คำแสน ไชยเทพ วัย 43 ปี คือหญิงที่ปรากฏในภาพ เธอเป็นคนเสื้อแดงตั้งแต่ปี 2551 ในเหตุการณ์ปี 2553 ลูกชายของเธอถูกจับกุมในคดีเกี่ยวกับการชุมนุมเมื่อปี 2553 ต่อมาเธอได้รับเลือกเป็น สมาชิกสภาจังหวัดอุดรธานี ประชาไทโทรศัพท์สัมภาษณ์เธอเพื่อสอบถามถึงเหตุการณ์ในวันดังกล่าว
คำแสนเล่าว่า เธอเดินทางพร้อมชาวบ้าน ตำบลบ้านตาด อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี เพื่อมาร่วมชุมนุมกับ นปช.โดยว่าจ้างรถตู้จำนวน 8 คันในราคารถปิกอัพเนื่องจากคนขับรถตู้เองก็อยากมาร่วมชุมนุมด้วย พวกเขาเดินทางมาถึง กทม.ในช่วงเช้ามืดของวันที่ 30 พ.ย. และเข้าร่วมชุมนุมในสนามกีฬาตามปกติ กระทั่งตอนเย็นที่เริ่มเกิดเหตุปะทะกัน เธอก็อยู่ภายในสนามกีฬา
เธอเล่าว่า คนในสนามมีจำนวนพอสมควร ทุกคนที่นั่งอยู่รู้ว่าเกิดความรุนแรงขึ้นภายนอก แต่บนเวทีไม่ค่อยมีการพูดเรื่องนี้ ซึ่งเธอคิดว่าเป็นเพราะแกนนำคงกลัวมวลชนจะตื่นตกใจ ขณะเดียวกันก็มีการประกาศห้ามคนในสนามออกไปด้านนอกด้วย
“สงสารคนกรุงเทพฯ มาก เขากลับไม่ได้ เราคนต่างจังหวัด เราเคยมาค้าง เราอยู่ได้ แต่คนกรุงเทพฯ ที่มา หน้าตาดีๆ อดหลับอดนอน ออกมาไม่ได้ อยู่กันจนสว่าง พวกเราที่ไปด้วยกันก็ไม่มีใครออกมาเพราะกลัว แต่มีคนเทียวออกมาเอาของที่รถตู้อยู่ การ์ดบอกให้หลบกระสุน ก็เห็นเขายิงกัน เห็นเขาหามคนเจ็บกันอยู่ แต่ไม่คิดว่าใครจะเสียชีวิต รถตู้ที่เราเอาไปจอดอยู่ที่ชั้น 2 ก็เพิ่งรู้คืนนั้นแหละว่า นั่นรามคำแหง ยังคิดว่า โห ทำไมมันใกล้กันจัง กำแพงเตี้ยๆ เอง”
จนถึงตอนเช้า แกนนำประกาศให้รอตำรวจมารับ ผู้คนในสนามรอคอยกันอยู่เป็นเวลานานก็ยังไม่เห็นวี่แววตำรวจ ในขณะที่อาหารและน้ำดื่มขาดแคลนตั้งแต่เมื่อคืน ห้องน้ำเต็ม ไม่สามารถใช้การได้ ทำให้คนจำนวนหนึ่งทยอยออกจากสนามเอง เมื่อเห็นดังนั้น คำแสนและพรรคพวกจึงออกมาขึ้นรถตู้เพื่อออกจากสนามกีฬา โดยนัดแนะกันว่าจะเลี้ยวขวาไปรอกันที่ปั๊มเชลล์ซึ่งอยู่ไม่ไกลแล้วจะยูเทิร์นกลับรถเพื่อเดินทางกลับบ้าน รถตู้ 5 คันแรกดำเนินการได้ตามนั้น แต่มี 3 คันที่ยังติดค้างอยู่จนกระทั่งเกิดเหตุ
นาทีชีวิต ความผิดพลาดของ “การเข้าห้องน้ำ” และ "GPS"
“คันอื่นเขายูเทิร์นไปแล้ว แต่อีกสามคันยังออกไม่ได้ เพราะรอชาวบ้านเข้าห้องน้ำ ตอนจอดรถรออยู่ก็เอะใจแล้ว ความรู้สึก สัญชาตญาณของเรารู้สึกว่าไม่ใช่แล้วล่ะ ชาวบ้านไม่รู้ว่าสถานการณ์อย่างนั้นไม่ควรไปเข้าห้องน้ำ แต่เขาก็ลงไป มอเตอร์ไซด์ก็จ้องแล้ว เราก็บ่นกันอยู่ว่าทำไมต้องไปเข้าห้องน้ำในสถานการณ์แบบนี้ ก็โมโหให้ชาวบ้านอยู่ เขาก็บอกว่าเขาทนไม่ไหวในนั้น (สนามกีฬา) ห้องน้ำมันเต็ม บ่นไม่ทันขาดคำ มอเตอร์ไซด์ก็มาวนรอบรถตู้แล้ว ประมาณ 3-4 คัน ใจคอไม่ดีแล้ว เรารู้เลยว่ามันผิดปกติ”
เธอไล่ชาวบ้านขึ้นรถ โดยเธอและผู้ใหญ่กองชัย ผู้เป็นสามีขึ้นรถตู้คันสุดท้าย รถตู้ทั้งสามคันยูเทิร์นกลับและขับเกาะกลุ่มกัน แต่คันที่ออกก่อนหน้าไม่ขับตรงไป กลับเลี้ยวซ้ายไปทางด้านหน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหง เพราะคนขับไม่รู้ทางในกรุงเทพฯ และขับตามที่จีพีเอสบอก
“เราก็ตกใจ เรามาชุมนุมบ่อยก็รู้แล้วว่ามันไม่ใช่แล้ว ไปถึงก็เห็นรถคันเหลืองๆ ที่ถูกทุบ โทรไปหารถตู้คันหน้าให้หันกลับด่วน แต่มันไม่ทันแล้ว มอเตอร์ไซด์มันเริ่มวนมาแล้ว จะกลับมาก็ไม่ได้ มันล้อมหมดไม่รู้กี่คันต่อกี่คัน ไปไม่ได้แล้ว มีคนซัก 50 คนขวางอยู่”
“พวกนั้นเข้ามาทุบประตูให้เปิดออก ถามว่าเราเป็นเสื้อแดงไหม รถคันหน้าเปิดประตู ประสบการณ์เราในการชุมนุมเรารู้แล้วนี่ไม่ใช่คนของเรา แต่เราก็บอกไม่ได้มันนั่งรถตู้คนละคัน มาด้วยกันก็ต้องไปด้วยกัน เขาเปิดประตู พวกนั้นมีมีด ปืนสั้น ค้อน มีทุกอย่าง เขาเอาไม้เหมือนไม้หน้าสาม ไม้กอล์ฟทุบรถคันแรก เอาระเบิดปิงปองโยนเข้าในรถจนมีคนบาดเจ็บ รถยังเป็นรอยอยู่ แล้วก็เอาไม้กอล์ฟฟาดที่แขนของป้าคนที่โดนระเบิดปิงปองด้วย เอาไม้กระทุ้งท้องผู้ชายอีกคน แต่รถคันนั้นสุดท้ายก็พยายามประคองขับรถไป รอดไปได้”
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
อ่านต่อ
http://prachatai.com/journal/2013/12/50460
สัมภาษณ์ ป้าเสื้อแดงคลิป ‘รับจ้าง 200’ เหตุหน้ารามฯ
คำแสน ไชยเทพ วัย 43 ปี คือหญิงที่ปรากฏในภาพ เธอเป็นคนเสื้อแดงตั้งแต่ปี 2551 ในเหตุการณ์ปี 2553 ลูกชายของเธอถูกจับกุมในคดีเกี่ยวกับการชุมนุมเมื่อปี 2553 ต่อมาเธอได้รับเลือกเป็น สมาชิกสภาจังหวัดอุดรธานี ประชาไทโทรศัพท์สัมภาษณ์เธอเพื่อสอบถามถึงเหตุการณ์ในวันดังกล่าว
คำแสนเล่าว่า เธอเดินทางพร้อมชาวบ้าน ตำบลบ้านตาด อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี เพื่อมาร่วมชุมนุมกับ นปช.โดยว่าจ้างรถตู้จำนวน 8 คันในราคารถปิกอัพเนื่องจากคนขับรถตู้เองก็อยากมาร่วมชุมนุมด้วย พวกเขาเดินทางมาถึง กทม.ในช่วงเช้ามืดของวันที่ 30 พ.ย. และเข้าร่วมชุมนุมในสนามกีฬาตามปกติ กระทั่งตอนเย็นที่เริ่มเกิดเหตุปะทะกัน เธอก็อยู่ภายในสนามกีฬา
เธอเล่าว่า คนในสนามมีจำนวนพอสมควร ทุกคนที่นั่งอยู่รู้ว่าเกิดความรุนแรงขึ้นภายนอก แต่บนเวทีไม่ค่อยมีการพูดเรื่องนี้ ซึ่งเธอคิดว่าเป็นเพราะแกนนำคงกลัวมวลชนจะตื่นตกใจ ขณะเดียวกันก็มีการประกาศห้ามคนในสนามออกไปด้านนอกด้วย
“สงสารคนกรุงเทพฯ มาก เขากลับไม่ได้ เราคนต่างจังหวัด เราเคยมาค้าง เราอยู่ได้ แต่คนกรุงเทพฯ ที่มา หน้าตาดีๆ อดหลับอดนอน ออกมาไม่ได้ อยู่กันจนสว่าง พวกเราที่ไปด้วยกันก็ไม่มีใครออกมาเพราะกลัว แต่มีคนเทียวออกมาเอาของที่รถตู้อยู่ การ์ดบอกให้หลบกระสุน ก็เห็นเขายิงกัน เห็นเขาหามคนเจ็บกันอยู่ แต่ไม่คิดว่าใครจะเสียชีวิต รถตู้ที่เราเอาไปจอดอยู่ที่ชั้น 2 ก็เพิ่งรู้คืนนั้นแหละว่า นั่นรามคำแหง ยังคิดว่า โห ทำไมมันใกล้กันจัง กำแพงเตี้ยๆ เอง”
จนถึงตอนเช้า แกนนำประกาศให้รอตำรวจมารับ ผู้คนในสนามรอคอยกันอยู่เป็นเวลานานก็ยังไม่เห็นวี่แววตำรวจ ในขณะที่อาหารและน้ำดื่มขาดแคลนตั้งแต่เมื่อคืน ห้องน้ำเต็ม ไม่สามารถใช้การได้ ทำให้คนจำนวนหนึ่งทยอยออกจากสนามเอง เมื่อเห็นดังนั้น คำแสนและพรรคพวกจึงออกมาขึ้นรถตู้เพื่อออกจากสนามกีฬา โดยนัดแนะกันว่าจะเลี้ยวขวาไปรอกันที่ปั๊มเชลล์ซึ่งอยู่ไม่ไกลแล้วจะยูเทิร์นกลับรถเพื่อเดินทางกลับบ้าน รถตู้ 5 คันแรกดำเนินการได้ตามนั้น แต่มี 3 คันที่ยังติดค้างอยู่จนกระทั่งเกิดเหตุ
นาทีชีวิต ความผิดพลาดของ “การเข้าห้องน้ำ” และ "GPS"
“คันอื่นเขายูเทิร์นไปแล้ว แต่อีกสามคันยังออกไม่ได้ เพราะรอชาวบ้านเข้าห้องน้ำ ตอนจอดรถรออยู่ก็เอะใจแล้ว ความรู้สึก สัญชาตญาณของเรารู้สึกว่าไม่ใช่แล้วล่ะ ชาวบ้านไม่รู้ว่าสถานการณ์อย่างนั้นไม่ควรไปเข้าห้องน้ำ แต่เขาก็ลงไป มอเตอร์ไซด์ก็จ้องแล้ว เราก็บ่นกันอยู่ว่าทำไมต้องไปเข้าห้องน้ำในสถานการณ์แบบนี้ ก็โมโหให้ชาวบ้านอยู่ เขาก็บอกว่าเขาทนไม่ไหวในนั้น (สนามกีฬา) ห้องน้ำมันเต็ม บ่นไม่ทันขาดคำ มอเตอร์ไซด์ก็มาวนรอบรถตู้แล้ว ประมาณ 3-4 คัน ใจคอไม่ดีแล้ว เรารู้เลยว่ามันผิดปกติ”
เธอไล่ชาวบ้านขึ้นรถ โดยเธอและผู้ใหญ่กองชัย ผู้เป็นสามีขึ้นรถตู้คันสุดท้าย รถตู้ทั้งสามคันยูเทิร์นกลับและขับเกาะกลุ่มกัน แต่คันที่ออกก่อนหน้าไม่ขับตรงไป กลับเลี้ยวซ้ายไปทางด้านหน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหง เพราะคนขับไม่รู้ทางในกรุงเทพฯ และขับตามที่จีพีเอสบอก
“เราก็ตกใจ เรามาชุมนุมบ่อยก็รู้แล้วว่ามันไม่ใช่แล้ว ไปถึงก็เห็นรถคันเหลืองๆ ที่ถูกทุบ โทรไปหารถตู้คันหน้าให้หันกลับด่วน แต่มันไม่ทันแล้ว มอเตอร์ไซด์มันเริ่มวนมาแล้ว จะกลับมาก็ไม่ได้ มันล้อมหมดไม่รู้กี่คันต่อกี่คัน ไปไม่ได้แล้ว มีคนซัก 50 คนขวางอยู่”
“พวกนั้นเข้ามาทุบประตูให้เปิดออก ถามว่าเราเป็นเสื้อแดงไหม รถคันหน้าเปิดประตู ประสบการณ์เราในการชุมนุมเรารู้แล้วนี่ไม่ใช่คนของเรา แต่เราก็บอกไม่ได้มันนั่งรถตู้คนละคัน มาด้วยกันก็ต้องไปด้วยกัน เขาเปิดประตู พวกนั้นมีมีด ปืนสั้น ค้อน มีทุกอย่าง เขาเอาไม้เหมือนไม้หน้าสาม ไม้กอล์ฟทุบรถคันแรก เอาระเบิดปิงปองโยนเข้าในรถจนมีคนบาดเจ็บ รถยังเป็นรอยอยู่ แล้วก็เอาไม้กอล์ฟฟาดที่แขนของป้าคนที่โดนระเบิดปิงปองด้วย เอาไม้กระทุ้งท้องผู้ชายอีกคน แต่รถคันนั้นสุดท้ายก็พยายามประคองขับรถไป รอดไปได้”
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
อ่านต่อ
http://prachatai.com/journal/2013/12/50460