ขอต้อนรับวันศุกร์ 13 ปี 2013
อ่านย้อนภาคที่ 1 =>
http://ppantip.com/topic/31344924
อ่านย้อนภาคที่ 2 =>
http://ppantip.com/topic/31350183
มาเริ่มกันเล้ยยยยย!
Stanley Hotel Colorado USA โรงแรมผีหลอน แห่งรัฐโคโลราโด้....ต้นกำเนิดหนังสยองขวัญ
โรงแรม เดอะ แสตนลีย์ ในพาร์ค เอสเตส รัฐโคโลราโด สหรัฐอเมริกา ถูกจัดว่า เป็นโรงแรมที่มีผีชุกชุมที่สุดติดอันดับต้นๆของโลก โรงแรมนี้สร้างขึ้นโดยนาย เอฟ.โอ.แสตนลีย์และภรรยาของเขา ฟลอร่า นายแสตนลีย์เป็นนักธุรกิจผู้มั่งคั่งชาวบอสตันที่ร่ำรวยอย่างมหาศาลจากธุรกิจเครื่องจักรไอน้ำยี่ห้อสแตนลี่ย์ เขาได้ใช้ชีวิตปั่นปลายสุดท้ายในการสร้างโรงแรมด้วยเงินทั้งหมดของเขาที่สวนสวยร่มรื่นแถบเอสเตส ปาร์ค ราวปี 1903 จนสร้างเสร็จปี 1909 แล้วก็กลายเป็นสถานที่ตากอากาศติดอันดับอย่างรวดเร็ว เนื่องด้วยความร่มรื่น บรรยากาศสดชื่นเขียวขจี อากาศก็บริสุทธิ์ ซ้ำยังใกล้อุทยานอีกต่างหาก ผู้คนเลยหลั่งไหลมาจากทั่วสารทิศ....
หากแต่หลังจากที่ นายแสตนลีย์และภรรยาถึงแก่กรรม ก็มีรายงานมาว่ามีการพบเห็นนาย แสตนลีย์และภรรยาเดินไปทั่วโรงแรม โดยมีคนเห็นผีแสตนลีย์เดินอยู่ที่ล็อบบี้ บาร์ และห้องเล่นบิลเลียด ขณะที่เชื่อกันว่าวิญญาณของฟลอร่านั่งเล่นเปียโนอยู่ในห้องดนตรี เพราะแขกมักจะได้ยินเสียงบรรเลงเพลงมาจากห้องนั้น และเมื่อพวกเขาเปิดประตูเข้าไปดู ก็เห็นเหมือนแป้นกดบนเปียโนกำลังกระเด้งขึ้นๆ ลงๆ เหมือนมีคนเล่น แต่ว่า ไม่มีใครเลย และพอเข้าไปใกล้ๆ แหม๋...ยังจะกล้าไปดูใกล้ๆ อีกนะครัช.... ดนตรีก็หยุดลงอย่างฉับพลัน!!
นี่คือ หนึ่งในภาพที่เชื่อว่าถ่ายติดบางสิ่งมาโดยไม่ตั้งใจ....
นอกจากนี้ยังเสียงเด็กที่เล่นกันตรงกลางโถงทางเดิน จนแขกนอนไม่หลับทั้งคืน ครั้งหนึ่งสตีเฟ่น คิง นักเขียนนวนิยายสยองขวัญชื่อดังได้เข้ามาพักที่นี่ ห้องที่คิงพักคือห้อง 217 (ซึ่งเป็นหมายเลขเดียวที่ปรากฏในภาพยนตร์เรื่อง The Shining) และเป็นห้องที่โด่งดังที่สุดของโรงแรมพักนั่นเองเขาได้ฝันร้าย โดยฝันว่าลูกชายวันสามขวบของเขาก็วิ่งเข้ามาในห้อง หน้าตาตื่น กรีดร้องเพราะโดนอะไรบางอย่างไล่ล่าตามหลังมา เขาตกใจตื่นเหงื่อท่วมตัว และเดินมาสูบบุหรี่และเขาก็เห็นเทือกเขาร็อกกี้ที่หน้าต่าง แล้วแล้วนิยายเรื่อง The Shining ก็ถือกำเนิดในที่สุด
ภาพยนตร์เรื่อง “เดอะ ไชน์นิ่ง” (The Shining) ของแสตนลีย์ คูบริค ที่สร้างจากนิยายอันดับ 3 ของ สตีเผ่น คิง แนะนำว่าให้ดูตอนกลางคืนจะได้อารมณ์มาก ฮิๆๆ... โดยภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าถึงถึงเรื่องราวของครอบครัวทอร์เรนซ์ ที่ประกอบไปด้วย แจ๊ค นักเขียนผู้เคยติดเหล้าและมีประวัติทำร้ายลูกตัวเอง, เวนดี้ ภรรยาที่อ่อนโยน และ แดนนี่ ลูกชายที่มีสัมผัสพิเศษถึงสิ่งเหนือธรรมชาติ ซึ่งตัวแจ๊คพยายามเป็นสามีที่ดี เขาได้งานทำเป็นยามเฝ้าโรงแรมโอเวอร์ลุคยามไร้ผู้คน และที่นั้นเขาก็ได้พบว่าโรงแรมที่เขาเป็นยามแห่งนี้เป็นโรงแรมผีดุ!!
ย้อนไปครั้งที่คิงกำลังจะแต่งนิยายนี้เขากำลังโด่งดังจากนิยายสองเรื่องก่อนหน้า เขาเลยวางแผนจะแต่งนิยายที่มีฉากหลังน่ากลัวหน่อย เขาเลยออกเดินทางพร้อมครอบครัวซุ่มไปซุ่มมาจนหยุดโรงแรมแห่งนี้ และก็ก็ประทับใจโรงแรมสแตนลี่ย์ เพราะชื่อเสียงของมันที่ว่า "เป็นหนึ่งในที่พักที่ติดอันดับเรื่องผีชุกชุมมากที่สุดของสหรัฐอเมริกา!” และเป็นโรงแรมเดียวกันกับโรงแรมในภาพยนตร์เรื่อง “เดอะ ไชน์นิ่ง” .....
นี่คือภาพที่โด่งดังมากๆ ที่คาดว่าจะถ่ายติดบางสิ่งมา....
ครั้งหนึ่งในชีวิตที่คุณจะหลงเข้าไปในดงผี และ ย้อนตำนานหนังดังสุดสยองขวัญเรื่องหนึ่งของโลก... ว่าแต่คุณจะกล้าพอไหม....
Pendle Hill Lancashire เพ็นเดิล ฮิลล์ ถิ่นล่าแม่มดแห่ง แลงคาเชียร์
Pendle Hill มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ในเรื่องที่เป็นสถานที่ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นที่อยู่ของ สิบสองแม่มด ในศตวรรษที่ 17 เหล่าแม่มดถูกกล่าวหาว่าเป็นคนฆ่าคนนับสิบคน จึงถูกชาวบ้านนำตัวไปพิสูจณ์ หนึ่งในสิบสองแม่มดที่ถูกกล่าวหาเสียชีวิตในระหว่างการพิสูจณ์ ที่เหลือพบว่ามีความผิดและถูกตัดสินโดยการแขวนคอ แม้คนหนึ่งซึ่งยังไม่พบว่ามีความผิด ก็ยังถูกตัดสินแขวนคอไปด้วย ประวัติศาสตร์ของแม่มดที่นี่ ทำให้สถานที่แห่งนี้ มีบรรยากาศน่าขนลุกและพบว่ามีเรื่องราวที่น่ากลัวเกิดขึ้นหลายครั้งตลอดมา.....
ศตวรรษที่ 16-17 จำนวนแม่มดในสหรัฐอเมริกามีมากถึง 50,000 คน สหรัฐอเมริกาเป็นดินแดนที่ วิชาว่าด้วยคุณไสย( witchcraft ) เป็นที่รู้จักอย่างเป็นทางการ จำนวนแม่มดในออสเตรเลียและยุโรป อาจจะมีจำนวนมากพอๆกัน ก็ได้ แต่ไม่เป็นที่เปิดเผย มีการเปิดสอนวิชาการแม่มดทางจดหมายซึ่งมีผู้สนใจเข้าร่วมมากกว่า 40,000 คน ในสมัยก่อนผู้คนต่างเชื่อว่า การเจ็บป่วยและโชคร้ายนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นเอง เชื่อกันว่าเกิดจากความตั้งใจของแม่มด แม่มดเป็นผลพวงของลัทธิป่าเถื่อน ใช้คุณไสยช่วยเหลือผู้คน รักษาโรค นำโชค แต่คุณไสยสามารถนำมาใช้ในทางไม่ดีได้ด้วย...
เรื่องของคุณไสยและเรื่องเหนือธรรมชาติ เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนในยุคกลาง
แม้ในศาสนาคริสต์พลังเหนือธรรมชาติถูกแสดงได้โดยพระเจ้าเท่านั้น
เรื่องราวของการต่อต้านแม่มดและการใช้คุณไสยเริ่มมีขึ้นก่อนยุคกลาง มีผู้วิเศษออกมากล่าวหาว่า พระเยซูเจ้าไม่ได้ต่างอะไรกับผู้วิเศษคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้มีอำนาจสูงสุดอย่างองค์กรทางศาสนาอ้าง ตั้งแต่นั้นมาองค์การศาสนาก็ทำการต่อต้านผู้วิเศษรวมทั้งแม่มด ฐานแสดงความขัดแย้งต่อพลังอำนาจของพระเจ้า พ.ศ. 2027 องค์กรทางศาสนาโรมันคาทอลิก ประกาศว่า ผู้ใดก็ตามที่ไม่ไช่สมาชิกของศาสนาแต่ปฏิบัติพิธีกรรม การใช้เวทมนตร์ คาถา และมีพลังเหนือธรรมชาติ ถือว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับซาตานและปีศาจ พลังที่ได้มาไม่ได้มาจากพระเจ้า แต่ได้มาจากซาตานและปีศาจ องค์กรศาสนาพยามเผยแพร่ศัตรูของพระเจ้าและสร้างภาพลักษณ์ให้ชัดเจน.....
ในช่วงปลายยุคกลาง ปีศาจเริ่มมีรูปร่างชัดเจนมากขึ้น โดยเห็นว่า ปีศาจนั้น มีเขา มีหาง มีเท้าเป็นกีบ ปีศาจอาจจะออกมาในรูปลักษณ์อื่นเพื่อหลอกลวง แม่มด ถือว่าเป็นผู้หนึ่งที่ยอมรับและลุ่มหลงในพลังอำนาจของปีศาจ และถือว่าเป็นสาวกของมัน นั่นเป็นเหตุให้มีการล่าและกำจัดแม่มดในเวลาต่อมา....
การลงโทษหรือล่าแม่มดมีมานานแล้ว แต่ที่โด่งดังมากๆ คือ การล่าแม่มดซึ่งเกิดขึ้นในช่วงยุคกลางในประเทศทั้งแถบยุโรปและอเมริกา โดยกินเวลายาวนานตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 15 ถึงศตวรรษที่ 17 ทำให้ผู้บริสุทธิ์ต้องตายไปเป็นจำนวนมาก เอาล่ะ วันผมนี้ก็ได้รวบรวมเอาเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับวิธีการทดสอบแม่มดและพ่อมดในยุคกลาง ซึ่งออกจะไร้ซึ่งเหตุผล และถ้าเอามาใช้ในทุกวันนี้ พวกเราทุกคนคงต้องเป็นแม่มดกันหมดอย่างแน่นอน
เริ่มจากการหาผู้ที่เข้าข่ายว่าอาจจะเป็นแม่มด วิธีการตรวจสอบ คือ
1. ดูจากรอยตำหนิบนร่างกาย เช่น ถ้ามีไฝ ปาน หรือตำหนิอื่นๆ บนผิวหนังที่ติดตัวมาแต่เกิด ก็จะถือว่าเป็น “รอยตำหนิของปีศาจ” (diabolical mark) แต่บางคนถึงไม่มีรอยพวกนี้ ผู้สำรวจก็อาจจะบอกว่า มีรอยตำหนิที่มองไม่เห็นอยู่ (invisible mark) และถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดอยู่ดี
2. มีผมสีแดง คนผมแดงในยุคนั้นจะโชคร้ายมาก เพราะผมสีแดงเป็นสัญลักษณ์ว่าเป็นข้ารับใช้ของปีศาจ และเป็นแม่มด
3. ถูกกล่าวหาโดยแม่มดคนอื่น กรณีนี้เกิดขึ้นบ่อยมาก เพราะถ้าโดนจับในข้อหาเป็นแม่มดแล้วยอมบอกชื่อแม่มดคนอื่นๆ อีก โทษที่ได้รับก็จะเบาลง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ถูกประหาร เบาลงที่ว่าหมายความว่า แทนที่จะถูกเผาทั้งเป็น ก็อาจจะถูกรัดคอจนตายก่อนแล้วค่อยเผา ทรมานน้อยลงอีกนิดหน่อย
4. ถ้ามีคนในครอบครัวถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด ผู้หญิงคนอื่นๆ ในครอบครัวก็อาจจะต้องสงสัยว่าเป็นแม่มดไปด้วย อาจจะโดนเผาทั้งเป็นยกครัวได้
5. พูดไม่ดีเกี่ยวกับศาสนา หรือแสดงความไม่นับถือ อะไรก็ตามเป็นการลบหลู่ศาสนา ถึงจะแอบๆ พูดกันเองแต่สมัยนั้นชาวบ้านส่วนใหญ่พร้อมจะเอาเรื่องของคนที่น่าสงสัยไปฟ้องโบสถ์อยู่แล้ว เกิดมีคนได้ยินขึ้นมาแล้วเอาไปฟ้องทางโบสถ์ จะถือว่าเป็นพวกบูชาปีศาจ เป็นแม่มด และถูกจับเผาทั้งเป็นอีกเช่นกัน
6. ทำให้เกิดอันตรายต่อผู้อื่นด้วยเวทมนต์ ซึ่งเวทมนต์ที่ว่านี้ก็ไม่มีวิธีพิสูจน์ได้อยู่ดี แต่จะดูเอาจากว่า เกิดสิ่งผิดปกติขึ้นกับผู้คนหรือธรรมชาติที่อยู่รอบๆ ตัวของผู้ถูกกล่าวหาหรือไม่ เช่น ถ้าอยู่ดีๆ วันหนึ่งเพื่อนข้างบ่านเกิดผื่นขึ้น หรือพายุลูกเห็บตกในหมู่บ้าน หรือว่าวัวตายยกคอก ก็สรุปได้แล้วว่า มีการใช้เวทมนต์แน่ๆ ก็ต้องควานหาเหยื่อมารับผิดเป็นแม่มด แล้วนำไปเผาทั้งเป็น.....
7. มีรูปลักษณ์ภายนอกที่ต่างจากคนอื่น เช่น หน่าตาน่าเกลียดเกินไป สวยเกินไป (สวยเกินก็โดนอีก เหอะๆๆ....) จมูกใหญ่ไป ฟันยื่นเกินไป แก่เกินไป อะไรก็ได้ที่ต่างจากคนอื่น ก็อาจจะทำให้ตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าเป็นแม่มดได้...
8. คนที่มีความสามารถด้านการแพทย์ การรักษา หรือมีความรู้ด่านสมุนไพร มักถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด ถึงแม้จะใช้ความสามารถนี้ในการช่วยเหลือสังคม แต่ก็จะถูกหาว่าใช้เวทมนต์อยู่ดี
9. มีคนกล่าวหาว่าเรามีพฤติกรรมต่างๆ แบบแม่มด หรือแค่ฝันเห็นว่าทำพฤติกรรมของแม่มด ก็อาจจะโดนเอาตัวไปตรวจสอบได้โดยไม่ต้องมีหลักฐานอย่างอื่นเลย มีคนถูกกล่าวหาด้วยเหตุผลนี้เยอะอีกเช่นกัน ส่วนมากเกิดจากที่ไปมีความขัดแย้งส่วนตัวกับคนอื่น หรือไม่ก็อยู่เฉยๆ แต่มีคนอยากได้ทรัพย์สินของเรา ก็จะใช้คำอ้างนี้ไปฟ้องกับทางโบสถ์ และผู้ถูกกล่าวหาก็จะถูกนำตัวไปสอบสวน ถึงถ้าไปถึงขั้นนั้นแล้ว ส่วนมากก็จะถูกสรุปว่าเป็นแม่มดอยู่ดี
หลังจากที่ได้ผู้ต้องสงสัยมาแล้ว ก็ถึงขั้นตอนทดสอบเพื่อยืนยัน ซึ่งถ้ามาถึงขั้นนี้แล้ว ยังไงก็ต้องโดนยัดเยียดข้อหาแม่มดให้อยู่ดี (ยังไงก็ตายอะนะ หึหึ) ขั้นตอนการทดสอบเองก็มีหลากหลายวิธีมาก เช่นตามนี้.....
1. ถ้าผู้ต้องสงสัยมีรอยตำหนิบนร่างกายแล้ว เชื่อกันว่า รอยตำหนิของปีศาจเหล่านี้ ถ้าถูกแทงด้วยเข็มจะไม่มีเลิอดออก และไม่รู้สึกเจ็บปวด ดังนั้น ผู้ทดสอบส่วนใหญ่จะใช้เข็มปลายทู่ หรือใช้เทคนิคต่างๆ เช่นใช้เข็มแทงเข้าไปถึงแค่ชั้นผิวหนังกำพร้า ซึ่งแน่นอน ว่าไม่มีเลือดออก และไม่เจ็บด้วย ทำให้ผู้ที่ถูกทดสอบถึงผลออกมายังไงก็ต้องเป็นแม่มดแน่ๆ
2. ทดสอบความศรัทธาต่อพระเจ้า ด้วยการให้ผู้ต้องสงสัยอ่านคัมภีร์บทสวดของพระเจ้า (Lord’s Prayer) โดยต้องห้ามอ่านผิดแม้แต่นิดเดียว (รวมถึงห้ามพูดตะกุกตะกัก ขัดๆ หรือติดอ่าง) ซึ่งในสถานการณ์กดดันแบบนั้น ส่วนใหญ่แล้วก็จะตื่นเต้น ตกใจ อ่านผิดกันทั้งนั้น รวมถึงคนที่พูดติดอ่างอยู่แล้วก็ไม่มีข้อยกเว้น
ต่อกระทู้ล่างนะจ๊ะ
พาไปเที่ยว!! สถานที่ ที่ขนหัวลุกสุดสยองจากทั่วโลกภาคที่ 3.1 อึ้งกันได้อีก!! (The world's scariest places Part 3.1)
อ่านย้อนภาคที่ 1 => http://ppantip.com/topic/31344924
อ่านย้อนภาคที่ 2 => http://ppantip.com/topic/31350183
มาเริ่มกันเล้ยยยยย!
Stanley Hotel Colorado USA โรงแรมผีหลอน แห่งรัฐโคโลราโด้....ต้นกำเนิดหนังสยองขวัญ
โรงแรม เดอะ แสตนลีย์ ในพาร์ค เอสเตส รัฐโคโลราโด สหรัฐอเมริกา ถูกจัดว่า เป็นโรงแรมที่มีผีชุกชุมที่สุดติดอันดับต้นๆของโลก โรงแรมนี้สร้างขึ้นโดยนาย เอฟ.โอ.แสตนลีย์และภรรยาของเขา ฟลอร่า นายแสตนลีย์เป็นนักธุรกิจผู้มั่งคั่งชาวบอสตันที่ร่ำรวยอย่างมหาศาลจากธุรกิจเครื่องจักรไอน้ำยี่ห้อสแตนลี่ย์ เขาได้ใช้ชีวิตปั่นปลายสุดท้ายในการสร้างโรงแรมด้วยเงินทั้งหมดของเขาที่สวนสวยร่มรื่นแถบเอสเตส ปาร์ค ราวปี 1903 จนสร้างเสร็จปี 1909 แล้วก็กลายเป็นสถานที่ตากอากาศติดอันดับอย่างรวดเร็ว เนื่องด้วยความร่มรื่น บรรยากาศสดชื่นเขียวขจี อากาศก็บริสุทธิ์ ซ้ำยังใกล้อุทยานอีกต่างหาก ผู้คนเลยหลั่งไหลมาจากทั่วสารทิศ....
หากแต่หลังจากที่ นายแสตนลีย์และภรรยาถึงแก่กรรม ก็มีรายงานมาว่ามีการพบเห็นนาย แสตนลีย์และภรรยาเดินไปทั่วโรงแรม โดยมีคนเห็นผีแสตนลีย์เดินอยู่ที่ล็อบบี้ บาร์ และห้องเล่นบิลเลียด ขณะที่เชื่อกันว่าวิญญาณของฟลอร่านั่งเล่นเปียโนอยู่ในห้องดนตรี เพราะแขกมักจะได้ยินเสียงบรรเลงเพลงมาจากห้องนั้น และเมื่อพวกเขาเปิดประตูเข้าไปดู ก็เห็นเหมือนแป้นกดบนเปียโนกำลังกระเด้งขึ้นๆ ลงๆ เหมือนมีคนเล่น แต่ว่า ไม่มีใครเลย และพอเข้าไปใกล้ๆ แหม๋...ยังจะกล้าไปดูใกล้ๆ อีกนะครัช.... ดนตรีก็หยุดลงอย่างฉับพลัน!!
นี่คือ หนึ่งในภาพที่เชื่อว่าถ่ายติดบางสิ่งมาโดยไม่ตั้งใจ....
นอกจากนี้ยังเสียงเด็กที่เล่นกันตรงกลางโถงทางเดิน จนแขกนอนไม่หลับทั้งคืน ครั้งหนึ่งสตีเฟ่น คิง นักเขียนนวนิยายสยองขวัญชื่อดังได้เข้ามาพักที่นี่ ห้องที่คิงพักคือห้อง 217 (ซึ่งเป็นหมายเลขเดียวที่ปรากฏในภาพยนตร์เรื่อง The Shining) และเป็นห้องที่โด่งดังที่สุดของโรงแรมพักนั่นเองเขาได้ฝันร้าย โดยฝันว่าลูกชายวันสามขวบของเขาก็วิ่งเข้ามาในห้อง หน้าตาตื่น กรีดร้องเพราะโดนอะไรบางอย่างไล่ล่าตามหลังมา เขาตกใจตื่นเหงื่อท่วมตัว และเดินมาสูบบุหรี่และเขาก็เห็นเทือกเขาร็อกกี้ที่หน้าต่าง แล้วแล้วนิยายเรื่อง The Shining ก็ถือกำเนิดในที่สุด
ภาพยนตร์เรื่อง “เดอะ ไชน์นิ่ง” (The Shining) ของแสตนลีย์ คูบริค ที่สร้างจากนิยายอันดับ 3 ของ สตีเผ่น คิง แนะนำว่าให้ดูตอนกลางคืนจะได้อารมณ์มาก ฮิๆๆ... โดยภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าถึงถึงเรื่องราวของครอบครัวทอร์เรนซ์ ที่ประกอบไปด้วย แจ๊ค นักเขียนผู้เคยติดเหล้าและมีประวัติทำร้ายลูกตัวเอง, เวนดี้ ภรรยาที่อ่อนโยน และ แดนนี่ ลูกชายที่มีสัมผัสพิเศษถึงสิ่งเหนือธรรมชาติ ซึ่งตัวแจ๊คพยายามเป็นสามีที่ดี เขาได้งานทำเป็นยามเฝ้าโรงแรมโอเวอร์ลุคยามไร้ผู้คน และที่นั้นเขาก็ได้พบว่าโรงแรมที่เขาเป็นยามแห่งนี้เป็นโรงแรมผีดุ!!
ย้อนไปครั้งที่คิงกำลังจะแต่งนิยายนี้เขากำลังโด่งดังจากนิยายสองเรื่องก่อนหน้า เขาเลยวางแผนจะแต่งนิยายที่มีฉากหลังน่ากลัวหน่อย เขาเลยออกเดินทางพร้อมครอบครัวซุ่มไปซุ่มมาจนหยุดโรงแรมแห่งนี้ และก็ก็ประทับใจโรงแรมสแตนลี่ย์ เพราะชื่อเสียงของมันที่ว่า "เป็นหนึ่งในที่พักที่ติดอันดับเรื่องผีชุกชุมมากที่สุดของสหรัฐอเมริกา!” และเป็นโรงแรมเดียวกันกับโรงแรมในภาพยนตร์เรื่อง “เดอะ ไชน์นิ่ง” .....
นี่คือภาพที่โด่งดังมากๆ ที่คาดว่าจะถ่ายติดบางสิ่งมา....
ครั้งหนึ่งในชีวิตที่คุณจะหลงเข้าไปในดงผี และ ย้อนตำนานหนังดังสุดสยองขวัญเรื่องหนึ่งของโลก... ว่าแต่คุณจะกล้าพอไหม....
Pendle Hill Lancashire เพ็นเดิล ฮิลล์ ถิ่นล่าแม่มดแห่ง แลงคาเชียร์
Pendle Hill มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ในเรื่องที่เป็นสถานที่ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นที่อยู่ของ สิบสองแม่มด ในศตวรรษที่ 17 เหล่าแม่มดถูกกล่าวหาว่าเป็นคนฆ่าคนนับสิบคน จึงถูกชาวบ้านนำตัวไปพิสูจณ์ หนึ่งในสิบสองแม่มดที่ถูกกล่าวหาเสียชีวิตในระหว่างการพิสูจณ์ ที่เหลือพบว่ามีความผิดและถูกตัดสินโดยการแขวนคอ แม้คนหนึ่งซึ่งยังไม่พบว่ามีความผิด ก็ยังถูกตัดสินแขวนคอไปด้วย ประวัติศาสตร์ของแม่มดที่นี่ ทำให้สถานที่แห่งนี้ มีบรรยากาศน่าขนลุกและพบว่ามีเรื่องราวที่น่ากลัวเกิดขึ้นหลายครั้งตลอดมา.....
ศตวรรษที่ 16-17 จำนวนแม่มดในสหรัฐอเมริกามีมากถึง 50,000 คน สหรัฐอเมริกาเป็นดินแดนที่ วิชาว่าด้วยคุณไสย( witchcraft ) เป็นที่รู้จักอย่างเป็นทางการ จำนวนแม่มดในออสเตรเลียและยุโรป อาจจะมีจำนวนมากพอๆกัน ก็ได้ แต่ไม่เป็นที่เปิดเผย มีการเปิดสอนวิชาการแม่มดทางจดหมายซึ่งมีผู้สนใจเข้าร่วมมากกว่า 40,000 คน ในสมัยก่อนผู้คนต่างเชื่อว่า การเจ็บป่วยและโชคร้ายนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นเอง เชื่อกันว่าเกิดจากความตั้งใจของแม่มด แม่มดเป็นผลพวงของลัทธิป่าเถื่อน ใช้คุณไสยช่วยเหลือผู้คน รักษาโรค นำโชค แต่คุณไสยสามารถนำมาใช้ในทางไม่ดีได้ด้วย...
เรื่องของคุณไสยและเรื่องเหนือธรรมชาติ เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนในยุคกลาง
แม้ในศาสนาคริสต์พลังเหนือธรรมชาติถูกแสดงได้โดยพระเจ้าเท่านั้น
เรื่องราวของการต่อต้านแม่มดและการใช้คุณไสยเริ่มมีขึ้นก่อนยุคกลาง มีผู้วิเศษออกมากล่าวหาว่า พระเยซูเจ้าไม่ได้ต่างอะไรกับผู้วิเศษคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้มีอำนาจสูงสุดอย่างองค์กรทางศาสนาอ้าง ตั้งแต่นั้นมาองค์การศาสนาก็ทำการต่อต้านผู้วิเศษรวมทั้งแม่มด ฐานแสดงความขัดแย้งต่อพลังอำนาจของพระเจ้า พ.ศ. 2027 องค์กรทางศาสนาโรมันคาทอลิก ประกาศว่า ผู้ใดก็ตามที่ไม่ไช่สมาชิกของศาสนาแต่ปฏิบัติพิธีกรรม การใช้เวทมนตร์ คาถา และมีพลังเหนือธรรมชาติ ถือว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับซาตานและปีศาจ พลังที่ได้มาไม่ได้มาจากพระเจ้า แต่ได้มาจากซาตานและปีศาจ องค์กรศาสนาพยามเผยแพร่ศัตรูของพระเจ้าและสร้างภาพลักษณ์ให้ชัดเจน.....
ในช่วงปลายยุคกลาง ปีศาจเริ่มมีรูปร่างชัดเจนมากขึ้น โดยเห็นว่า ปีศาจนั้น มีเขา มีหาง มีเท้าเป็นกีบ ปีศาจอาจจะออกมาในรูปลักษณ์อื่นเพื่อหลอกลวง แม่มด ถือว่าเป็นผู้หนึ่งที่ยอมรับและลุ่มหลงในพลังอำนาจของปีศาจ และถือว่าเป็นสาวกของมัน นั่นเป็นเหตุให้มีการล่าและกำจัดแม่มดในเวลาต่อมา....
การลงโทษหรือล่าแม่มดมีมานานแล้ว แต่ที่โด่งดังมากๆ คือ การล่าแม่มดซึ่งเกิดขึ้นในช่วงยุคกลางในประเทศทั้งแถบยุโรปและอเมริกา โดยกินเวลายาวนานตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 15 ถึงศตวรรษที่ 17 ทำให้ผู้บริสุทธิ์ต้องตายไปเป็นจำนวนมาก เอาล่ะ วันผมนี้ก็ได้รวบรวมเอาเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับวิธีการทดสอบแม่มดและพ่อมดในยุคกลาง ซึ่งออกจะไร้ซึ่งเหตุผล และถ้าเอามาใช้ในทุกวันนี้ พวกเราทุกคนคงต้องเป็นแม่มดกันหมดอย่างแน่นอน
เริ่มจากการหาผู้ที่เข้าข่ายว่าอาจจะเป็นแม่มด วิธีการตรวจสอบ คือ
1. ดูจากรอยตำหนิบนร่างกาย เช่น ถ้ามีไฝ ปาน หรือตำหนิอื่นๆ บนผิวหนังที่ติดตัวมาแต่เกิด ก็จะถือว่าเป็น “รอยตำหนิของปีศาจ” (diabolical mark) แต่บางคนถึงไม่มีรอยพวกนี้ ผู้สำรวจก็อาจจะบอกว่า มีรอยตำหนิที่มองไม่เห็นอยู่ (invisible mark) และถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดอยู่ดี
2. มีผมสีแดง คนผมแดงในยุคนั้นจะโชคร้ายมาก เพราะผมสีแดงเป็นสัญลักษณ์ว่าเป็นข้ารับใช้ของปีศาจ และเป็นแม่มด
3. ถูกกล่าวหาโดยแม่มดคนอื่น กรณีนี้เกิดขึ้นบ่อยมาก เพราะถ้าโดนจับในข้อหาเป็นแม่มดแล้วยอมบอกชื่อแม่มดคนอื่นๆ อีก โทษที่ได้รับก็จะเบาลง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ถูกประหาร เบาลงที่ว่าหมายความว่า แทนที่จะถูกเผาทั้งเป็น ก็อาจจะถูกรัดคอจนตายก่อนแล้วค่อยเผา ทรมานน้อยลงอีกนิดหน่อย
4. ถ้ามีคนในครอบครัวถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด ผู้หญิงคนอื่นๆ ในครอบครัวก็อาจจะต้องสงสัยว่าเป็นแม่มดไปด้วย อาจจะโดนเผาทั้งเป็นยกครัวได้
5. พูดไม่ดีเกี่ยวกับศาสนา หรือแสดงความไม่นับถือ อะไรก็ตามเป็นการลบหลู่ศาสนา ถึงจะแอบๆ พูดกันเองแต่สมัยนั้นชาวบ้านส่วนใหญ่พร้อมจะเอาเรื่องของคนที่น่าสงสัยไปฟ้องโบสถ์อยู่แล้ว เกิดมีคนได้ยินขึ้นมาแล้วเอาไปฟ้องทางโบสถ์ จะถือว่าเป็นพวกบูชาปีศาจ เป็นแม่มด และถูกจับเผาทั้งเป็นอีกเช่นกัน
6. ทำให้เกิดอันตรายต่อผู้อื่นด้วยเวทมนต์ ซึ่งเวทมนต์ที่ว่านี้ก็ไม่มีวิธีพิสูจน์ได้อยู่ดี แต่จะดูเอาจากว่า เกิดสิ่งผิดปกติขึ้นกับผู้คนหรือธรรมชาติที่อยู่รอบๆ ตัวของผู้ถูกกล่าวหาหรือไม่ เช่น ถ้าอยู่ดีๆ วันหนึ่งเพื่อนข้างบ่านเกิดผื่นขึ้น หรือพายุลูกเห็บตกในหมู่บ้าน หรือว่าวัวตายยกคอก ก็สรุปได้แล้วว่า มีการใช้เวทมนต์แน่ๆ ก็ต้องควานหาเหยื่อมารับผิดเป็นแม่มด แล้วนำไปเผาทั้งเป็น.....
7. มีรูปลักษณ์ภายนอกที่ต่างจากคนอื่น เช่น หน่าตาน่าเกลียดเกินไป สวยเกินไป (สวยเกินก็โดนอีก เหอะๆๆ....) จมูกใหญ่ไป ฟันยื่นเกินไป แก่เกินไป อะไรก็ได้ที่ต่างจากคนอื่น ก็อาจจะทำให้ตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าเป็นแม่มดได้...
8. คนที่มีความสามารถด้านการแพทย์ การรักษา หรือมีความรู้ด่านสมุนไพร มักถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด ถึงแม้จะใช้ความสามารถนี้ในการช่วยเหลือสังคม แต่ก็จะถูกหาว่าใช้เวทมนต์อยู่ดี
9. มีคนกล่าวหาว่าเรามีพฤติกรรมต่างๆ แบบแม่มด หรือแค่ฝันเห็นว่าทำพฤติกรรมของแม่มด ก็อาจจะโดนเอาตัวไปตรวจสอบได้โดยไม่ต้องมีหลักฐานอย่างอื่นเลย มีคนถูกกล่าวหาด้วยเหตุผลนี้เยอะอีกเช่นกัน ส่วนมากเกิดจากที่ไปมีความขัดแย้งส่วนตัวกับคนอื่น หรือไม่ก็อยู่เฉยๆ แต่มีคนอยากได้ทรัพย์สินของเรา ก็จะใช้คำอ้างนี้ไปฟ้องกับทางโบสถ์ และผู้ถูกกล่าวหาก็จะถูกนำตัวไปสอบสวน ถึงถ้าไปถึงขั้นนั้นแล้ว ส่วนมากก็จะถูกสรุปว่าเป็นแม่มดอยู่ดี
หลังจากที่ได้ผู้ต้องสงสัยมาแล้ว ก็ถึงขั้นตอนทดสอบเพื่อยืนยัน ซึ่งถ้ามาถึงขั้นนี้แล้ว ยังไงก็ต้องโดนยัดเยียดข้อหาแม่มดให้อยู่ดี (ยังไงก็ตายอะนะ หึหึ) ขั้นตอนการทดสอบเองก็มีหลากหลายวิธีมาก เช่นตามนี้.....
1. ถ้าผู้ต้องสงสัยมีรอยตำหนิบนร่างกายแล้ว เชื่อกันว่า รอยตำหนิของปีศาจเหล่านี้ ถ้าถูกแทงด้วยเข็มจะไม่มีเลิอดออก และไม่รู้สึกเจ็บปวด ดังนั้น ผู้ทดสอบส่วนใหญ่จะใช้เข็มปลายทู่ หรือใช้เทคนิคต่างๆ เช่นใช้เข็มแทงเข้าไปถึงแค่ชั้นผิวหนังกำพร้า ซึ่งแน่นอน ว่าไม่มีเลือดออก และไม่เจ็บด้วย ทำให้ผู้ที่ถูกทดสอบถึงผลออกมายังไงก็ต้องเป็นแม่มดแน่ๆ
2. ทดสอบความศรัทธาต่อพระเจ้า ด้วยการให้ผู้ต้องสงสัยอ่านคัมภีร์บทสวดของพระเจ้า (Lord’s Prayer) โดยต้องห้ามอ่านผิดแม้แต่นิดเดียว (รวมถึงห้ามพูดตะกุกตะกัก ขัดๆ หรือติดอ่าง) ซึ่งในสถานการณ์กดดันแบบนั้น ส่วนใหญ่แล้วก็จะตื่นเต้น ตกใจ อ่านผิดกันทั้งนั้น รวมถึงคนที่พูดติดอ่างอยู่แล้วก็ไม่มีข้อยกเว้น
ต่อกระทู้ล่างนะจ๊ะ