย่อยๆ ที่เกิดขึ้นกับคนที่ไม่มีปากมีเสียง มันเป็นภาพสะท้อนอันโหดร้ายและน่าสะพรึงกลัวท่ามกลางความแตกแยกที่มีอยู่ขณะนี้ และไม่มีใครรับประกันได้ว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นอีก กระทั่งลุกลามหนักหน่วงกว่านี้
คำแสน ไชยเทพ วัย 43 ปี คือหญิงที่ปรากฏในภาพ เธอเป็นคนเสื้อแดงตั้งแต่ปี 2551 ในเหตุการณ์ปี 2553 ลูกชายของเธอถูกจับกุมในคดีเกี่ยวกับการชุมนุมเมื่อปี 2553 ต่อมาเธอได้รับเลือกเป็น สมาชิกสภาจังหวัดอุดรธานี ประชาไทโทรศัพท์สัมภาษณ์เธอเพื่อสอบถามถึงเหตุการณ์ในวันดังกล่าว
คำแสนเล่าว่า เธอเดินทางพร้อมชาวบ้าน ตำบลบ้านตาด อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี เพื่อมาร่วมชุมนุมกับ นปช.โดยว่าจ้างรถตู้จำนวน 8 คันในราคารถปิกอัพเนื่องจากคนขับรถตู้เองก็อยากมาร่วมชุมนุมด้วย พวกเขาเดินทางมาถึง กทม.ในช่วงเช้ามืดของวันที่ 30 พ.ย. และเข้าร่วมชุมนุมในสนามกีฬาตามปกติ กระทั่งตอนเย็นที่เริ่มเกิดเหตุปะทะกัน เธอก็อยู่ภายในสนามกีฬา
เธอเล่าว่า คนในสนามมีจำนวนพอสมควร ทุกคนที่นั่งอยู่รู้ว่าเกิดความรุนแรงขึ้นภายนอก แต่บนเวทีไม่ค่อยมีการพูดเรื่องนี้ ซึ่งเธอคิดว่าเป็นเพราะแกนนำคงกลัวมวลชนจะตื่นตกใจ ขณะเดียวกันก็มีการประกาศห้ามคนในสนามออกไปด้านนอกด้วย
“สงสารคนกรุงเทพฯ มาก เขากลับไม่ได้ เราคนต่างจังหวัด เราเคยมาค้าง เราอยู่ได้ แต่คนกรุงเทพฯ ที่มา หน้าตาดีๆ อดหลับอดนอน ออกมาไม่ได้ อยู่กันจนสว่าง พวกเราที่ไปด้วยกันก็ไม่มีใครออกมาเพราะกลัว แต่มีคนเทียวออกมาเอาของที่รถตู้อยู่ การ์ดบอกให้หลบกระสุน ก็เห็นเขายิงกัน เห็นเขาหามคนเจ็บกันอยู่ แต่ไม่คิดว่าใครจะเสียชีวิต รถตู้ที่เราเอาไปจอดอยู่ที่ชั้น 2 ก็เพิ่งรู้คืนนั้นแหละว่า นั่นรามคำแหง ยังคิดว่า โห ทำไมมันใกล้กันจัง กำแพงเตี้ยๆ เอง”
จนถึงตอนเช้า แกนนำประกาศให้รอตำรวจมารับ ผู้คนในสนามรอคอยกันอยู่เป็นเวลานานก็ยังไม่เห็นวี่แววตำรวจ ในขณะที่อาหารและน้ำดื่มขาดแคลนตั้งแต่เมื่อคืน ห้องน้ำเต็ม ไม่สามารถใช้การได้ ทำให้คนจำนวนหนึ่งทยอยออกจากสนามเอง เมื่อเห็นดังนั้น คำแสนและพรรคพวกจึงออกมาขึ้นรถตู้เพื่อออกจากสนามกีฬา โดยนัดแนะกันว่าจะเลี้ยวขวาไปรอกันที่ปั๊มเชลล์ซึ่งอยู่ไม่ไกลแล้วจะยูเทิร์นกลับรถเพื่อเดินทางกลับบ้าน รถตู้ 5 คันแรกดำเนินการได้ตามนั้น แต่มี 3 คันที่ยังติดค้างอยู่จนกระทั่งเกิดเหตุ
นาทีชีวิต ความผิดพลาดของ “การเข้าห้องน้ำ” และ "GPS"
“คันอื่นเขายูเทิร์นไปแล้ว แต่อีกสามคันยังออกไม่ได้ เพราะรอชาวบ้านเข้าห้องน้ำ ตอนจอดรถรออยู่ก็เอะใจแล้ว ความรู้สึก สัญชาตญาณของเรารู้สึกว่าไม่ใช่แล้วล่ะ ชาวบ้านไม่รู้ว่าสถานการณ์อย่างนั้นไม่ควรไปเข้าห้องน้ำ แต่เขาก็ลงไป มอเตอร์ไซด์ก็จ้องแล้ว เราก็บ่นกันอยู่ว่าทำไมต้องไปเข้าห้องน้ำในสถานการณ์แบบนี้ ก็โมโหให้ชาวบ้านอยู่ เขาก็บอกว่าเขาทนไม่ไหวในนั้น (สนามกีฬา) ห้องน้ำมันเต็ม บ่นไม่ทันขาดคำ มอเตอร์ไซด์ก็มาวนรอบรถตู้แล้ว ประมาณ 3-4 คัน ใจคอไม่ดีแล้ว เรารู้เลยว่ามันผิดปกติ”
เธอไล่ชาวบ้านขึ้นรถ โดยเธอและผู้ใหญ่กองชัย ผู้เป็นสามีขึ้นรถตู้คันสุดท้าย รถตู้ทั้งสามคันยูเทิร์นกลับและขับเกาะกลุ่มกัน แต่คันที่ออกก่อนหน้าไม่ขับตรงไป กลับเลี้ยวซ้ายไปทางด้านหน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหง เพราะคนขับไม่รู้ทางในกรุงเทพฯ และขับตามที่จีพีเอสบอก
“เราก็ตกใจ เรามาชุมนุมบ่อยก็รู้แล้วว่ามันไม่ใช่แล้ว ไปถึงก็เห็นรถคันเหลืองๆ ที่ถูกทุบ โทรไปหารถตู้คันหน้าให้หันกลับด่วน แต่มันไม่ทันแล้ว มอเตอร์ไซด์มันเริ่มวนมาแล้ว จะกลับมาก็ไม่ได้ มันล้อมหมดไม่รู้กี่คันต่อกี่คัน ไปไม่ได้แล้ว มีคนซัก 50 คนขวางอยู่”
“พวกนั้นเข้ามาทุบประตูให้เปิดออก ถามว่าเราเป็นเสื้อแดงไหม รถคันหน้าเปิดประตู ประสบการณ์เราในการชุมนุมเรารู้แล้วนี่ไม่ใช่คนของเรา แต่เราก็บอกไม่ได้มันนั่งรถตู้คนละคัน มาด้วยกันก็ต้องไปด้วยกัน เขาเปิดประตู พวกนั้นมีมีด ปืนสั้น ค้อน มีทุกอย่าง เขาเอาไม้เหมือนไม้หน้าสาม ไม้กอล์ฟทุบรถคันแรก เอาระเบิดปิงปองโยนเข้าในรถจนมีคนบาดเจ็บ รถยังเป็นรอยอยู่ แล้วก็เอาไม้กอล์ฟฟาดที่แขนของป้าคนที่โดนระเบิดปิงปองด้วย เอาไม้กระทุ้งท้องผู้ชายอีกคน แต่รถคันนั้นสุดท้ายก็พยายามประคองขับรถไป รอดไปได้”
ภาพรอยช้ำบริเวณแขนและขาของนาง คำแสน ไชยเทพ อายุ 43 ปี
(ถ่ายเมื่อ 3 ธ.ค.56)
“แต่อีกสองคันไปไม่ได้ คันข้างหน้ามันเลี้ยวไปผิดซอย เป็นซอยตัน ไปไหนไม่ได้ เขาก็วิ่งตาม ร้อง “ฆ่ามันๆ” พวกเราก็วิ่งลงจากรถตู้สองคัน ตัวพี่ ผู้ใหญ่ และป้าอีกคนหนึ่งแยกไปซ่อนอยู่ที่บ้านหลังใหญ่หน่อย เขาล็อคประตู คนอื่นๆ ไปไหนก็ไม่รู้ เราไปซ่อนตัว ได้ยินเสียงมันทุบรถ ในใจคิดว่าเราไม่รอดแล้วแหละ พยายามโทรหาผู้ใหญ่ โทรหา ส.ส. แต่โทรไม่ติด เพิ่งรู้ว่า ส.ส.แบตหมด ก็เลยโทรหา ส.จ.อีกคนหนึ่งที่มาด้วยกัน เขาก็ตกใจ เราบอกว่าช่วยหน่อย ตกอยู่ในอันตราย ตอนนั้นแบตเตอรี่เรามีค่ามาก อยู่ชุมนุมสองวันจนมันเหลือน้อยเต็มที ต้องการโทรหาผู้ใหญ่ให้ช่วยเรา ทาง ส.ส.อุดรก็ประสานให้ ไม่รู้ว่าใครโทรมาบ้าง จนมีผู้ใหญ่โทรมา เขาถามว่าอยู่ไหนก็บอกว่าไม่รู้ เราก็ไม่รู้จริงๆ ไม่รู้ว่าที่ไหน ก็บอกเขาว่ามันมีห้องเช่า มีคอนโด แต่ก็ไม่รู้ว่ามันเป็นซอยไหน แม้แต่หน้ารามหลังรามก็ยังไม่รู้เลย เพิ่งมารู้ตอนหลัง สุดท้ายก็บอกเขาว่ามาซอยไหนก็ได้จะเห็นรถตู้จอดทิ้งอยู่ เขาก็บอกว่าตำรวจเข้าไม่ได้ อ้าว ถ้าตำรวจเข้าไม่ได้จะทำยังไง คน 20 กว่าคนนี่จะปล่อยให้เขาตายหรือ”
เธอเล่าว่า เธอหลบอยู่นานกับสามีและป้าอีกคนหนึ่ง จนกระทั่งตัดสินใจให้สามีข้ามไปขอความช่วยเหลือจากบ้านอีกหลังหนึ่ง โดยเธอกับป้าจะรออยู่ที่เดิม เนื่องจากคิดว่ากลุ่มชายฉกรรจ์จะไม่ทำร้ายผู้หญิงสูงวัย สามีของเธอไปขอความช่วยเหลือจากบ้านฝั่งตรงข้าม
“ตอนนั้นได้ยินคนในบ้านเขาถามกันว่าใครเหรอ พอผู้ใหญ่กองชัยบอกว่าเป็นเสื้อแดง เขาก็บอกว่า เสื้อแดงเหรอ ฆ่ามันเลยๆ เราก็เลยพูดกับป้าว่า เราไม่ต้องไปหรอก ไปเราก็ตาย ไม่ไปเราก็ตาย เราเอาเวลาสวดมนต์ดีกว่า สุดท้ายมันก็ตามเจอ แต่พอมันมาถึงก็ไม่เห็นผู้ใหญ่ปองชัยแล้ว”
รู้จักประชาธิปไตยไหม จงรักภักดีไหม
ก่อนหน้าที่จะถูกจับได้ เธอทำลายบัตร ส.จ.และนัดแนะกับป้าที่มาด้วยว่า อย่าบอกว่าเธอเป็น ส.จ. และหากพวกเขาถามอะไรเธอจะเป็นคนพูดเอง จากนั้นชายฉกรรจ์ราว 30-40 คนก็มาพบและนำตัวทั้งสองออกไป
“เขาเอาปืนสั้นจี้หัว ตอนแรกยืนอยู่ก็เตะขาข้างหลังให้นั่ง “พวกไม่ต้องมายืนคุยกับพวกกู พวกมันพวกคนชั่ว รู้ไหมมาทำอะไร” เราก็บอกไม่รู้ เขาบอกจะพามาเที่ยวสนามราชมังคลา เราเห็นพวกเขาถือกล้องใหญ่เหมือนกล้องทีวีเลย ตอนนั้นคิดในใจว่า ถ้าถ่ายกูก็จะเห็นภาพที่เอาปืนจี้หัวกู แล้วคำที่พูดกับกูนั่นมันโหดร้ายป่าเถื่อนขนาดไหน มันบอกว่า ต้องพูดว่าถูกจ้างมาพันสอง เราก็บอกว่าป้าไม่ได้มาอะไรขนาดนั้น มันบอกไม่ได้ เราก็ว่าไม่ใช่ มันก็เลยทุบแขน เอาสันมีดทุบที่แขน เราก็แค้นเนอะ ร้องไห้ด้วย ในใจคิดว่าทำไมบ้านเมืองเราโหดร้ายป่าเถื่อนขนาดนี้ ทำไมไม่ยุติธรรมอย่างนี้ ชะตากรรมเราทำไมมันเป็นแบบนี้ ในใจคิดว่าเราพูดอะไรออกไปก็ได้ เอาปืนจี้หัวเราคนก็จะเห็น พวกนั้นเอาน้ำให้กิน ตอนแรกจะไม่กิน แต่มันบังคับก็ต้องกิน แล้วก็ถามว่า เรารู้จักประชาธิปไตยไหม รักในหลวงไหม ก็บอกว่า พวกเราคนไทยทุกคนต้องรักในหลวง พวกเราไม่เคยคิดว่าใครจะไม่รักในหลวง เราว่าอย่างนี้ ถ้าเราอธิบายเยอะ มันจะรู้ว่าพวกเรารู้เรื่องการเมือง เราก็บอกว่า ป้าก็เทิดทูนสถาบัน ทำไมอยู่ๆ ถึงเอาเรื่องในหลวงของเรามาพูด ในหลวงคือพ่อของแผ่นดิน มันถามว่าจงรักภักดีใช่ไหม รัก เรารักในหลวง แล้วมันก็ถามว่า รู้จักประชาธิปไตยไหม ก็บอกไม่รู้ เขาบอกจะพามาเที่ยวสนามราชมังคลา ไม่เคยมาก็เลยอยากมา ก็ได้ยินมันพูดกันว่า สงสัยเป็นชาวบ้านธรรมดา แล้วมันก็ถามหา ส.จ.-ส.ส. ที่มาด้วยกัน ก็เลยบอกว่า ไม่รู้เขาวิ่งไปทางไหนกันบ้าง ไม่เห็นเขา”
นางกองแก้ว โพธิ์จันทร์ แสดงบาดแผลจากเหตุถูกทำร้ายเมื่อวันที่ 1 ธ.ค.56 โดยระบุว่าถูกทำร้ายด้วยการถูกตีด้วยไม้กอล์ฟที่แขน (ภาพบน) และถูกทำร้ายด้วยระเบิดปิงปองจนเกิดบาดแผลที่ก้น (ภาพล่าง)
รอยแผลที่ก้นของนางกองแก้ว โพธิจันทร์ อายุ 50 ปี (ถ่ายเมื่อ 3 ธ.ค.56)
รอยแผลที่แขนนางกองแก้ว โพธิจันทร์ อายุ 50 ปี (ถ่ายเมื่อ 3 ธ.ค.56)